2010–2019
“จงมาหาเรา”
เมษายน 2013


“จงมาหาเรา”

จากพระวจนะและแบบอย่างของพระคริสต์ พระองค์ทรงแสดงให้เราเห็นวิธีเข้าใกล้พระองค์มากขึ้น

ข้าพเจ้าซาบซึ้งใจที่ได้อยู่กับท่านในการประชุมใหญ่นี้ของศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้าย นี่คือศาสนจักรของพระองค์ เรารับพระนามของพระองค์ไว้กับเราเมื่อเราเข้ามาในอาณาจักรของพระองค์ พระองค์ทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้า พระผู้สร้าง และทรงดีพร้อม เราคือมนุษย์ผู้อยู่ในอาณัติของความตายและบาป กระนั้นในความรักที่พระองค์ทรงมีต่อเราและครอบครัวของเรา พระองค์ทรงเชื้อเชิญให้เราเข้าใกล้พระองค์ นี่คือพระวจนะของพระองค์ “จงเข้ามาอยู่ใกล้เราและเราจะเข้ามาอยู่ใกล้เจ้า; จงแสวงหาเราอย่างขยันหมั่นเพียรและเจ้าจะได้พบเรา; ขอ, และเจ้าจะได้รับ; เคาะ, และจะเปิดมันให้เจ้า” 1

ในเทศกาลอีสเตอร์นี้เตือนใจเราถึงสาเหตุที่เรารักพระองค์และสัญญาที่พระองค์ทรงทำไว้กับสานุศิษย์ผู้ซื่อสัตย์ซึ่งกลายเป็นพระสหายรักของพระองค์ พระผู้ช่วยให้รอดทรงทำสัญญานั้นกับเราและทรงบอกวิธีที่พระองค์ทรงมาหาเราในการรับใช้ที่เรามีต่อพระองค์ ตัวอย่างหนึ่งอยู่ในการเปิดเผยต่อออลิเวอร์ คาวเดอรีขณะที่ท่านรับใช้พระเจ้ากับศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธในการแปลพระคัมภีร์มอรมอน “ดูเถิด, เจ้าคือออลิเวอร์, และเราได้พูดกับเจ้าเพราะความปรารถนาของเจ้า; ฉะนั้นจงสั่งสมถ้อยคำเหล่านี้ไว้ในใจเจ้า. จงซื่อสัตย์และขยันหมั่นเพียรในการรักษาบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า, และเราจะโอบเจ้าไว้ในอ้อมแขนแห่งความรักของเรา”2

ข้าพเจ้าประสบปีติจากการเข้าใกล้พระผู้ช่วยให้รอดและการที่พระองค์ทรงเข้าใกล้ข้าพเจ้า บ่อยครั้งโดยผ่านการกระทำอันเรียบง่ายของการเชื่อฟังพระบัญญัติ

ท่านมีประสบการณ์เช่นนั้น อาจเป็นเวลาที่ท่านเลือกเข้าร่วมการประชุมศีลระลึก สำหรับข้าพเจ้าเป็นวันสะบาโตเมื่อข้าพเจ้ายังเด็กมาก ในสมัยนั้นเรารับศีลระลึกระหว่างการประชุมช่วงเย็น ความทรงจำถึงวันหนึ่งเมื่อกว่า 65 ปีมาแล้ว เมื่อข้าพเจ้ารักษาพระบัญญัติโดยไปชุมนุมกับครอบครัวและกับวิสุทธิชน ยังคงทำให้ข้าพเจ้าเข้าใกล้พระผู้ช่วยให้รอดมากขึ้น

ข้างนอกมืดและหนาวเย็น ข้าพเจ้าจำได้ว่ารู้สึกถึงแสงสว่างและความอบอุ่นในห้องนมัสการในค่ำคืนนั้นกับคุณพ่อคุณแม่ เรารับส่วนศีลระลึกซึ่งปฏิบัติโดยผู้ดำรงฐานะปุโรหิตแห่งอาโรน ทำพันธสัญญากับพระบิดาบนสวรรค์ของเราว่าจะระลึกถึงพระบุตรของพระองค์ตลอดเวลาและรักษาพระบัญญัติของพระองค์

ในตอนท้ายของการประชุมเราร้องเพลงสวด “สถิตกับข้าสายัณห์วันนี้” กับคำร้องของเพลงที่ว่า “โอ้พระผู้ช่วยโปรดอยู่กับข้า ราตรีสายัณห์วันนี้”3

ข้าพเจ้ารู้สึกถึงความรักและความใกล้ชิดของพระผู้ช่วยให้รอดในค่ำคืนนั้น และข้าพเจ้ารู้สึกถึงการปลอบโยนของพระวิญญาณบริสุทธิ์

ข้าพเจ้าต้องการจุดประกายความรู้สึกนั้นอีกครั้งถึงความรักของพระผู้ช่วยให้รอดและความใกล้ชิดของพระองค์ที่ข้าพเจ้ารู้สึกระหว่างการประชุมศีลระลึกในวัยเยาว์ ดังนั้นเมื่อไม่นานมานี้ข้าพเจ้าจึงรักษาพระบัญญัติอีกข้อหนึ่ง ข้าพเจ้าค้นคว้าพระคัมภีร์ ข้าพเจ้าทราบว่าในพระคัมภีร์ ข้าพเจ้าสามารถกลับไปให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ช่วยให้รู้สึกว่าสานุศิษย์สองคนของพระเจ้าผู้ฟื้นคืนพระชนม์รู้สึกอย่างไรเมื่อพระองค์ทรงตอบรับคำเชื้อเชิญให้เข้ามาในบ้านของพวกเขาและสถิตกับพวกเขา

ข้าพเจ้าอ่านถึงวันที่สามหลังจากการตรึงกางเขนและการฝังพระศพ สตรีผู้ซื่อสัตย์และคนอื่นๆ พบศิลากลิ้งออกจากปากอุโมงค์และเห็นว่าพระศพของพระองค์ไม่อยู่ที่นั่น พวกเขามาเพราะความรักที่มีต่อพระองค์เพื่อเจิมพระศพของพระองค์

เทพสององค์ยืนอยู่และถามว่าเหตุใดพวกเขาจึงกลัว เทพกล่าวดังนี้

“พวกท่านแสวงหาคนเป็นในพวกคนตายทำไม?

“พระองค์ไม่ได้อยู่ที่นี่ แต่ทรงเป็นขึ้นมาแล้ว จงระลึกถึงคำที่พระองค์ตรัสกับพวกท่านขณะที่พระองค์ยังอยู่ในแคว้นกาลิลี

“ว่า บุตรมนุษย์จะต้องถูกมอบไว้ในมือของพวกคนบาป และจะต้องถูกตรึงที่กางเขน และวันที่สามจะเป็นขึ้นมาใหม่”4

พระกิตติคุณของมาระโกเสริมแนวทางจากเทพองค์หนึ่งว่า “พวกท่านจงไปบอกพวกสาวกของพระองค์รวมทั้งเปโตรด้วยว่า พระองค์จะเสด็จไปที่แคว้นกาลิลีก่อนพวกท่าน”5

อัครสาวกและสานุศิษย์มาชุมนุมกันในเยรูซาเล็ม ดังที่เราอาจจะเคยเป็น พวกเขาหวาดกลัวและสงสัยขณะพูดกันถึงเรื่องความตายและเรื่องราวการฟื้นคืนพระชนม์ว่ามีความหมายอย่างไรต่อพวกเขา

บ่ายวันนั้น สานุศิษย์สองคนเดินจากเยรูซาเล็มบนถนนสู่เอมมาอูส พระคริสต์ผู้ฟื้นคืนพระชนม์ทรงมาปรากฏบนถนนและเดินไปกับพวกเขา พระเจ้าเสด็จมาหาพวกเขา

หนังสือลูกาช่วยให้เราเดินไปกับพวกเขา

“ขณะที่กำลังสนทนาซักถามกันอยู่ พระเยซูก็เสด็จเข้ามาใกล้ดำเนินด้วยกัน

“แต่ตาของเขาทั้งสองถูกปิดกั้นทำให้จำพระองค์ไม่ได้

“พระองค์ตรัสกับเขาทั้งสองว่า ระหว่างทางที่เดินมานี่ท่านโต้ตอบกันเรื่องอะไร?

“คนที่ชื่อเคลโอปัสทูลถามพระองค์ว่า ท่านเป็นแขกเมืองในกรุงเยรูซาเล็มเพียงคนเดียวหรือที่ไม่รู้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้?”6

พวกเขาบอกพระองค์ว่าพวกเขาโศกเศร้าที่พระเยซูสิ้นพระชนม์เมื่อพวกเขาเชื่อมั่นว่าพระองค์จะทรงเป็นพระผู้ไถ่แห่งอิสราเอล

คงต้องมีความรักใคร่อยู่ในสุรเสียงของพระเจ้าผู้ทรงฟื้นขณะที่พระองค์ตรัสกับสานุศิษย์สองคนผู้โศกเศร้าเสียใจนี้

“พระองค์จึงตรัสกับสองคนนั้นว่า โอ คนโง่เขลาและมีใจเฉื่อยช้าในการเชื่อถ้อยคำซึ่งพวกผู้เผยพระวจนะกล่าวไว้นั้น

“พระคริสต์จำเป็นต้องทนทุกข์อย่างนั้นแล้วจึงเข้าในพระสิริของพระองค์ไม่ใช่หรือ?

“แล้วพระองค์ทรงอธิบายพระคัมภีร์ที่เล็งถึงพระองค์ทุกข้อให้เขาฟัง เริ่มต้นตั้งแต่โมเสสและบรรดาผู้เผยพระวจนะทั้งหมด”7

จากนั้นช่วงเวลาที่ทำให้ใจข้าพเจ้าอบอุ่นนับตั้งแต่ข้าพเจ้าเป็นเด็กเล็กก็มาถึง

“เมื่อมาใกล้หมู่บ้านที่จะไปนั้น พระองค์ทรงทำทีว่าจะเสด็จเลยไป

“เขาทั้งสองจึงคะยั้นคะยอพระองค์ว่า เชิญท่านมาพักด้วยกันเถิด เพราะจวนจะค่ำและใกล้จะหมดวันอยู่แล้ว พระองค์จึงเสด็จเข้าไปพักอยู่กับเขา”8

พระผู้ช่วยให้รอดทรงรับคำเชิญในค่ำคืนนั้นที่จะเข้าไปในบ้านสานุศิษย์ของพระองค์ใกล้หมู่บ้านเอมมาอูส

พระองค์ประทับที่โต๊ะอาหารกับพวกเขา ทรงหยิบขนมปัง ทรงให้พร ทรงหักขนมปังส่งให้พวกเขา ดวงตาของพวกเขาเปิด ดังนั้นจึงจำพระองค์ได้ แล้วพระองค์ก็อันตรธานไปจากพวกเขา ลูกาบันทึกให้เราทราบความรู้สึกของสานุศิษย์ที่ได้รับพรเหล่านั้นว่า “เขาจึงพูดกันว่า ใจเรารุ่มร้อนภายในเมื่อพระองค์ตรัสตามทาง และเมื่อทรงอธิบายพระคัมภีร์ให้เราฟังไม่ใช่หรือ?”9

ในโมงเดียวกันนั้นเองสานุศิษย์สองคนเร่งกลับไปเยรูซาเล็มเพื่อบอกอัครสาวกสิบเอ็ดคนถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับพวกเขา ในเวลานั้นพระผู้ช่วยให้รอดทรงปรากฏพระองค์อีกครั้ง

พระองค์ทรงทบทวนคำพยากรณ์ถึงพระพันธกิจของพระองค์เพื่อชดใช้บาปแก่บุตรธิดาของพระบิดาและทำลายสายรัดแห่งความตาย

“พระองค์ตรัสกับเขาว่า มีถ้อยคำเขียนไว้อย่างนั้นว่า พระคริสต์จะต้องทนทุกข์และเป็นขึ้นจากตายในวันที่สาม

“และจะต้องประกาศทั่วทุกประชาชาติในนามของพระองค์เรื่องการกลับใจใหม่ เพื่อการยกบาป โดยเริ่มต้นที่กรุงเยรูซาเล็ม

“พวกท่านเองก็เป็นพยานถึงสิ่งเหล่านี้”10

พระวจนะของพระผู้ช่วยให้รอดเป็นจริงสำหรับเราดังที่เป็นจริงต่อสานุศิษย์ของพระองค์ในสมัยนั้น เราคือพยานของสิ่งเหล่านี้ หน้าที่ซึ่งเรายอมรับเมื่อเรารับบัพติศมาเข้าสู่ศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายอธิบายไว้อย่างเรียบง่ายเมื่อหลายศตวรรษมาแล้วโดยศาสดาพยากรณ์แอลมาที่ผืนน้ำแห่งมอรมอน

“และ​เหตุการณ์​ได้​บังเกิด​ขึ้น​คือ​ท่าน​กล่าว​แก่​พวก​เขา: ดูเถิด, นี่​คือ​ผืน​น้ำ​แห่ง​มอ​รม​อ​น (เพราะ​คน​เรียก​มัน​เช่น​นั้น) และ​บัดนี้, เมื่อ​ท่านปรารถนา​จะ​เข้า​มา​สู่คอก​ของ​พระผู้เป็นเจ้า, และ​เรียก​ว่าเป็น​ผู้คน​ของ​พระองค์, และ​เต็มใจ​จะ​แบก​ภาระ​ของกันและกัน, เพื่อ​มัน​จะ​ได้​เบา;

“แท้จริง​แล้ว, และ​เต็มใจ​ที่​จะ​โศก​เศร้า​กับ​คน​ที่​โศก​เศร้า; แท้จริง​แล้ว, และ​ปลอบโยน​คน​ที่​ต้องการ​การ​ปลอบโยน, และ​ยืน​เป็นพยาน​เกี่ยว​กับ​พระผู้เป็นเจ้า​ทุก​เวลา​และ​ใน​ทุก​สิ่ง, และ​ใน​ทุกแห่ง​ที่​ท่าน​อยู่, แม้​จนถึง​ความ​ตาย, เพื่อ​ท่าน​จะ​ได้​รับ​การ​ไถ่​จาก​พระผู้เป็นเจ้า, และ​นับ​อยู่​กับ​บรรดา​คน​ของ​การ​ฟื้น​คืน​ชีวิต​ครั้งแรก, เพื่อ​ท่าน​จะ​มีชีวิตนิรันดร์—

“บัดนี้​ข้าพเจ้า​กล่าว​แก่​ท่าน, หาก​นี่​เป็นความ​ปรารถนา​ของ​ใจ​ท่าน​แล้ว, ท่าน​มี​อะไร​ขัดข้อง​เล่า​ที่​จะ​รับ​บัพ​ติ​ศมา​ใน​พระ​นาม​ของ​พระเจ้า, เพื่อ​เป็น​พยาน​ต่อ​พระ​พักตร์​พระองค์​ว่า​ท่าน​เข้า​มา​ใน​พัน​ธสัญญา​กับ​พระองค์, ว่า​ท่าน​จะ​รับ​ใช้​พระองค์​และ​รักษา​พระ​บัญญัติ​ของ​พระองค์, เพื่อ​พระองค์​จะ​เทพ​ระ​วิญญาณ​ของ​พระองค์​ลง​มา​ให้ท่า​น​ให้​มากมาย​ยิ่ง​ขึ้น?

“และ​บัดนี้​เมื่อ​ผู้คน​ได้ยิน​ถ้อยคำ​เหล่า​นี้, พวก​เขา​ปรบ​มือ​ด้วย​ปีติ, และ​ร้อง​ว่า: นี่​คือ​ความ​ปรารถนา​ของ​ใจ​เรา.” 11

เราอยู่ภายใต้พันธสัญญาที่ต้องโอบอุ้มทั้งคนขัดสนและเป็นพยานถึงพระผู้ช่วยให้รอดตราบเท่าที่ยังมีชีวิตอยู่

