2010–2019
ได้รับการยอมรับจากพระเจ้า
เมษายน 2013


ได้รับการยอมรับจากพระเจ้า

การแสวงหาและการได้รับการยอมรับจากพระเจ้าจะนำไปสู่ความรู้ที่ว่าพระองค์ทรงเลือกและประทานพรแก่เรา

เมื่อข้าพเจ้าเป็นเด็ก ข้าพเจ้าจำได้ว่าบางครั้งคุณพ่อจะพาข้าพเจ้าไปทำงานโครงการต่างๆ เรามีสวนเล็กๆ อยู่ห่างจากที่เราพักไม่กี่กิโลเมตร และที่นั่นเองเรามีงานมากมายที่ต้องทำอยู่เสมอเพื่อเตรียมสวนของเราในแต่ฤดูกาล เราทำงานบนเพิงหรือสร้างหรือซ่อมรั้ว ข้าพเจ้าจำได้ว่างานนี้มักจะเกิดขึ้นในช่วงที่หนาวเย็น หิมะตกหนัก หรือฝนเทกระหน่ำ แต่ข้าพเจ้าก็รักงานนี้ คุณพ่อจะสอนข้าพเจ้าให้ทำสิ่งต่างๆด้วยความอดทนและยอมรับ

วันหนึ่งคุณพ่อขอให้ข้าพเจ้าขันสกรูให้แน่น และเตือนว่า “จำไว้ว่า ถ้าลูกขันสกรูแน่นเกินไป มันจะหัก” ด้วยความภูมิใจ ข้าพเจ้าอยากแสดงให้ท่านเห็นสิ่งที่ข้าพเจ้าทำได้ ข้าพเจ้าขันสกรูด้วยสุดกำลัง และแน่นอน ข้าพเจ้าทำสกรูหัก คุณพ่อจะออกความเห็นด้วยอารมณ์ขัน และเราก็จะเริ่มกันใหม่อีก แม้ว่าข้าพเจ้าจะ “ทำผิดพลาด” แต่ข้าพเจ้าก็ยังรู้สึกถึงความรักและความเชื่อมั่นของท่านที่มีต่อข้าพเจ้าเสมอ ท่านเสียชีวิตไปมากกว่า 10 ปีแล้ว แต่ข้าพเจ้ายังจดจำคำสอนของท่าน สัมผัสได้ถึงความรักของท่าน ชื่นชมกับการกระตุ้นของท่าน และรู้สึกถึงการยอมรับของท่าน

ความรู้สึกที่มีใครบางคนที่เรารักยอมรับเราคือความต้องการพื้นฐานของมนุษย์ การได้รับการยอมรับโดยคนดีเป็นแรงกระตุ้นแก่เรา สิ่งนี้เพิ่มสำนึกของการมีคุณค่าในตัวเองและความมั่นใจในตัวเอง คนที่ไม่สามารถค้นพบการยอมรับจากแหล่งที่เขาปรารถนาก็จะไปค้นหาจากที่อื่น พวกเขาอาจจะไปหาจากคนที่ไม่ได้สนใจความผาสุกของพวกเขา พวกเขาอาจจะไปคบหากับเพื่อนจอมปลอมและทำสิ่งที่เขารู้ว่าไม่ถูกต้องเพื่อพยายามได้รับการยอมรับในสิ่งที่เขากำลังแสวงหา พวกเขาอาจแสวงหาการยอมรับโดยสวมเสื้อผ้ามียี่ห้อเฉพาะเจาะจงเพื่อให้รู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งของคนเหล่านั้นหรือเพื่อแสดงสถานะ สำหรับบางคนแล้ว การพยายามสวมบทบาทหรือตำแหน่งที่สำคัญก็เป็นหนทางที่จะแสวงหาการยอมรับด้วย พวกเขาอาจนิยามคุณค่าของตัวเองโดยตำแหน่งที่เขาดำรงอยู่หรือสถานภาพที่เขาได้มา

แม้ว่าในศาสนจักรเรามักจะไม่คิดถึงเรื่องแบบนี้ การแสวงหาการยอมรับจากแหล่งที่ผิดหรือด้วยเหตุผลที่ไม่ถูกต้องจะนำเราไปสู่หนทางที่อันตราย---ซึ่งมักจะนำให้เราหลงทางและแม้ไปสู่การถูกทำลาย แทนที่จะรู้สึกได้รับการอุ้มชูและมั่นใจในตัวเอง เราก็จะรู้สึกว่าถูกทอดทิ้งและต่ำต้อยเสมอ

แอลมาให้คำแนะนำแก่ฮีลามันบุตรของท่านว่า “จงดูว่าลูกพึ่งพาพระผู้เป็นเจ้าและมีชีวิต”1 แหล่งแห่งพลังอำนาจสูงสุดและการยอมรับอันไม่มีที่สิ้นสุดคือพระบิดาบนสวรรค์ของเราและพระบุตรของพระองค์ พระเยซูคริสต์ พระองค์ทรงรู้จักเรา พระองค์ทรงรักเรา พระองค์ไม่ได้ทรงยอมรับเราเพราะยศฐาบรรดาศักดิหรือตำแหน่ง พระองค์ไม่ได้ทอดพระเนตรที่สถานะของเรา แต่ทรงมองดูในใจเรา พระองค์ทรงยอมรับเราในตัวตนที่เราเป็นและคนที่เรากำลังพยายามจะเป็น การแสวงหาและได้รับการยอมรับจากพระองค์จะเพิ่มพลังให้เราและส่งเสริมเราเสมอ

ข้าพเจ้าจะแบ่งปันแบบแผนง่ายๆ ซึ่งหากนำมาประยุกต์ใช้ จะช่วยเราทุกคนให้ค้นพบการยอมรับอันสูงสุด พระเจ้าประทานแบบแผนนี้ผ่านศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธ : “ตามจริงแล้ว เรากล่าวแก่เจ้า, ทุกคนในบรรดาพวกเขาที่รู้ว่าใจตนซื่อสัตย์และชอกช้ำ, และวิญญาณตนสำนึกผิด, และเต็มใจยึดถือพันธสัญญาของตนโดยการเสียสละ---แท้จริงแล้ว, การเสียสละทุกอย่างซึ่งเรา, พระเจ้า, จะบัญชา---พวกเขาได้รับการยอมรับจากเรา.”2

แบบแผนนี้ประกอบไปด้วยขั้นตอนง่ายๆ สามขั้นตอน :

  1. รู้ว่าใจของเราซื่อสัตย์และชอกช้ำ

  2. รู้ว่าวิญญาณของเราสำนึกผิด และ

  3. เต็มใจยึดถือพันธสัญญาของเราโดยการเสียสละตามที่พระเจ้าทรงบัญชา

ประการแรก เราต้องรู้ว่าใจของเราซื่อสัตย์และชอกช้ำ เราจะรู้ได้อย่างไร เราเริ่มต้นโดยการสำรวจชีวิตตนเองอย่างจริงจัง หัวใจเป็นศูนย์กลางของความรู้สึกของเรา ขณะที่เรามองดูในใจเรา เรากำลังตรวจสอบตัวเอง ไม่มีใครที่อยู่รอบตัวเรารู้ เรารู้ได้อย่างแน่นอน เรารู้แรงกระตุ้นและแรงปรารถนาของเรา เมื่อเราประเมินตนเองด้วยความจริงใจ การสะท้อนกลับจะตรงไปตรงมา เราไม่ได้หาเหตุผลเข้าข้างตัวเองหรือหลอกตัวเอง

มีวิธีที่จะตัดสินว่าใจของเราซื่อสัตย์และชอกช้ำหรือไม่ ใจที่ชอกช้ำเป็นใจที่อ่อนโยน เปิดกว้าง และอ่อนไหว เมื่อข้าพเจ้าได้ยินพระผู้ช่วยให้รอดตรัสว่า “นี่แน่ะ เรายืนเคาะอยู่ที่ประตู”3 ข้าพเจ้าได้ยินเสียงพระองค์เคาะประตูใจของข้าพเจ้า หากข้าพเจ้าเปิดประตูรับพระองค์ ข้าพเจ้าก็สนองตอบต่อการเชื้อเชิญของพระวิญญาณมากขึ้น และข้าพเจ้าก็จะยอมรับพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้ายิ่งขึ้น

ขณะที่เราไตร่ตรองอย่างจริงใจร่วมกับสวดอ้อนวอนถึงขอบเขตของใจที่ซื่อสัตย์และชอกช้ำของเรา เราจะได้รับการสอนโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ เราจะได้รับการยืนยันที่อ่อนหวานหรือการแก้ไขที่อ่อนโยน และการเชื้อเชิญให้เราลงมือทำ

ประการที่สอง เราต้องรู้ว่าวิญญาณของเราสำนึกผิด คำว่า สำนึกผิด ในพจนานุกรมอ๊อกซ์ฟอร์ดให้คำนิยามว่า “เป็นความรู้สึกหรือการแสดงออกถึงการสำนึกผิดเพื่อขอคืนดีกับผู้ที่เรากระทำผิดด้วย”4 ถ้าเรามีวิญญาณที่สำนึกผิด เราก็ยอมรับบาปและข้อบกพร่องของเรา เราก็เป็นผู้ที่สอนได้ “ทุกเรื่องถึงสิ่งที่เกี่ยวกับความชอบธรรม”5 เรารู้สึกเศร้าโศกแบบพระผู้เป็นเจ้าและปรารถนาที่จะกลับใจ วิญญาณที่สำนึกผิดปรารถนาที่จะฟัง “การชักจูงของพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์”6

วิญญาณที่สำนึกผิดแสดงให้ประจักษ์โดยความเต็มใจและการตกลงใจที่จะลงมือทำ เราเต็มใจที่จะอ่อนน้อมถ่อมตนต่อพระผู้เป็นเจ้า เต็มใจที่จะกลับใจ เต็มใจที่จะเรียนรู้ และเต็มใจที่จะเปลี่ยนแปลง เราเต็มใจที่จะสวดอ้อนวอน “อย่าให้เป็นไปตามใจข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์”7

ประการที่สามการให้พระเจ้ายอมรับเป็นความปรารถนาของจิตสำนึกที่จะยึดถือพันธสัญญาของเราผ่านทางการเสียสละ “แท้จริงแล้ว, การเสียสละทุกอย่างซึ่งเรา, พระเจ้า, จะบัญชา”8 บ่อยครั้งที่เรามักคิดว่าคำว่า การเสียสละ หมายถึงบางสิ่งที่ใหญ่หรือยากที่เราจะทำได้ ในบางกรณีความหมายนี้อาจเป็นจริง แต่ส่วนใหญ่แล้วจะหมายถึงการดำเนินชีวิตในแต่ละวันในฐานะสานุศิษย์ที่แท้จริงของพระคริสต์

วิธีหนึ่งที่เราจะยึดถือพันธสัญญาโดยการเสียสละก็คือการมีส่วนร่วมในพิธีศีลระลึกอย่างมีค่าควรในแต่ละสัปดาห์ เราเตรียมตัวเราอย่างมีสติสำหรับศาสนพิธีศักดิ์สิทธิ์ เราต่อและยืนยันคำมั่นสัญญาอันศักดิ์สิทธิ์ที่เราทำต่อพระเจ้า ในวิธีนี้เราจะรู้สึกถึงการยอมรับของพระองค์และการรับความเชื่อมั่นของพระองค์ว่าความพยายามของเราได้รับการยอมรับและบาปของเราได้รับการให้อภัยผ่านการชดใช้ของพระเยซูคริสต์ ระหว่างศาสนพิธีนี้ พระเจ้าทรงสัญญากับเราว่าหากเราเต็มใจที่จะรับพระนามของพระบุตรของพระองค์และระลึกถึงพระองค์ตลอดเวลาและรักษาพระบัญญัติของพระองค์ เราจะมีพระวิญญาณของพระองค์อยู่กับเราตลอดเวลา การมีพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นเพื่อนที่ถาวรของเราเป็นตัวบ่งชี้อันสูงสุดในการยอมรับของพระผู้เป็นเจ้า

วิธีอื่นที่จะยึดถือพันธสัญญาของเราโดยการเสียสละได้ง่ายๆ เหมือนกับการยอมรับการเรียกในศาสนจักรและรับใช้อย่างซื่อสัตย์ในการเรียกนั้น หรือการทำตามการเชื้อเชิญของศาสดาพยากรณ์ของเรา โธมัส เอส. มอนสัน คือการยื่นมือออกไปหาผู้ที่ยืนอยู่ขอบทางและต้องการการช่วยให้รอดทางวิญญาณ เรายึดถือพันธสัญญาของเราโดยการเสียสละโดยให้การรับใช้เพื่อนบ้านหรือชุมชนของเราอย่างเงียบๆ หรือโดยการค้นหาชื่อของบรรพบุรุษของเราและทำงานพระวิหารให้พวกเขา เรายึดถือพันธสัญญาโดยการเสียสละโดยพยายามอย่างเรียบง่ายในการเป็นคนชอบธรรม เปิดใจ และฟังการกระตุ้นเตือนของพระวิญญาณขณะที่เราดำเนินชีวิตประจำวัน บางครั้งการยึดถือพันธสัญญาหมายถึงไม่ต้องทำอะไรนอกเหนือไปจากยืนหยัดอย่างมั่นคงและซื่อสัตย์เมื่อพายุแห่งชีวิตกำลังโหมพัดกระหน่ำอยู่รอบตัวเรา

หลังจากที่ทรงอธิบายแบบแผนของการที่จะได้รับการยอมรับจากพระองค์ พระเจ้าทรงใช้การยกตัวอย่างเพื่อแสดงถึงการที่เราจะได้รับประโยชน์เป็นส่วนบุคคลและครอบครัวขณะที่เราแสวงหาการยอมรับของพระองค์ พระองค์ตรัสว่า “เพราะเรา, พระเจ้า, จะทำให้พวกเขานำผลออกมาดังต้นไม้ที่ออกผลดกซึ่งปลูกไว้ในที่ดินดี, ข้างธารน้ำบริสุทธิ์, ซึ่งออกผลล้ำค่ามากมาย”9

ขณะที่เราปรับตัวเราเองให้เข้ากับพระวิญญาณของพระเจ้าและสัมผัสถึงการยอมรับของพระองค์ เราได้รับพรเหนือความเข้าใจของเราและนำผลแห่งความชอบธรรมมากมายออกมา เราจะอยู่ท่ามกลางคนเหล่านั้นที่พระองค์ตรัสว่า “ดีแล้วเจ้าเป็นบ่าวที่ดีและซื่อสัตย์ เจ้าซื่อสัตย์ในของเล็กน้อย เราจะตั้งเจ้าให้ดูแลของจำนวนมาก เจ้าจงร่วมยินดีกับนายของเจ้าเถิด”10

การแสวงหาและการได้รับการยอมรับจากพระเจ้าจะนำไปสู่ความรู้ที่ว่าพระองค์ทรงเลือกและประทานพรแก่เรา เราจะเพิ่มความมั่นใจว่าพระองค์จะทรงนำเราและนำทางเราในความดี พระเมตตาอันละเอียดอ่อนของพระองค์จะกลายมาเป็นความแจ้งชัดในใจเรา ในชีวิตเรา และในครอบครัวเรา

ข้าพเจ้าเชื้อเชิญท่านอย่างสุดใจให้แสวงหาการยอมรับจากพระเจ้าและชื่นชมกับพรที่พระองค์ทรงสัญญาไว้ ขณะที่เราดำเนินตามแบบแผนที่เรียบง่ายที่พระเจ้าวางไว้ให้เรา เราจะรู้ว่าเราได้รับการยอมรับจากพระองค์ โดยไม่คำนึงถึงตำแหน่ง สถานะ หรือข้อจำกัดทางมรรตัยของเรา การยอมรับด้วยความรักของพระองค์จะเป็นแรงกระตุ้นเรา เพิ่มศรัทธาของเรา และช่วยเราให้จัดการกับทุกสิ่งที่เราเผชิญในชีวิต แม้ว่าจะมีการท้าทาย แต่เราก็จะประสบความสำเร็จ รุ่งเรือง11 และสัมผัสถึงสันติสุข12 เราจะอยู่ท่ามกลางคนเหล่านั้นที่พระเจ้ารับสั่งว่า

“อย่ากลัวเลย, เด็กน้อยทั้งหลาย, เพราะเจ้าเป็นของเรา, และเราชนะโลกแล้ว, และเจ้ามาจากคนเหล่านั้นที่พระบิดาของเราประทานให้เรา

“และไม่มีใครในบรรดาคนเหล่านั้นที่พระบิดาของเราประทานให้เราจะหายไป”13

ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน