2010–2019
เหตุใดการแต่งงานและครอบครัวจึงเป็นสาระสำคัญ—ทุกแห่งทั่วโลก
เมษายน 2015


เหตุใดการแต่งงานและครอบครัวจึงเป็นสาระสำคัญ—ทุกแห่งทั่วโลก

ครอบครัวคือศูนย์กลางของชีวิตและเป็นกุญแจสู่ความสุขนิรันดร์

เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ข้าพเจ้ารู้สึกเป็นเกียรติที่ได้รับเชิญ—พร้อมด้วยประธานเฮนรีย์ บี. อายริงก์ และอธิการเจราลด์ คอสเซ—เพื่อร่วมสัมมนาวิชาการเรื่องการแต่งงานและครอบครัวที่สำนักวาติกันในกรุงโรม อิตาลี โดยมีตัวแทนทางศาสนาจากหลากหลายความเชื่อ 14 ท่านของหกทวีป ทุกท่านได้รับเชิญให้แสดงความเชื่อของพวกเขาเกี่ยวกับสิ่งซึ่งกำลังเกิดขึ้นต่อครอบครัวในโลกทุกวันนี้

ภาพ
President Henry B. Eyring, Bishop Gerald Causse and Elder Perry in Rome

สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิสกล่าวเปิดการประชุมในช่วงแรกด้วยข้อความนี้ “เรากำลังดำเนินชีวิตอยู่ในวัฒนธรรมแบบชั่วคราว ซึ่งผู้คนมากต่อมากกำลังหมดหวังกับชีวิตแต่งงานซึ่งเป็นเพียงข้อผูกมัดทางสังคม การเปลี่ยนแปลงทางศีลธรรมและลักษณะเช่นนี้มักจะก่อให้เกิดการโบกสะบัดธงแห่งเสรีภาพ แต่อันที่จริงสิ่งนี้นำมาซึ่งการทำลายล้างทางวัตถุและทางวิญญาณต่อผู้คนจำนวนมหาศาล โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่ยากไร้ที่สุดและเปราะบางที่สุด … เป็นเช่นนั้นเสมอกับพวกเขาผู้ที่ทุกข์ทรมานที่สุดในวิกฤตการณ์ดังกล่าว”1

เมื่อพูดถึงอนุชนรุ่นหลัง ท่านกล่าวว่าเป็นสิ่งสำคัญที่พวกเขา “ต้องไม่ยอมพ่ายแพ้แก่พิษร้าย [ทางความคิด] ของสภาพชั่วคราว แต่จงเป็นผู้แสวงหารักแท้และยั่งยืน ทำในสิ่งที่ตรงข้ามกับรูปแบบดังกล่าว” เรื่องนี้ต้องทำให้ได้2

ภาพ
Synod hall with the faith leaders on the marriage summit

ตามด้วยการนำเสนอและอภิปรายกับผู้นำทางศาสนาเป็นเวลาสามวันซึ่งมีการกล่าวถึงหัวข้อการแต่งงานระหว่างชายกับหญิง ขณะข้าพเจ้าฟังความหลากหลายของแนวคิดที่กว้างไกลที่สุดจากผู้นำศาสนาทั่วโลก ข้าพเจ้าได้ยินพวกท่านเห็นพ้องต้องกันและสนับสนุนความเชื่อซึ่งกันและกันในความศักดิ์สิทธิ์ของการแต่งงานและความสำคัญของครอบครัวซึ่งเป็นหน่วยพื้นฐานของสังคม ข้าพเจ้าสัมผัสได้ถึงความรู้สึกอันทรงพลังของเอกภาพในหมู่คณะและความเป็นหนึ่งเดียวกันกับท่านเหล่านั้น

หลายท่านได้เห็นและแสดงความเป็นหนึ่งเดียวกันนี้ และพวกท่านกระทำเช่นนั้นในหลากหลายวิธี วิธีหนึ่งที่ข้าพเจ้าชื่นชอบเป็นพิเศษคือเมื่อนักวิชาการมุสลิมท่านหนึ่งจากอิหร่านอ้างอิงข้อความสองย่อหน้าจากครอบครัวถ้อยแถลงต่อโลก

ระหว่างสัมมนาวิชาการ ข้าพเจ้าสังเกตว่าเมื่อความเชื่อ นิกาย และศาสนาต่างๆ เป็นหนึ่งเดียวกันในเรื่องการแต่งงานและครอบครัว พวกเขาเป็นหนึ่งเดียวกันในด้านค่านิยม ความภักดี และคำมั่นสัญญาด้วย ซึ่งทั้งหมดนี้สอดคล้องต้องกันอย่างเป็นธรรมชาติกับหน่วยครอบครัว ข้าพเจ้ารู้สึกทึ่งที่ทราบว่าการแต่งงานและการให้ความสำคัญอันดับแรกที่มีครอบครัวเป็นศูนย์กลางข้ามผ่านและแทนที่เรื่องการเมือง เศรษฐกิจ หรือความแตกต่างทางศาสนา เมื่อนึกถึงความรักที่มีต่อคู่ครอง ความหวัง ความกังวลใจ และความใฝ่ฝันเพื่อลูกๆ เราทุกคนเป็นเหมือนกันหมด

ภาพ
President Henry B. Eyring speaking in a news room.

น่าอัศจรรย์ใจอย่างยิ่งที่ได้อยู่ในการประชุมกับผู้นำเสนอจากทั่วโลกขณะพวกท่านบอกเล่าความรู้สึกถึงความสำคัญของการแต่งงานระหว่างชายกับหญิง สุนทรพจน์ของแต่ละท่านตามด้วยประจักษ์พยานของผู้นำทางศาสนาท่านอื่นๆ ประธานเฮนรีย์ บี. อายริงก์ ให้ประจักษ์พยานท้ายสุดของสัมมนาทางวิชาการครั้งนี้ ท่านเป็นพยานยืนยันถึงความสวยงามของการแต่งงานที่มีคำมั่นสัญญาต่อกันและความเชื่อของเราในพรที่สัญญาไว้ของครอบครัวนิรันดร์

ประจักษ์พยานของประธานอายริงก์ เป็นคำกล่าวสรุปที่เหมาะสมสำหรับสามวันพิเศษเหล่านั้น

ขณะนี้ ท่านอาจมีคำถามว่า “ถ้าผู้คนส่วนใหญ่รู้สึกว่ามีความคล้ายคลึงกันของความเชื่อและลำดับความสำคัญในครอบครัว ถ้าความเชื่อและศาสนาเหล่านั้นทั้งหมดเห็นด้วยอย่างแท้จริงกับสิ่งที่ควรเป็นในการแต่งงาน และถ้าท่านเหล่านั้นทั้งหมดเห็นด้วยกับค่านิยมที่ควรอยู่ในบ้านและความสัมพันธ์ในครอบครัว แล้วเราแตกต่างอย่างไร ศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายโดดเด่นและแตกต่างจากทั้งโลกอย่างไร”

นี่คือคำตอบ ถึงแม้จะเป็นเรื่องดีที่สุดที่ได้เห็นและรู้สึกว่าเรามีหลายสิ่งซึ่งคล้ายคลึงกับโลกโดยทั่วไปที่เกี่ยวเนื่องกับครอบครัว เพียงเราเท่านั้นที่มีมุมมองนิรันดร์ของพระกิตติคุณที่ได้รับการฟื้นฟู

สิ่งที่พระกิตติคุณที่ได้รับการฟื้นฟูนำไปสู่การสนทนาเกี่ยวกับการแต่งงานและครอบครัวเป็นหัวข้อที่กว้างมากและเกี่ยวเนื่องกันจนไม่สามารถกล่าวเกินจริง เราทำให้หัวข้อนี้เป็นเรื่องนิรันดร์! เราให้คำมั่นสัญญาและความศักดิ์สิทธิ์ของการแต่งงานอยู่ในระดับที่สูงกว่าเพราะความเชื่อกับความเข้าใจของเราที่ว่าครอบครัวมีมาตั้งแต่ก่อนจะมีแผ่นดินโลกและสามารถดำเนินต่อไปสู่นิรันดร

คำสอนนี้สอนอย่างเรียบง่าย มีพลัง และสวยงามด้วยเนื้อร้องของรูธ การ์ดเนอร์สำหรับเพลงปฐมวัย “ครอบครัวสามารถอยู่ด้วยกันชั่วนิรันดร์” หยุดชั่วครู่และนึกถึงเด็กๆ ปฐมวัยทั่วโลกกำลังร้องเพลงนี้ในภาษาของตนเอง เสียงดังที่สุด ด้วยความกระตือรือร้นที่ความรักต่อครอบครัวเท่านั้นทำให้เกิดขึ้นได้:

ครอบครัวสามารถอยู่ด้วยกันชั่วนิรันดร์

ทางแผนบิดาสวรรค์

ฉันต้องการอยู่กับครอบครัวฉันเองทุกเวลา

และพระเจ้าทรงสอนวิธีแก่ฉัน3

ศาสนศาสตร์ทั้งหมดของพระกิตติคุณที่ได้รับการฟื้นฟูมีศูนย์กลางบนพื้นฐานของครอบครัวและบนพันธสัญญาใหม่และเป็นนิจของการแต่งงาน ในศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้าย เราเชื่อในชีวิตก่อนเกิด สถานที่ซึ่งเราทุกคนเคยอาศัยอยู่ในฐานะบุตรธิดาทางวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้าพระบิดาบนสวรรค์ของเรา เราเชื่อว่าเราเคยดำรงอยู่ และยังคงเป็นสมาชิกในครอบครัวของพระองค์

เราเชื่อว่าการแต่งงานและสัมพันธภาพในครอบครัวสามารถดำเนินต่อไปแม้หลังความตาย—เราเชื่อว่าการแต่งงานที่ประกอบพิธีโดยผู้มีสิทธิอำนาจที่ถูกต้องในพระวิหารของพระองค์ จะยังคงมีผลหลังจากชีวิตนี้ พิธีแต่งงานของเราลบล้างคำกล่าวที่ว่า “จนกว่าความตายจะพรากเราจากกัน” และแทนที่ด้วย “เพื่อกาลเวลาและเพื่อนิจนิรันดร”

เราเชื่อเช่นกันว่าครอบครัวที่แน่นแฟ้นแบบดั้งเดิมไม่เพียงเป็นหน่วยพื้นฐานของสังคมที่มั่นคง เศรษฐกิจที่มีเสถียรภาพ และวัฒนธรรมที่ยึดมั่นค่านิยม—แต่ครอบครัวยังเป็นหน่วยพื้นฐานของนิรันดรและอาณาจักรตลอดจนการปกครองของพระผู้เป็นเจ้าเช่นกัน

เราเชื่อว่าการจัดตั้งและการปกครองแห่งสวรรค์จะสร้างจากครอบครัวและเครือญาติ

เพราะความเชื่อของเราที่ว่าการแต่งงานและครอบครัวเป็นนิรันดร์ เราในฐานะศาสนจักร จึงต้องการเป็นผู้นำและมีส่วนร่วมในขบวนการมวลชนทั่วโลกเพื่อเสริมสร้างสิ่งเหล่านี้ เราทราบว่าไม่เพียงผู้ที่เคร่งศาสนาเท่านั้นที่ยึดถือค่านิยมและให้ความสำคัญอันดับแรกแก่การแต่งงานอันเป็นนิจกับสัมพันธภาพอันแน่นแฟ้นของครอบครัว ผู้คนมากมายที่ไม่ได้เคร่งศาสนาให้ข้อสรุปว่าการแต่งงานที่มีคำมั่นสัญญาและวิถีชีวิตครอบครัวเป็นสิ่งที่มีเหตุผลที่สุด ประหยัดที่สุด และเป็นวิถีชีวิตที่มีความสุขที่สุด

ใครเลยจะมีวิธีที่ทรงประสิทธิภาพในการเลี้ยงดูคนรุ่นต่อไปได้มากกว่าครัวเรือนที่ประกอบด้วยพ่อแม่ที่แต่งงานกันและมีลูก

เหตุใดการแต่งงานและครอบครัวพึงเป็นสาระสำคัญ—ทุกหนแห่ง ผลสำรวจความคิดเห็นจากสาธารณชนแสดงให้เห็นว่าการแต่งงานยังคงเป็นอุดมคติและความหวังในบรรดาผู้คนส่วนใหญ่ทุกรุ่นทุกวัย—แม้กระทั่งในบรรดาผู้คนที่อยู่ในยุคนี้ซึ่งเราได้ยินมามากเกี่ยวกับการเลือกที่จะอยู่เป็นโสด มีอิสระส่วนตัว และอยู่กินกันโดยไม่แต่งงาน ข้อเท็จจริงคือมหาชนส่วนใหญ่ทั่วโลกยังคงต้องการมีลูกเพื่อสร้างครอบครัวที่มั่นคง

เมื่อเราแต่งงานและมีลูก เอกภาพทางความคิดที่แท้จริงในบรรดามนุษยชาติทั้งมวลกลายเป็นหลักฐานที่ชัดเจนขึ้น ในฐานะที่เป็น “ผู้มีครอบครัว”—ไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหนหรือนับถือศาสนาอะไร บางที—เราอาจมีความยุ่งยากหลายอย่างเหมือนกัน มีการปรับตัวเหมือนกัน และมีความหวังเหมือนกัน รวมทั้งความกังวลใจ และความใฝ่ฝันที่มีต่อลูกๆของเรา

เมื่อเดวิด บรุคซ์ ผู้เขียนคอลัมน์ในนิตยสาร New York Times กล่าวว่า “ชีวิตคนไม่ได้ดีขึ้นเมื่อพวกเขาได้รับอิสระส่วนตัวอย่างเต็มที่เพื่อทำสิ่งที่ตนต้องการ พวกเขาจะมีชีวิตที่ดีกว่าเมื่อพวกเขาได้รับการผูกมัดด้วยคำมั่นสัญญาที่อยู่เหนือการเลือกส่วนตัว—คำมั่นสัญญาต่อครอบครัว พระผู้เป็นเจ้า งานอาชีพ และประเทศชาติ” 4

ปัญหาอย่างหนึ่งคือ สื่อและความบันเทิงทั่วทั้งโลกไม่ได้สะท้อนความสำคัญอันดับแรกและค่านิยมของคนส่วนใหญ่ จะด้วยเหตุผลใดก็ตาม รายการโทรทัศน์ ภาพยนตร์ ดนตรี และอินเทอร์เน็ตที่มากเกินไป แสดงให้เห็นกรณีดั้งเดิมของการเสแสร้งจากคนส่วนน้อยว่าเป็นคนส่วนใหญ่ การผิดศีลธรรมและไร้ศีลธรรม ตั้งแต่ความรุนแรงเกินขอบเขตไปจนถึงความสำส่อนทางเพศกลับกลายเป็นเรื่องปกติทางสังคมและสามารถเป็นเหตุให้ผู้ที่มีค่านิยมในกระแสหลักรู้สึกว่าตนเป็นคนล้าสมัยหรือมาจากยุคสมัยในอดีต ในโลกที่ถูกครอบงำด้วยสื่อและอินเทอร์เน็ตเช่นนั้น นับเป็นเรื่องยากกว่าทุกยุคสมัยในการเลี้ยงดูลูกๆ ที่มีความรับผิดชอบและธำรงไว้ซึ่งการแต่งงานและครอบครัว

อย่างไรก็ตาม แม้สื่อและความบันเทิงที่มีอยู่มากมายจะเสนอแนะอะไรก็ตาม แม้ความนิยมยินดีในการแต่งงานมีครอบครัวของผู้คนบางพวกจะลดน้อยถอยลง แต่ผู้คนส่วนใหญ่ที่หนักแน่นยังเชื่อว่าการแต่งงานควรเกิดขึ้นระหว่างชายหนึ่งกับหญิงหนึ่งเท่านั้น พวกเขาเชื่อในความซื่อสัตย์ภายในขอบเขตของการแต่งงาน และพวกเขาเชื่อในคำปฏิญาณของการแต่งงานที่ว่า “ในยามเจ็บไข้และในยามสบาย” และ “จนกว่าความตายจะพรากเราจากกัน”

เราต้องย้ำเตือนตัวเราเองเป็นครั้งคราว ดังเช่นข้าพเจ้าเมื่ออยู่ที่กรุงโรม ด้วยข้อเท็จจริงที่สร้างความมั่นใจและการปลอบโยนที่แสนวิเศษว่าการแต่งงานและครอบครัวยังคงเป็นความหวังและอุดมคติของคนส่วนใหญ่ และเราไม่ใช่ผู้ที่มีความเชื่อเช่นนั้นเพียงผู้เดียว ทุกวันนี้ เป็นเรื่องท้าทายมากยิ่งขึ้นที่จะหาความสมดุลที่เป็นไปได้ระหว่างงานอาชีพ ครอบครัว รวมถึงความจำเป็นส่วนตัว ในฐานะศาสนจักร เราต้องการช่วยเหลือทุกวิถีทางที่เราทำได้เพื่อสร้างสรรค์และสนับสนุนการแต่งงานและครอบครัวที่เข้มแข็ง

นั่นคือเหตุผลที่ทำให้ศาสนจักรมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันและจัดหาผู้นำเพื่อประสานความร่วมมือองค์กรทั่วโลกและคริสต์ศาสนาทั้งมวลในการเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ครอบครัว นี่คือเหตุผลที่ทำให้เราเผยแพร่ค่านิยมของเราที่มุ่งเน้นการมีครอบครัวในสื่อและสื่อสังคม นี่คือเหตุผลที่เราแบ่งปันบันทึกลำดับการสืบเชื้อสายและเครือญาติของเรากับประชาชาติทั้งปวง

เราต้องการให้เสียงของเราได้ยินไปทั่วเพื่อต่อต้านความจอมปลอมและวิถีชีวิตอีกแบบหนึ่งซึ่งพยายามจะแทนที่สถาบันครอบครัวที่พระผู้เป็นเจ้าทรงจัดตั้งด้วยพระองค์เอง เราต้องการให้เสียงของเราได้ยินไปทั่วเพื่อจรรโลงไว้ซึ่งปีติและสัมฤทธิผลที่มาจากครอบครัวแบบดั้งเดิม เราต้องเปล่งเสียงแสดงความคิดเห็นของเราต่อไปทั่วโลกในการประกาศว่าเพราะเหตุใดการแต่งงานและครอบครัวจึงสำคัญมาก เพราะเหตุใดการแต่งงานและครอบครัวจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างแท้จริง และเพราะเหตุใดสิ่งเหล่านี้จะเป็นเรื่องสำคัญเสมอ

พี่น้องทั้งหลาย พระกิตติคุณที่ได้รับการฟื้นฟูมีศูนย์กลางอยู่ที่การแต่งงานและครอบครัว ในเรื่องการแต่งงานและครอบครัวด้วยที่เราสามารถเป็นหนึ่งเดียวกันได้มากที่สุดกับศาสนาอื่นๆ ในเรื่องที่เกี่ยวพันกับการแต่งงานและครอบครัวเราจะพบเอกภาพทางความคิดที่สำคัญที่สุดกับผู้คนทั่วโลก ในเรื่องที่เกี่ยวพันกับการแต่งงานและครอบครัวศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายมีโอกาสที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเพื่อเป็นแสงสว่างบนเนินเขา

ข้าพเจ้าขอจบด้วยการกล่าวคำพยาน (เก้าทศวรรษของข้าพเจ้าบนโลกนี้ทำให้ข้าพเจ้ามีคุณสมบัติครบถ้วนที่จะกล่าวดังนี้) ว่ายิ่งข้าพเจ้าสูงวัยมากเท่าไร ก็ยิ่งตระหนักว่าครอบครัวเป็นศูนย์กลางของชีวิตและเป็นกุญแจสู่ความสุขนิรันดร์

ข้าพเจ้าขอบคุณภรรยาของข้าพเจ้า บรรดาลูกหลานและเหลนของข้าพเจ้า ลูกพี่ลูกน้องตลอดจนเขยสะใภ้และเครือญาติทุกคนที่ทำให้ชีวิตข้าพเจ้ามั่งคั่งสมบูรณ์ แม้นิรันดร ข้าพเจ้ากล่าวคำพยานอันศักดิ์สิทธิ์ที่สุดและแข็งแกร่งที่สุดถึงความจริงนิรันดร์นี้ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน

อ้างอิง

  1. สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส, กล่าวสุนทรพจน์ที่ Humanum: An International Interreligious Colloquium on the Complementarity of Man and Woman, Nov. 17, 2014, humanum.it/en/videos; see also zenit.org/en/articles/pope-francis-address-at-opening-of-colloquium-on-complementarity-of-man-and-woman.

  2. สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส, Colloquium on the Complementarity of Man and Woman.

  3. “ครอบครัวสามารถอยู่ด้วยกันชั่วนิรันดร์,” เพลงสวด, 98.

  4. เดวิด บรุคซ์, “The Age of Possibility,” New York Times, Nov. 16, 2012, A35; nytimes.com/2012/11/16/opinion/brooks-the-age-of-possibility.html.