2010–2019
รากฐานอันแน่นอน
เมษายน 2013


รากฐานอันแน่นอน

ขอให้เราตอบรับพระดำรัสเชิญของพระผู้ช่วยให้รอดเพื่อมาหาพระองค์ ขอให้เราสร้างชีวิตเราไว้บนรากฐานที่ปลอดภัยและแน่นอน

ในวันที่ 17 ตุลาคม ปี 1989 ขณะขับรถกลับบ้านหลังเลิกงาน เมื่อข้าพเจ้าใกล้ถึงไฟจราจรสี่แยกถนนมาร์เก็ตและถนนเบียลในแซนแฟรนซิสโก รัฐแคลิฟอร์เนีย ขณะนั้นข้าพเจ้ารู้สึกว่ารถส่าย จึงคิดว่า “ยางรถเราแบนแน่ๆ” ขณะที่รถยังคงส่ายอยู่นั้น ข้าพเจ้าสังเกตเห็นรถประจำทางเบียดชิดกับรถข้าพเจ้ามาก และคิดว่า “รถคันนี้ชนเราเข้าแล้วซิ!” แล้วรถยนต์ก็ส่ายมากยิ่งขึ้น ข้าพเจ้าจึงคิดว่า “ยางรถเราคงแบนทั้งสี่ล้อแน่เลย!” แต่ไม่ใช่เพราะยางแบนหรือรถประจำทางคันนั้นเลย—เป็นเพราะแผ่นดินไหวรุนแรงต่างหาก! เมื่อข้าพเจ้าจอดรถตรงสัญญาณไฟแดง บาทวิถีก็กระเพื่อมเป็นระลอกราวกับคลื่นทะเลซัดบนถนนมาร์เก็ต ตรงหน้าข้าพเจ้ามีอาคารสำนักงานสูงตระหง่านหลังหนึ่งโอนเอนไปมา และก้อนอิฐเริ่มหล่นลงมาจากอาคารเก่าแก่หลังหนึ่งทางด้านซ้ายมือข้าพเจ้าขณะแผ่นดินไหวอย่างต่อเนื่อง

แผ่นดินไหวโลมา พรีเอตาโจมตีบริเวณอ่าวแซนแฟรนซิสโกในเวลา 17:04 นาฬิกาของวันนั้น และส่งผลให้คนไร้ที่อยู่มากถึง 12,000 คน

แผ่นดินไหวดังกล่าวก่อความเสียหายอย่างหนักในบริเวณอ่าวแซนแฟรนซิสโก ซึ่งแน่ชัดที่สุดว่าเกิดจากดินที่ไม่อัดแน่นในแซนแฟรนซิสโกและโอกแลนด์ ในแซนแฟรนซิสโก เขตมารินานั้น “สร้างขึ้นบนผืนดินฝังกลบซึ่งปะปนไปด้วยทราย สิ่งปฏิกูล เศษหิน…และวัสดุอื่นที่มีน้ำบาดาลเจือปนอยู่ในปริมาณมาก พื้นที่ฝังกลบบางแห่งเป็นเศษหินถมทับลงในอ่าวแซนแฟรนซิสโกหลังแผ่นดินไหวที่แซนแฟรนซิสโกในปี 1906”1

ประมาณปี 1915 มีการสร้างอาคารห้องชุดต่างๆ บนผืนดินฝังกลบดังกล่าว แผ่นดินไหวในปี 1989 ดินโคลนร่วนซุยชุ่มน้ำ ดินทราย และเศษหินกลายเป็นมวลคล้ายของเหลว เป็นเหตุให้อาคารพังทลาย อาคารเหล่านั้นไม่ได้สร้างบนรากฐานอันแน่นอน

แผ่นดินไหวโลมา พรีเอตาส่งผลกระทบต่อชีวิตผู้คนมากมาย รวมทั้งชีวิตข้าพเจ้าด้วย การใคร่ครวญถึงเหตุการณ์ในวันนั้นตอกย้ำความคิดและจิตใจของข้าพเจ้าว่า หากจะต้านทานพายุร้าย แผ่นดินไหว และภัยพิบัติในชีวิตได้สำเร็จ เราต้องตั้งอยู่บนรากฐานอันแน่นอน

ฮีลามัน ศาสดาพยากรณ์ชาวนีไฟ ให้ความกระจ่างชัดต่อความสำคัญในการสร้างชีวิตของเราไว้บนรากฐานอันแน่นอน แม้รากฐานของพระเยซูคริสต์ว่า “และบัดนี้, ลูกพ่อ, จงจำ, จงจำไว้ว่าบนศิลาของพระผู้ไถ่ของเรา, ผู้ทรงเป็นพระคริสต์, พระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า, ที่ลูกต้องสร้างรากฐานของลูก; เพื่อเมื่อมารจะส่งลมอันมีกำลังแรงของเขามา, แท้จริงแล้ว, ลูกศรของเขาในลมหมุน, แท้จริงแล้ว, เมื่อลูกเห็บของเขาและพายุอันมีกำลังแรงของเขาทั้งหมดจะกระหน่ำมาบนลูก, มันจะไม่มีพลังเหนือลูกเพื่อลากเอาลูกลงไปสู่ห้วงแห่งความเศร้าหมองและวิบัติอันหาได้สิ้นสุดไม่, เพราะศิลาซึ่งบนนั้นลูกได้รับการสร้างขึ้น, ซึ่งเป็นรากฐานอันแน่นอน, รากฐานซึ่งหากมนุษย์จะสร้างบนนั้นแล้วพวกเขาจะตกไม่ได้.” (ฮีลามัน 5:12)

การพัฒนาพระวิหารในยุคปัจจุบันให้ความเอาใจใส่เรื่องการออกแบบ วิศวกรรม และการใช้วัสดุก่อสร้าง มีการตรวจสอบดินและธรณีวิทยาในเขตที่จะก่อสร้างพระวิหาร มีการศึกษาเรื่องลม ฝน และความแปรปรวนของสภาพอากาศในเขตนั้นๆ เพื่อว่าพระวิหารที่แล้วเสร็จนั้นจะไม่เพียงต้านทานลมพายุและสภาพดินฟ้าอากาศปกติในพื้นที่ แต่พระวิหารยังได้รับการออกแบบและวางตำแหน่งเพื่อต้านทานเหตุแผ่นดินไหวที่ไม่อาจคาดคิด พายุไต้ฝุ่น อุทกภัย และภัยธรรมชาติอื่นๆ ที่อาจเกิดขึ้น ในพระวิหารหลายแห่ง มีการตอกเสาคอนกรีตหรือเสาเข็มลึกลงไปในดินเพื่อเกาะยึดฐานรากของพระวิหาร

เฉกเช่นนักออกแบบและผู้รับเหมาในยุคของเรา พระบิดาในสวรรค์ผู้ทรงเปี่ยมด้วยรักและเมตตา และพระบุตรของพระองค์ทรงเตรียมแผน เครื่องมือ และแหล่งช่วยอื่นให้เราใช้เพื่อที่เราจะได้สร้างและวางกรอบชีวิตของเราให้มั่นคงและไม่สั่นไหว แผนดังกล่าวคือแผนแห่งความรอด แผนอันยิ่งใหญ่แห่งความสุข แผนนั้นเผยให้เราเห็นภาพอันชัดเจนและความเข้าใจถึงการเริ่มต้นและการสิ้นสุด ตลอดจนขั้นตอนสำคัญรวมถึงศาสนพิธีซึ่งจำเป็นสำหรับบุตรธิดาแต่ละคนของพระบิดาเพื่อจะสามารถกลับไปยังที่ประทับของพระองค์และพำนักอยู่กับพระองค์ตลอดไป

ศรัทธา การกลับใจ บัพติศมา ของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ และการอดทนจนกว่าชีวิตจะหาไม่ เป็นส่วนหนึ่งของ “พิมพ์เขียว” ชีวิต ขั้นตอนเหล่านี้จะช่วยวางรูปแบบอาคารที่เหมาะสมซึ่งจะยึดเหนี่ยวชีวิตเราไว้กับการชดใช้ของพระคริสต์ ขั้นตอนเหล่านี้จะจัดรูปทรงและวางกรอบโครงสร้างที่ค้ำจุนชีวิตคนๆ หนึ่ง แผนงานพระวิหารมี “คุณสมบัติเฉพาะ” ซึ่งให้คำแนะนำโดยละเอียดเกี่ยวกับการวางรูปแบบและหลอมรวมองค์ประกอบสำคัญฉันใด การสวดอ้อนวอน การอ่านพระคัมภีร์ การรับส่วนศีลระลึก และการรับศาสนพิธีฐานะปุโรหิตที่สำคัญก็เป็น “คุณสมบัติเฉพาะ” ที่ช่วยหลอมรวมและผูกมัดโครงสร้างชีวิตเข้าด้วยกันฉันนั้น

ความสมดุลในการประยุกต์ใช้คุณสมบัติเฉพาะเหล่านี้เป็นเรื่องสำคัญยิ่ง ตัวอย่างเช่น ในกระบวนการผสมคอนกรีต ต้องผสมทราย หินกรวด ปูนซีเมนต์ และน้ำในปริมาณที่แม่นยำเพื่อให้เกิดความแข็งแกร่งมากที่สุด ปริมาณที่ไม่ถูกต้อง หรือการตัดส่วนประกอบใดออกไปจะทำให้คอนกรีตเปราะบางและไม่สามารถทำหน้าที่สำคัญของมันได้

ในทำนองเดียวกัน หากเราไม่เตรียมดุลยภาพอันเหมาะสมในชีวิตการสวดอ้อนวอนส่วนตัวทุกวันของเรา และการดื่มด่ำจากพระคัมภีร์ การเสริมสร้างความเข้มแข็งทุกสัปดาห์จากการรับส่วนศีลระลึก และการมีส่วนร่วมบ่อยครั้งในศาสนพิธีฐานะปุโรหิต อาทิ ศาสนพิธีพระวิหาร เราก็เสี่ยงต่อความเปราะบางในความแข็งแกร่งทางโครงสร้างของวิญญาณเราเช่นกัน

ในจดหมายถึงชาวเมืองเอเฟซัส เปาโลกล่าวเช่นนี้ ซึ่งเราสามารถประยุกต์ใช้กับความจำเป็นเรื่องการพัฒนาที่มีดุลยภาพและหลอมรวมในบุคลิกลักษณะและจิตวิญญาณของเราว่า “ในพระองค์นั้นทุกส่วนของโครงสร้างถูกเชื่อมต่อกันและเจริญขึ้นเป็นวิหารอันบริสุทธิ์ในองค์พระผู้เป็นเจ้า” (เอเฟซัส 2:21)

การสวดอ้อนวอนเป็นโครงสร้างพื้นฐานอย่างหนึ่งที่สำคัญที่สุดของศรัทธาและบุคลิกลักษณะของเรา โดยผ่านการสวดอ้อนวอน เราสามารถแสดงออกถึงความกตัญญู ความรัก และการอุทิศตนต่อพระผู้เป็นเจ้า โดยผ่านการสวดอ้อนวอน เราสามารถแสดงความมุ่งมั่นที่เรามีต่อพระประสงค์ของพระองค์ และเราจะได้รับความเข้มแข็งเพื่อให้ชีวิตเราสอดคล้องกับคำสอนของพระองค์ การสวดอ้อนวอนเป็นเส้นทางที่เราสามารถเดินตามเพื่อแสวงหาอิทธิพลของพระองค์ในชีวิตเรา แม้การเปิดเผย

แอลมาสอนว่า “จงปรึกษาพระเจ้าในการกระทำทั้งหมดของลูก, และพระองค์จะทรงชี้ทางให้ลูกเพื่อความดี; แท้จริงแล้ว, เมื่อลูกลงนอนตอนกลางคืนจงลงนอนอยู่กับพระเจ้า, เพื่อพระองค์จะทรงดูแลลูกในการหลับของลูก; และเมื่อลูกลุกขึ้นตอนเช้าขอให้ใจลูกเต็มไปด้วยความขอบพระทัยพระผู้เป็นเจ้า; และหากลูกทำสิ่งเหล่านี้, พระองค์จะทรงยกลูกขึ้นในวันสุดท้าย” (แอลมา 37:37)

การแสดงความนึกคิด ความรู้สึก และความปรารถนาของเรากับพระผู้เป็นเจ้าโดยผ่านการสวดอ้อนวอนด้วยความนอบน้อมจากใจจริงควรเป็นเรื่องสำคัญและเป็นธรรมชาติวิสัยเหมือนการหายใจและรับประทานอาหาร

การค้นคว้าพระคัมภีร์ทุกวันยังช่วยเสริมสร้างศรัทธาและบุคลิกลักษณะของเราอีกด้วย เช่นเดียวกับที่เราต้องการอาหารเพื่อบำรุงเลี้ยงร่างกาย จิตวิญญาณของเราก็จะได้รับการเติมเต็มและเสริมสร้างพลังโดยการดื่มด่ำพระวจนะของพระคริสต์ดังที่ศาสดาพยากรณ์เขียนไว้ นีไฟสอนว่า “จงดื่มด่ำพระวจนะของพระคริสต์; เพราะดูเถิด, พระวจนะของพระคริสต์จะบอกท่านทุกสิ่งที่ท่านควรทำ.” (2 นีไฟ 32:3)

แม้การอ่านพระคัมภีร์เป็นเรื่องดี แต่การอ่านเพียงอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอต่อการจับใจความให้ครอบคลุมคำสอนของพระผู้ช่วยให้รอด การค้นคว้า การไตร่ตรอง และการประยุกต์ใช้พระวจนะของพระคริสต์ดังที่สอนไว้ในพระคัมภีร์จะนำมาซึ่งปัญญาและความรู้เหนือความเข้าใจของมนุษย์ สิ่งนี้จะทำให้คำมั่นสัญญาของเรามั่นคงและมีพลังทางวิญญาณสำรองไว้ให้เราทำเต็มที่ในทุกสถานการณ์

ขั้นตอนสำคัญที่สุดขั้นตอนหนึ่งซึ่งเราสามารถทำได้เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ชีวิตเราและยังคงแนบแน่นต่อรากฐานของพระผู้ช่วยให้รอดคือการรับส่วนศีลระลึกแต่ละสัปดาห์อย่างมีค่าควร ศาสนพิธีศีลระลึกจะให้โอกาสสมาชิกทุกคนของศาสนจักรได้ไตร่ตรองชีวิตของเขาล่วงหน้า พิจารณาถึงการกระทำที่ควรหรือไม่ควรทำ ซึ่งอาจจำเป็นต้องกลับใจ แล้วรับส่วนขนมปังและน้ำเป็นเครื่องหมายแห่งความศักดิ์สิทธิ์ในความระลึกถึงพระวรกายและพระโลหิตของพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นพยานถึงการชดใช้ของพระองค์ หากเรารับส่วนด้วยความจริงใจและนอบน้อม เราต่อพันธสัญญานิรันดร์ ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ และได้รับคำสัญญาว่าเราจะมีพระวิญญาณของพระองค์อยู่กับเราตลอดเวลา พระวิญญาณทรงทำหน้าที่เสมือนปูนขาวชนิดหนึ่ง เป็นการเชื่อมต่อซึ่งไม่เพียงชำระให้บริสุทธิ์ แต่ยังนำทุกสิ่งมาสู่ความทรงจำของเราและเป็นพยานครั้งแล้วครั้งเล่าถึงพระเยซูคริสต์อีกด้วย การรับส่วนศีลระลึกอย่างมีค่าควรจะเสริมสร้างการเชื่อมโยงส่วนตัวของเรากับศิลาอันเป็นฐานรากนั้นให้แข็งแกร่ง แม้พระเยซูคริสต์

ระหว่างที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงปฏิบัติศาสนกิจ พระองค์ทรงสอนด้วยความรักและแจ้งชัดถึงหลักคำสอน หลักธรรม และการกระทำที่จำเป็นซึ่งจะปกปักรักษาชีวิตเราและเสริมสร้างบุคลิกลักษณะของเรา ในตอนท้ายของคำเทศนาบนภูเขา พระองค์ตรัสว่า

“ฉะนั้น, ผู้ใดที่ได้ยินคำกล่าวเหล่านี้ของเราและทำตาม, เราจะเปรียบเขาเช่นคนฉลาด, ผู้สร้างบ้านของตนบนศิลา

“และฝนลงมา, และน้ำท่วม, และพายุพัด, และกระหน่ำมาที่บ้านนั้น; และมันหาพังไม่, เพราะมันมีรากฐานบนศิลา

“และทุกคนที่ได้ยินคำกล่าวเหล่านี้ของเราและหาทำตามไม่จะเปรียบเช่นคนโง่, ผู้สร้างบ้านของตนบนทราย

“และฝนลงมา, และน้ำท่วม, และพายุพัด, และกระหน่ำมาที่บ้านนั้น; และมันพัง, และการพังทลายนั้นใหญ่หลวงนัก.” (3 นีไฟ 14:24–27; ดู มัทธิว 7:24–27 ด้วย)

พี่น้องทั้งหลาย ไม่มีใครตั้งใจจะสร้างบ้าน สถานที่ทำงาน หรือสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในการนมัสการบนทราย หรือเศษหิน หรือไม่วางแผนและใช้วัสดุที่เหมาะสม ขอให้เราตอบรับพระดำรัสเชิญของพระผู้ช่วยให้รอดเพื่อมาหาพระองค์ ขอให้เราสร้างชีวิตเราไว้บนรากฐานที่ปลอดภัยและแน่นอน

ข้าพเจ้าเป็นพยานด้วยความนอบน้อมว่าหากเราทอดสมอชีวิตเราไว้กับพระเยซูคริสต์และการชดใช้ของพระองค์ โดยทำตามแผนของพระองค์อย่างรอบคอบเพื่อความสุขของเรา รวมทั้งการสวดอ้อนวอนทุกวัน ศึกษาพระคัมภีร์ทุกวัน และรับส่วนศีลระลึกทุกสัปดาห์ เราจะเข้มแข็งขึ้น เราจะประสบความก้าวหน้าส่วนตัวที่แท้จริงและการเปลี่ยนใจเลื่อมใสที่ยั่งยืน เราจะพร้อมมากยิ่งขึ้นที่จะต้านทานลมพายุและเหตุร้ายในชีวิตได้สำเร็จ เราจะประสบกับปีติและความสุขดังที่ทรงสัญญาไว้ เราจะเชื่อมั่นได้ว่าชีวิตเราสร้างอยู่บนรากฐานอันแน่นอน—รากฐานที่จะไม่มีวันพังทลาย ในพระนามอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูคริสต์ เอเมน

อ้างอิง

  1. ดู “1989 Loma Prieta Earthquake,” wikipedia.org/wiki/1989_Loma_Prieta_earthquake.