เราจะทำได้อย่างแน่นอนก็ต่อเมื่อเรารู้สึกถึงความรักที่เรามีต่อพระผู้ช่วยให้รอดและความรักที่พระองค์ทรงมีต่อเราเท่านั้น ขณะที่เราซื่อสัตย์ต่อสัญญาที่เราทำไว้ เราจะรู้สึกถึงความรักที่เรามีให้พระองค์ ความรักนั้นจะมากขึ้นเพราะเราจะรู้สึกถึงเดชานุภาพและการใกล้ชิดพระองค์ขณะที่เรารับใช้พระองค์

ประธานโธมัส เอส. มอนสันมักจะเตือนเราถึงคำสัญญาที่พระเจ้าประทานแก่สานุศิษย์ที่ซื่อสัตย์ของพระองค์ “และ​ผู้​ใด​ที่รับ​เจ้า, ที่​นั่น​เรา​จะ​อยู่​ด้วย, เพราะ​เรา​จะ​ไป​เบื้องหน้า​เจ้า. เรา​จะ​อยู่​ทาง​ขวา​มือ​เจ้า​และ​ทาง​ซ้าย​เจ้า, และ​พระ​วิญญาณ​ของ​เรา​จะ​อยู่​ใน​ใจ​เจ้า, และ​เหล่าเทพ​ของ​เรา​ห้อมล้อม​เจ้า, เพื่อ​ประคอง​เจ้า​ไว้.”12

มีวิธีอื่นที่ท่านกับข้าพเจ้ารู้สึกว่าพระองค์ทรงใกล้ชิดเรามากขึ้น ขณะที่เราอุทิศตนรับใช้พระองค์ พระองค์ทรงอยู่ใกล้คนที่เรารักในครอบครัวเรามากขึ้น ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าได้รับเรียกให้รับใช้พระองค์ซึ่งต้องย้ายหรือจากครอบครัวไป ข้าพเจ้าพบว่าพระเจ้าทรงอวยพรภรรยาและลูกๆ ของข้าพเจ้า พระองค์ทรงเตรียมผู้รับใช้ของพระองค์ที่เปี่ยมด้วยความรักและโอกาสที่จะช่วยให้ครอบครัวข้าพเจ้าใกล้ชิดพระองค์

ท่านรู้สึกถึงพรเดียวกันนี้ในชีวิตท่าน หลายท่านมีบุคคลที่ท่านรักซึ่งหลงไปจากเส้นทางสู่ชีวิตนิรันดร์ ท่านอาจสงสัยว่าท่านจะทำอะไรได้มากกว่านี้เพื่อพาพวกเขากลับมา ท่านสามารถพึ่งพาพระเจ้าเพื่อเข้าใกล้พวกเขามากขึ้นขณะที่ท่านรับใช้พระองค์ด้วยศรัทธา

ท่านจำได้ถึงคำสัญญาที่พระเจ้าประทานแก่โจเซฟ สมิธและซิดนีย์ ริกดันเมื่อพวกเขาจากครอบครัวไปทำกิจธุระของพระองค์ “เพื่อน​ของ​เรา ซิ​ดนีย์ กับ​โจเซฟ, ครอบครัว​ของ​เจ้า​สบาย​ดี; พวก​เขา​อยู่​ใน​มือ​เรา, และ​เรา​จะ​จัดการ​กับ​พวก​เขา​ดัง​ที่​เรา​เห็น​ว่า​ดี; เพราะ​ใน​เรา​มี​อำนาจ​ทั้งมวล.”13

เช่นเดียวกับแอลมาและกษัตริย์โมไซยาห์ บิดามารดาบางท่านซึ่งเป็นผู้รับใช้ที่ซื่อสัตย์ รับใช้พระเจ้าด้วยดีเป็นเวลานาน มีลูกที่หลงทางไปโดยไม่คำนึงถึงการเสียสละที่บิดามารดามีต่อพระเจ้า พวกเขาทำสุดความสามารถแต่ไม่บังเกิดผล แม้จะได้รับความช่วยเหลือจากเพื่อนๆ ที่เปี่ยมด้วยความรักและซื่อสัตย์

แอลมากับวิสุทธิชนในสมัยของเขาสวดอ้อนวอนให้บุตรของเขาและบุตรของกษัตริย์โมไซยาห์ จากนั้นเทพมาปรากฏ คำสวดอ้อนวอนของท่านและคำสวดอ้อนวอนของผู้ใช้ศรัทธาจะนำผู้รับใช้ของพระเจ้าไปช่วยสมาชิกครอบครัวของท่าน พวกเขาจะช่วยคนเหล่านั้นให้เลือกทางกลับบ้านไปหาพระผู้เป็นเจ้า ถึงแม้พวกเขาจะถูกโจมตีจากซาตานและผู้ติดตามของเขา ซึ่งมีจุดประสงค์จะทำลายครอบครัวในชีวิตนี้และในนิรันดร

ท่านจำถ้อยคำที่เทพพูดกับแอลมาผู้บุตรและพวกบุตรของโมไซยาห์ถึงการกบฎของพวกเขาว่า “และ​อนึ่ง, เทพ​กล่าว​ว่า: ดูเถิด, พระเจ้า​ทรง​ได้ยิน​คำ​สวดอ้อนวอน​จาก​ผู้คน​ของ​พระองค์, และ​คำ​สวด​อ้อนวอน​จาก​แอลมา, ผู้​รับ​ใช้​ของ​พระองค์​ด้วย, ผู้​เป็น​บิดา​เจ้า; เพราะ​ท่าน​สวด​อ้อนวอน​ด้วย​ศรัทธา​มาก​เกี่ยว​กับ​เจ้า​เพื่อ​พระองค์​จะ​ทรง​นำ​เจ้า​มา​สู่​ความ​รู้​เรื่อง​ความ​จริง; ฉะนั้น, เพื่อ​จุด​ประสงค์​นี้​ข้าพเจ้า​จึง​มา​ทำให้​เจ้า​เชื่อ​มั่น​ถึง​เด​ชานุ​ภาพ​และ​อำนาจ​ของ​พระผู้เป็นเจ้า, เพื่อ​คำ​สวดอ้อนวอน​จาก​ผู้​รับ​ใช้​ของ​พระองค์​จะ​ได้​รับ​ตอบ​ตาม​ศรัทธา​ของ​พวก​เขา.” 14

คำสัญญาที่ข้าพเจ้ามีให้ท่านผู้ที่สวดอ้อนวอนและรับใช้พระเจ้าไม่ใช่ว่าท่านจะมีพรทุกประการที่ท่านปรารถนาให้เกิดกับตนเองและครอบครัว แต่ข้าพเจ้าสัญญากับท่านได้ว่าพระผู้ช่วยให้รอดจะเข้าใกล้ท่านและประทานพรท่านกับครอบครัวด้วยสิ่งดีเลิศ ความรักของพระองค์จะปลอบโยนท่านและท่านจะรู้สึกถึงคำตอบของการใกล้ชิดพระองค์ขณะยื่นมือออกไปรับใช้ผู้อื่น ขณะที่ท่านสมานแผลคนขัดสนและเสนอการชำระล้างให้สะอาดจากการชดใช้ของพระองค์แก่ผู้ที่โทมนัสในบาป เดชานุภาพของพระเจ้าจะค้ำจุนท่าน พระพาหุของพระองค์จะเอื้อมออกไปพร้อมกับแขนท่านเพื่อช่วยเหลือและเป็นพรแก่บุตรธิดาของพระบิดาบนสวรรค์ รวมทั้งคนที่อยู่ในครอบครัวท่าน

มีการคืนสู่เหย้าอันรุ่งโรจน์เตรียมไว้ให้เรา ในเวลานั้นเราจะเห็นคำสัญญาที่มีสัมฤทธิผลของพระเจ้าที่เรารัก นั่นคือพระองค์ผู้ที่ทรงต้อนรับเราเข้าสู่ชีวิตนิรันดร์กับพระองค์และพระบิดาบนสวรรค์ของเรา พระเยซูคริสต์ทรงอธิบายไว้ดังนี้

“จง​หมายมั่น​นำ​ไซ​อัน​ออก​มา​และ​สถาปนา​ไซ​อัน​ของ​เรา. จง​รักษา​บัญญัติ​ของ​เรา​ใน​ทุก​สิ่ง.

“และ, หาก​เจ้ารักษา​บัญญัติ​ของ​เรา​และอดทน​จนกว่า​ชีวิต​จะ​หาไม่ เจ้า​จะ​มีชีวิตนิรันดร์, ซึ่ง​ของ​ประทาน​นี้​สำคัญ​ที่สุด​ใน​บรรดา​ของ​ประทาน​ทั้งปวง​ของ​พระผู้เป็นเจ้า.”15

“เพราะ​คน​เหล่า​นั้น​ที่​มี​ชีวิต​อยู่​จะ​สืบทอด​แผ่นดิน​โลก​เป็น​มรดก, และ​คน​เหล่า​นั้น​ที่สิ้นชีวิต​จะ​พักผ่อน​จาก​การ​ทำ​งาน​ทั้งหมด, และ​งาน​ของ​พวก​เขา​จะ​ติดตาม​พวก​เขา​ไป; และ​พวก​เขา​จะ​ได้​รับ​มงกุฎ​ในปราสาท​ของ​พระ​บิดา​แห่ง​เรา, ซึ่ง​เรา​เตรียม​ไว้​ให้​พวก​เขา.”16

ข้าพเจ้าเป็นพยานว่า โดยพระวิญญาณเราสามารถทำตามพระดำรัสเชื้อเชิญของพระบิดาบนสวรรค์ที่ว่า “นี่​คือบุตรที่รัก​ของ​เรา. จง​ฟัง​ท่าน!”17

จากพระวจนะและแบบอย่างของพระคริสต์ พระองค์ทรงแสดงให้เราเห็นวิธีเข้าใกล้พระองค์มากขึ้น บุตรธิดาทุกคนของพระบิดาบนสวรรค์ผู้ที่เลือกผ่านประตูบัพติศมาเข้าสู่ศาสนจักรของพระองค์จะมีโอกาสในชีวิตนี้ที่จะเรียนพระกิตติคุณและได้ยินผู้รับใช้ที่พระองค์ทรงเรียก กล่าวถึงพระดำรัสเชิญของพระองค์ที่ว่า “จงมาหาเรา” 18

ผู้รับใช้ในพันธสัญญาทุกคนภายในอาณาจักรของพระองค์บนแผ่นดินโลก และในโลกแห่งวิญญาณ จะได้รับแนวทางจากพระองค์โดยพระวิญญาณขณะเป็นพรและรับใช้ผู้อื่นแทนพระองค์ และพวกเขาจะรู้สึกถึงความรักของพระองค์ และพบปีติในการเข้าใกล้พระองค์มากขึ้น

ข้าพเจ้าเป็นพยานถึงการฟื้นคืนพระชนม์ของพระเจ้าอย่างแน่นอนเสมือนหนึ่งข้าพเจ้าอยู่ที่นั่นในค่ำคืนที่มีสานุศิษย์สองคนอยู่ในบ้านบนถนนไปสู่เอมมาอูส ข้าพเจ้าทราบว่าพระองค์ทรงพระชนม์อย่างแน่นอนเหมือนกับที่โจเซฟ สมิธทราบเมื่อเขาเห็นพระบิดาและพระบุตรในแสงเรืองรองของรุ่งอรุณอันสดใสในป่าที่พอลไมรา

นี่คือศาสนจักรที่แท้จริงของพระเยซูคริสต์ มีเพียงกุญแจฐานะปุโรหิตที่ประธานโธมัส เอส. มอนสันถืออยู่เท่านั้นที่มีอำนาจให้เราผนึกเป็นครอบครัวเพื่อดำเนินชีวิตนิรันดร์กับพระบิดาบนสวรรค์และพระเจ้าพระเยซูคริสต์ ในวันพิพากษาเราจะยืนอยู่เบื้องพระพักตร์พระผู้ช่วยให้รอด จะเป็นเวลาแห่งปีติสำหรับผู้ที่เข้าใกล้พระองค์มากขึ้นในการรับใช้พระองค์ในชีวิตนี้ เป็นปีติที่จะได้ยินพระดำรัสว่า “ดีแล้ว เจ้าเป็นบ่าวที่ดีและซื่อสัตย์”19 ข้าพเจ้าเป็นพยานถึงพระผู้ช่วยให้รอดที่ทรงฟื้นและพระผู้ไถ่ของเราในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน