2010–2019
พรอันมีค่าสูงสุดของพระเจ้า
เมษายน 2011


พรอันมีค่าสูงสุดของพระเจ้า

เมื่อเราจ่ายส่วนสิบอย่างซื่อสัตย์ พระเจ้าจะทรงเปิดหน้าต่างในฟ้าสวรรค์และทรงเทพรอันมีค่าสูงสุดของพระองค์มาให้เรา

ข้าพเจ้าขอบคุณบรรพชนผู้ชอบธรรมผู้สอนพระกิตติคุณให้ลูกหลานของท่านในบ้านเมื่อนานมาแล้วก่อนจะมีการสังสรรค์ในครอบครัวที่เป็นรูปแบบ คุณตาคุณยายของข้าพเจ้าคือไอดา เจสเพอร์สันกับจอห์น เอ. เว็ทเท็น พวกท่านอาศัยอยู่ในชุมชนเล็กๆ ของโคโลเนียฮัวเรซ ชิวาวา เม็กซิโก ลูกๆ ของครอบครัวเว็ทเท็นได้รับการสอนตามกฎ และดูแบบอย่างคุณพ่อคุณแม่ของพวกเขา

ในต้นทศวรรษ 1920 เม็กซิโกเผชิญความยากลำบาก การปฏิวัติครั้งรุนแรงเพิ่งยุติ มีเงินสดหมุนเวียนเพียงเล็กน้อยและส่วนมากเป็นเหรียญเงิน ผู้คนมักทำธุรกิจผ่านระบบบาร์เตอร์หรือการแลกเปลี่ยนสินค้าและบริการ

วันหนึ่งในปลายฤดูร้อน คุณตาจอห์นกลับบ้านโดยได้แลกเปลี่ยนและได้รับเงินในส่วนแลกเปลี่ยนเป็นเหรียญเงิน 100 เปโซ ท่านมอบเงินให้ไอดาพร้อมกับแนะนำว่าเงินนั้นมีไว้เพื่อจ่ายค่าเทอมลูก

ไอดาขอบคุณสำหรับเงินแต่เตือนจอห์นว่าพวกเขายังไม่ได้จ่ายส่วนสิบตลอดฤดูร้อนที่ยาวนาน พวกเขาไม่มีรายได้เป็นเงิน แต่ไอดาบอกเขาว่าสัตว์ต่างๆ ได้ให้เนื้อ ไข่ และนม สวนของพวกเขามีผักผลไม้อุดมสมบูรณ์ พวกเขาแลกเปลี่ยนเป็นสินค้าอื่นๆ ที่ไม่ใช่เงิน ไอดาแนะนำว่าพวกเขาควรให้เงินแก่อธิการเพื่อจ่ายส่วนสิบ

จอห์นผิดหวังเล็กน้อยเพราะเงินจะช่วยลูกๆ ได้มากเรื่องโรงเรียน แต่เขาก็เห็นด้วยโดยเร็วว่าพวกเขาต้องจ่ายส่วนสิบ เขาหิ้วถุงหนักใบนั้นไปยังสำนักงานส่วนสิบและจ่ายกับอธิการ

ไม่นานหลังจากนั้น เขาได้ยินว่าคุณฮอร์ด นักธุรกิจผู้มั่งคั่งจากสหรัฐจะมาถึงสัปดาห์หน้าพร้อมด้วยชายอีกหลายคน โดยจะพักที่ภูเขาสองสามวันเพื่อล่าสัตว์และตกปลา

คุณตาจอห์นไปรับชายกลุ่มนี้ที่สถานีรถไฟไม่ไกลจากโคโลเนียฮัวเรซ ท่านมีฝูงม้าสวมอานและฝูงสัตว์พาหนะพร้อมขนสัมภาระและอุปกรณ์ตั้งค่ายเข้าไปที่ภูเขา สัปดาห์ต่อมาท่านทำหน้าที่นำทางชายเหล่านี้พร้อมทั้งดูแลค่ายพักและฝูงสัตว์

เมื่อสัปดาห์นั้นสิ้นสุดลง ชายเหล่านี้กลับไปที่สถานีเพื่อนั่งรถไฟกลับสหรัฐ วันนั้นจอห์นได้รับค่าแรงและได้รับเหรียญเงินเปโซถุงหนึ่งเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายอื่นๆ เมื่อจอห์นและคนของเขาได้รับเงินแล้ว จอห์นคืนเงินทอนให้คุณฮอร์ด ผู้ซึ่งแปลกใจเพราะไม่ได้คิดว่าจะมีเงินเหลือ เขาถามจอห์นเพื่อให้แน่ใจว่าได้ชำระค่าใช้จ่ายทุกอย่างแล้ว จอห์นตอบว่าค่าใช้จ่ายในการเดินทางทุกรายการจ่ายครบแล้วและนี่คือเงินทอน

หวูดรถไฟดังขึ้น คุณฮอร์ดหันหลังขึ้นรถ จากนั้นหันกลับมาโยนถุงที่หนักด้วยเหรียญถุงนั้นให้จอห์น “นี่เอากลับบ้านไปให้ลูกชายนะครับ” เขาพูด จอห์นคว้าถุงและบ่ายหน้ากลับไปโคโลเนียฮัวเรซ

ค่ำนั้นเมื่อครอบครัวมารวมกันหลังอาหารเพื่อฟังเรื่องราวการเดินทาง จอห์นนึกถึงถุงเงินและนำมาวางไว้บนโต๊ะ จอห์นพูดว่าเขาไม่รู้ว่าในถุงนี้มีเงินเท่าไร ดังนั้นจึงเทเงินในถุงลงบนโต๊ะ—กองโตทีเดียว— เมื่อนับเสร็จ มีเหรียญเงินจำนวน 100 เปโซพอดี แน่นอนว่านี่ดูเหมือนจะเป็นพรยิ่งใหญ่ที่คุณฮอร์ดตัดสินใจเดินทางมา จอห์นและลูกชายได้ค่าจ้างที่ดี แต่เงิน 100 เปโซที่เหลือเป็นเครื่องเตือนใจถึงส่วนสิบจำนวนเท่ากันนี้ที่ได้จ่ายไปเมื่อสัปดาห์ก่อน สำหรับบางคนแล้วนี่อาจเป็นเรื่องบังเอิญที่น่าสนใจ แต่สำหรับครอบครัวเว็ทเท็นเห็นได้ชัดว่านี่คือบทเรียนจากพระเจ้าว่าพระองค์ทรงจดจำสัญญาที่พระองค์ทรงทำไว้กับผู้ที่จ่ายส่วนสิบอย่างซื่อสัตย์

สมัยเด็ก ข้าพเจ้าชอบเรื่องราวนี้เพราะเป็นการขี่ม้าเดินทางไปตั้งค่ายที่ภูเขาเพื่อล่าสัตว์และตกปลา ข้าพเจ้าชอบเรื่องนี้เพราะเรื่องนี้สอนว่าเมื่อเราเชื่อฟังพระบัญญัติเราจะได้รับพร มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เราทุกคนสามารถสรุปเกี่ยวกับส่วนสิบจากเรื่องนี้

อย่างแรกท่านจะสังเกตว่าการจ่ายส่วนสิบในกรณีนี้ไม่เกี่ยวกับจำนวนเงินรายได้ ครอบครัวเว็ทเท็นตัดสินใจใช้เงินที่มีในตอนแรกสำหรับส่วนสิบเพราะพวกเขาดำรงชีวิตอย่างสบายจากสัตว์และผลผลิตที่เป็นผักผลไม้จากสวน พวกเขารู้สึกอย่างแน่นอนว่าเป็นหนี้พระเจ้าสำหรับพรของพวกเขา

นั่นคือเครื่องเตือนใจถึงนัยสำคัญในพระวจนะของพระเจ้าเมื่อพระองค์ทรงถามว่า “จะฉ้อพระเจ้าหรือ แต่เจ้าทั้งหลายได้ฉ้อเรา” ผู้คนถามว่า “เราทั้งหลายฉ้อพระเจ้าอย่างไร” พระเจ้าทรงเปล่งพระสุรเสียงกลับมาว่า “ก็ฉ้อในเรื่องทศางค์และเครื่องบูชานั่นซี” (มาลาคี 3:8) พี่น้องทั้งหลาย เฉกเช่นจอห์นและไอดา เว็ทเท็นเข้าใจฤดูร้อนนั้นเมื่อหลายทศวรรษมาแล้ว เราทุกคนเป็นหนี้พระเจ้า ขออย่าให้เราถูกกล่าวหาว่าฉ้อพระผู้เป็นเจ้า ขอให้เราซื่อสัตย์และชำระหนี้ของเรากับพระเจ้า ทั้งหมดที่พระองค์ทรงขอคือ 10 เปอร์เซ็นต์ การจ่ายหนี้ของเราอย่างซื่อสัตย์ต่อพระเจ้าจะช่วยให้เราซื่อสัตย์ต่อเพื่อนมนุษย์ของเรา

อีกสิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าสังเกตเกี่ยวกับเรื่องนั้นคือคุณตาคุณยายข้าพเจ้าจ่ายส่วนสิบโดยไม่คำนึงถึงสภาพความยากจนด้านการเงินของครอบครัว พวกท่านรู้พระบัญญัติของพระเจ้า พวกท่านเปรียบเทียบพระคัมภีร์กับตนเอง (ดู 1 นีไฟ 19:23–24) และเชื่อฟังกฎ นี่คือสิ่งที่พระเจ้าทรงคาดหวังจากผู้คนของพระองค์ทุกคน พระองค์ทรงคาดหวังให้เราจ่ายส่วนสิบ ไม่เฉพาะเมื่อเรามีมากจนเหลือเฟือ หรือจาก “ส่วนที่เหลือ” ของงบประมาณครอบครัว แต่เหมือนกับที่พระองค์ทรงบัญชาไว้ในสมัยโบราณ จาก “ผลแรก” ของรายได้เรา ไม่ว่าจะน้อยหรือมาก พระเจ้าทรงบัญชาว่า “อย่าชักช้าเลย … จงถวายบุตรหัวปีของเจ้าให้แก่เรา” (อพยพ 22:29) จากประสบการณ์ส่วนตัวของข้าพเจ้า วิธีที่แน่นอนที่สุดในการจ่ายส่วนสิบอย่างซื่อสัตย์คือจ่ายให้เร็วที่สุดเมื่อข้าพเจ้าได้รับรายได้ อันที่จริงข้าพเจ้าคิดว่านี่เป็นวิธีเดียวเท่านั้น

เราเรียนรู้จากคุณตาคุณยายเว็ทเท็นของข้าพเจ้าว่าจริงๆ แล้วส่วนสิบไม่ใช่เรื่องของเงิน แต่เป็นเรื่องของศรัทธา—ศรัทธาในพระเจ้า พระองค์ทรงสัญญาพรถ้าเราเชื่อฟังพระบัญญัติของพระองค์ แน่นอนว่าจอห์นและไอดา เว็ทเท็นแสดงศรัทธาอันแรงกล้าในการจ่ายส่วนสิบของพวกเขา ขอให้เราแสดงศรัทธาที่เรามีต่อพระเจ้าโดยการจ่ายส่วนสิบของเรา จ่ายส่วนสิบก่อน จ่ายอย่างซื่อสัตย์ สอนลูกๆ ของเราให้จ่ายส่วนสิบถึงแม้ต้องจ่ายจากเงินที่คุณพ่อคุณแม่ให้หรือจากรายได้ จากนั้นพาลูกๆ ไปที่การสรุปส่วนสิบเพื่อให้พวกเขาเห็นแบบอย่างของเราและความรักของเราต่อพระเจ้า

อาจเป็นไปได้ที่จะมีการตีความผิดในเรื่องราวของคุณตาคุณยายข้าพเจ้า เราอาจสรุปว่าเนื่องจากเราจ่ายส่วนสิบด้วยเงิน พระเจ้าจึงประทานพรเราด้วยเงินเสมอไป ข้าพเจ้ามักจะคิดเช่นนั้นเมื่อเป็นเด็ก ข้าพเจ้าได้เรียนรู้นับจากนั้นว่าไม่จำเป็นต้องได้ผลเช่นนั้นเสมอไป พระเจ้าทรงสัญญาพรให้แก่ผู้จ่ายส่วนสิบของเขา พระองค์ทรงสัญญาว่าจะทรง “เปิดหน้าต่างในฟ้าสวรรค์ … และเทพรอย่างล้นไหลมาให้” (มาลาคี 3:10) ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าพระองค์ทรงรักษาสัญญาของพระองค์ และถ้าเราจ่ายส่วนสิบอย่างซื่อสัตย์เราจะไม่ขาดสิ่งของที่จำเป็นในชีวิต แต่พระองค์ไม่ได้ทรงสัญญาความร่ำรวย เงินและบัญชีเงินฝากธนาคารไม่ใช่พรอันมีค่าสูงสุด พระองค์ประทานพรเราด้วยปัญญาในการจัดการทรัพยากรทางวัตถุสิ่งของอันจำกัดของเรา ปัญญาที่สามารถช่วยให้เราดำเนินชีวิตได้ดีขึ้นด้วย 90 เปอร์เซ็นต์ของรายได้มากกว่าด้วย 100 เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นผู้ที่จ่ายส่วนสิบเต็มจะเข้าใจการดำเนินชีวิตอย่างมัธยัสถ์และมีแนวโน้มที่จะพึ่งพาตนเองมากกว่า

ข้าพเจ้าเข้าใจว่าพรอันมีค่าสูงสุดของพระเจ้าเป็นเรื่องทางวิญญาณ พรเหล่านี้มักเป็นเรื่องของครอบครัว เพื่อน และพระกิตติคุณ ดูเหมือนว่าพระองค์มักจะประทานพรของความรู้สึกละเอียดอ่อนเป็นพิเศษต่ออิทธิพลและการนำทางของพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ โดยเฉพาะในเรื่องของชีวิตแต่งงานและครอบครัวเช่นการเลี้ยงดูลูกๆ ความรู้สึกละเอียดอ่อนทางวิญญาณเช่นนี้จะช่วยเราให้ชื่นชมพรแห่งความรักใคร่กลมเกลียวและสันติสุขในบ้าน ประธานเจมส์ อี. เฟาสท์แนะนำว่าการจ่ายส่วนสิบเป็นมาตราการป้องกันการหย่าร้างได้ดีที่สุด ( “เติมความสุขให้ชีวิตสมรสของท่าน” เลียโฮนา เมษายน 2007 หน้า 6)

การจ่ายส่วนสิบช่วยให้เราพัฒนาใจที่ว่านอนสอนง่ายและนอบน้อม ใจที่เปี่ยมด้วยความขอบคุณที่มักจะ “สารภาพถึงพระหัตถ์ของพระองค์ในทุกสิ่ง” (คพ. 59:21) การจ่ายส่วนสิบปลูกฝังใจที่เอื้อเฟื้อและใจที่ให้อภัย ใจที่เปี่ยมด้วยจิตกุศลอันเต็มไปด้วยความรักอันบริสุทธิ์ของพระคริสต์ เราจะกระตือรือร้นในการรับใช้และเป็นพรแก่ผู้อื่นด้วยใจเชื่อฟังซึ่งยินยอมต่อพระประสงค์ของพระเจ้า ผู้จ่ายส่วนสิบสม่ำเสมอจะพบว่าศรัทธาที่พวกเขามีต่อพระเจ้าพระเยซูคริสต์นั้นเสริมสร้างความเข้มแข็งและพวกเขาพัฒนาประจักษ์พยานอันมั่นคงที่แนบสนิทกับพระกิตติคุณและศาสนจักรของพระองค์ พรเหล่านี้มิได้เกี่ยวข้องกับเงินหรือวัตถุสิ่งของใดๆ เลย แต่แน่นอนว่าเป็นพรอันมีค่าสูงสุดของพระเจ้า

ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าเมื่อเราจ่ายส่วนสิบอย่างซื่อสัตย์ พระเจ้าจะทรงเปิดหน้าต่างในฟ้าสวรรค์และทรงเทพรอันมีค่าสูงสุดของพระองค์มาให้เรา ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน