2010–2019
การเชื่อฟังนำมาซึ่งพร
เมษายน 2013


การเชื่อฟังนำมาซึ่งพร

ความรู้เรื่องความจริงและคำตอบของคำถามสำคัญที่สุดมาสู่เราเมื่อเราเชื่อฟังพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า

พี่น้องที่รักทั้งหลาย ช่างเป็นความปลาบปลื้มที่ได้อยู่กับท่านเช้าวันนี้ ข้าพเจ้าขอศรัทธาและคำสวดอ้อนวอนจากท่านขณะได้รับเกียรติที่จะกล่าวคำปราศรัยกับท่าน

ตลอดยุคสมัยที่ผ่านมา ชายหญิงต่างแสวงหาความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการดำรงอยู่ของชีวิตมรรตัยนี้ว่าตนเองอยู่ตรงจุดไหนและมีจุดประสงค์อะไรในนั้น ตลอดจนวิถีทางสู่ความสงบและความสุข เราแต่ละคนเกี่ยวข้องอยู่กับการค้นหาเช่นนั้น

ความรู้ความเข้าใจนี้มีให้แก่มวลมนุษย์ และประกอบด้วยความจริงอันเป็นนิรันดร์ ในหลักคำสอนและพันธสัญญาภาคที่ 1 ข้อ 39 อ่านว่า “เพราะดูเถิด, และดูสิ, พระเจ้าคือพระผู้เป็นเจ้า, และพระวิญญาณรับสั่งคำพยาน, และคำพยานเป็นความจริง, และความจริงดำรงอยู่ตลอดกาลและตลอดไป.”

กวีรจนา ดังนี้

แม้โลกแตกแหลกลงและสวรรค์หันลับตา

แต่สัจจาแหล่งรวมชีวังยังคงอยู่คู่กาลเนิ่นนาน

ชั่วนิจนิรันดร์มิผันแปร1

บางคนกล่าวว่า “ความจริงเช่นนั้นจะหาได้จากที่ใด และจะทราบได้อย่างไรว่านั่นคือความจริง” ในการเปิดเผยผ่านศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธ ที่เคิร์ทแลนด์ โอไฮโอ เดือนพฤษภาคม ปี 1833 พระเจ้าทรงประกาศว่า

“ความจริงคือความรู้ถึงสิ่งทั้งหลายดังที่เป็นอยู่, และดังที่เป็นมา, และดังที่จะเป็น…

“พระวิญญาณแห่งความจริงมาจากพระผู้เป็นเจ้า…

“และไม่มีมนุษย์คนใดได้รับความสมบูรณ์ เว้นแต่เขารักษาพระบัญญัติของพระองค์

“คนที่รักษาพระบัญญัติ [ของพระผู้เป็นเจ้า] ได้รับความจริงและแสงสว่าง, จนเขารุ่งโรจน์ในความจริงและรู้สิ่งทั้งปวง.”2

ช่างเป็นคำสัญญาที่ล้ำเลิศยิ่งนัก! “คนที่รักษาพระบัญญัติ [ของพระผู้เป็นเจ้า] ได้รับความจริงและแสงสว่าง, จนเขารุ่งโรจน์ในความจริงและรู้สิ่งทั้งปวง”

ไม่มีความจำเป็นสำหรับท่านหรือข้าพเจ้า ในยุคความรู้แจ้งซึ่งความสมบูรณ์ของพระกิตติคุณได้รับการฟื้นฟู ที่จะต้องล่องเรือไปในทะเลแปลกหรือเดินทางตามถนนไร้รอยเท้าเพื่อค้นหาความจริง พระบิดาบนสวรรค์ผู้เปี่ยมด้วยความรักทรงวางเส้นทางและจัดหาแนวทางที่เชื่อถือได้ไว้ให้แล้ว—นั่นคือ การเชื่อฟัง ความรู้เรื่องความจริงและคำตอบของคำถามสำคัญที่สุดมาสู่เราเมื่อเราเชื่อฟังพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า

เราเรียนรู้การเชื่อฟังตลอดชีวิตของเรา เริ่มตั้งแต่เรายังเล็ก ผู้ที่รับผิดชอบดูแลเราวางแนวทางและกฎเกณฑ์ไว้เพื่อให้เราปลอดภัย ชีวิตจะง่ายขึ้นกับเราทุกคนถ้าเราเชื่อฟังกฎเกณฑ์ดังกล่าวอย่างครบถ้วน แต่เราหลายคนเรียนรู้ผ่านประสบการณ์ถึงปัญญาของการเป็นคนเชื่อฟัง

สมัยข้าพเจ้ายังเด็ก ทุกฤดูร้อนตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคมจนถึงเดือนกันยายน ครอบครัวข้าพเจ้าจะพักอยู่บ้านไม้ซุงที่วิเวียนพาร์คในโพรโวแคนยอน รัฐยูทาห์

เพื่อนสนิทคนหนึ่งของข้าพเจ้าในช่วงวันสบายๆ เหล่านั้นที่แคนยอนคือแดนนีย์ ลาร์เซ็น ครอบครัวเขามีบ้านไม้ซุงที่วิเวียนพาร์คเช่นกัน ทุกๆ วันเขากับข้าพเจ้าจะเดินเตร่ไปทั่วแดนสวรรค์ของเด็กชายแห่งนี้ ตกปลาในลำธารและแม่น้ำ เก็บก้อนหินและสมบัติอื่นๆ เดินเที่ยว ปีนเขา สนุกไปกับทุกนาทีในทุกชั่วโมงของแต่ละวัน

เช้าวันหนึ่งแดนนีย์กับข้าพเจ้าตัดสินใจว่าเราต้องการจัดกิจกรรมรอบกองไฟค่ำวันนั้นกับเพื่อนคนอื่นๆ ในแคนยอน เพียงแต่ต้องจัดการบริเวณทุ่งใกล้ๆ ให้โล่งเพื่อเราจะได้มารวมตัวกัน หญ้าเดือนมิถุนายนที่ปกคลุมท้องทุ่งบริเวณนั้นกลายเป็นหญ้าแห้งและมีหนาม ทำให้ไม่เหมาะกับจุดประสงค์ของเรา เราจึงลงมือถอนหญ้าที่มีลำต้นสูงเพื่อให้เป็นที่โล่งวงกลมขนาดใหญ่ เราดึงและทึ้งสุดกำลัง แต่ผลที่ได้คือวัชพืชกำจัดยากเพียงไม่กี่กำมือ เรารู้ว่าภารกิจนี้คงต้องใช้เวลาทั้งวัน และเราก็เริ่มหมดแรงหมดกำลังใจแล้ว

แล้วสิ่งที่ข้าพเจ้านึกได้ก็เป็นทางออกสมบูรณ์แบบที่สุดที่เข้ามาสู่ความคิดเด็กแปดขวบอย่างข้าพเจ้า ข้าพเจ้าบอกแดนนีย์ว่า “ที่เราต้องทำคือจุดไฟเผาวัชพืชพวกนี้ เราแค่ต้อง เผา วัชพืชในวงกลมเท่านั้นเอง!” เขารีบเห็นด้วย แล้วข้าพเจ้าก็วิ่งกลับบ้านไปเอาไม้ขีด

เผื่อใครจะคิดว่าเราได้รับอนุญาตให้ใช้ไม้ขีดทั้งที่ยังเป็นเด็กแปดขวบอยู่นั้น ข้าพเจ้าขอชี้แจงว่าทั้งแดนนีย์กับข้าพเจ้าถูกห้ามใช้ไม้ขีดโดยไม่มีผู้ใหญ่ดูแล เราทั้งคู่ได้รับการเตือนอยู่เสมอให้ระวังอันตรายจากไฟ แต่ข้าพเจ้ารู้ว่าครอบครัวเก็บไม้ขีดไว้ที่ไหน และเราต้องจัดการทุ่งนั้นให้เรียบร้อย ยังไม่ทันได้คิดอย่างอื่น ข้าพเจ้าก็วิ่งเข้าไปคว้าไม้ขีดสองสามก้านจากในบ้าน โดยระวังไม่ให้ใครเห็น แล้วรีบซ่อนไว้ในกระเป๋าข้างหนึ่ง

ข้าพเจ้าวิ่งกลับไปหาแดนนีย์ ตื่นเต้นที่มีทางแก้ปัญหาของเราติดกระเป๋ามาด้วย ข้าพเจ้าจำได้ตอนนั้นคิดว่าไฟจะไหม้เฉพาะส่วนที่เราต้องการ แล้วจากนั้นมันจะดับไปเองอย่างมหัศจรรย์

ข้าพเจ้าจุดไม้ขีดกับก้อนหินและเผาหญ้าเดือนมิถุนายนให้ลุกไหม้ เปลวไฟก่อตัวขึ้นราวกับชุ่มด้วยน้ำมันเชื้อเพลิง ตอนแรกแดนนีย์กับข้าพเจ้าตื่นเต้นเมื่อมองดูวัชพืชหายไป แต่ไม่นานก็ปรากฏว่าไฟไม่ได้กำลังจะดับไปเอง เราตื่นกลัวเมื่อตระหนักว่าเราไม่มีทางหยุดไฟไว้ได้ เปลวเพลิงขนาดใหญ่เริ่มลุกลามหญ้าป่าขึ้นไปถึงไหล่เขา เป็นภัยต่อดงสนและทุกอย่างที่กีดขวางเส้นทางของมัน

ในที่สุดเราไม่มีทางเลือกนอกจากวิ่งไปขอความช่วยเหลือ ไม่นานชายหญิงที่อยู่ในวิเวียนพาร์คก็วิ่งกลับไปกลับมาพร้อมกับถุงกระสอบเปียกตีลงมาที่เปลวไฟเพื่อดับเพลิง หลังจากหลายชั่วโมงผ่านไปเถ้าถ่านกองสุดท้ายก็ดับลง ดงสนเก่าแก่ปลอดภัย เช่นเดียวกับบ้านทั้งหลายที่เพลิงคงลามไปถึงในที่สุด

แดนนีย์กับข้าพเจ้าเรียนรู้บทเรียนยากๆ แต่สำคัญหลายอย่างในวันนั้น—บทเรียนหลักคือความสำคัญของการเชื่อฟัง

มีกฎเกณฑ์และกฎหมายเพื่อช่วยให้เราปลอดภัยทางร่างกาย ในทำนองเดียวกัน พระเจ้าทรงจัดหาแนวทางและพระบัญญัติเพื่อช่วยให้แน่ใจว่าเราปลอดภัยทางวิญญาณ เพื่อที่เราจะประสบความสำเร็จในการสำรวจเส้นทางชีวิตมรรตัยที่มักจะมีอันตรายและกลับไปหาพระบิดาบนสวรรค์ของเราในที่สุด

หลายศตวรรษที่ผ่านมา ซามูเอลประกาศชัดเจนกับคนรุ่นหนึ่งที่หมกมุ่นอยู่ในประเพณีสัตวบูชาว่า “ที่จะเชื่อฟังก็ดีกว่าเครื่องสัตวบูชา และซึ่งจะเอาใจใส่ก็ดีกว่าไขมันของบรรดาแกะผู้”3

ในสมัยการประทานนี้ พระเจ้าทรงเปิดเผยต่อศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธว่าทรงเรียกร้อง “ใจและความคิดที่เต็มใจ; และคนเต็มใจและคนเชื่อฟังจะกินสิ่งดีของแผ่นดินแห่งไซอันในวันเวลาสุดท้ายนี้.”4

ศาสดาพยากรณ์ทุกท่านทั้งสมัยโบราณและสมัยปัจจุบันต่างทราบว่าการเชื่อฟังสำคัญยิ่งต่อความรอดของเรา นีไฟประกาศว่า “ข้าพเจ้าจะไปและทำสิ่งที่พระเจ้าทรงบัญชา”5 แม้คนอื่นๆ จะสั่นคลอนในศรัทธาและการเชื่อฟัง แต่นีไฟไม่เคยพลาดทำสิ่งที่พระเจ้าทรงร้องขอเลยสักครั้ง คนมากมายหลายรุ่นได้รับพรเพราะเหตุนั้น

เรื่องราวกระตุ้นจิตวิญญาณเกี่ยวกับการเชื่อฟังคือเรื่องของอับราฮัมกับอิสอัค เป็นเรื่องยากแสนสาหัสเพียงใดสำหรับอับราฮัมที่จะเชื่อฟังพระบัญชาของพระผู้เป็นเจ้าในการนำอิสอัคอันเป็นที่รักไปยังดินแดนโมริยาห์เพื่อถวายเขาเป็นเครื่องบูชา เราจินตนาการได้ไหมถึงความทุกข์ใจของอับราฮัมขณะเดินทางไปยังจุดนัดหมายนั้น ความปวดร้าวต้องทรมานร่างกายและทารุณจิตใจของเขาเป็นแน่แท้ขณะมัดอิสอัควางบนแท่นบูชาและหยิบมีดขึ้นมาเพื่อปลิดชีพ ด้วยศรัทธาอันไม่สั่นคลอนและความวางใจแน่วแน่ในพระเจ้า เขาตอบรับพระบัญชาจากพระเจ้า คำประกาศวิเศษยิ่งที่ย่อมมาพร้อมกับความปลาบปลื้มยินดีกล่าวดังนี้ “อย่าแตะต้องเด็กนั้น อย่าทำอะไรเขาเลย เพราะบัดนี้เรารู้แล้วว่าเจ้ายำเกรงพระเจ้า และเจ้าไม่ได้หวงบุตรชาย คือบุตรชายคนเดียวของเจ้าไว้จากเรา” 6

อับราฮัมถูกทดลองและทดสอบ พระเจ้าประทานสัญญาล้ำเลิศสำหรับความซื่อสัตย์และการเชื่อฟังของเขาว่า “ประชาชาติทั้งหมดในโลกจะได้พรเพราะเชื้อสายของเจ้า เพราะว่าเจ้าเชื่อฟังเรา”7

ถึงแม้พระองค์มิได้ทรงขอให้เราพิสูจน์การเชื่อฟังในวิธีตื่นเต้นและบีบคั้นหัวใจเช่นนั้น แต่พระองค์ทรงเรียกร้องการเชื่อฟังจากเราเช่นกัน

ประธานโจเซฟ เอฟ. สมิธ ประกาศในเดือนตุลาคมปี 1873 ว่า “การเชื่อฟังเป็นกฎแรกแห่งสวรรค์”8

ประธานกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์กล่าวว่า “ความสุขของวิสุทธิชนยุคสุดท้าย สันติสุขของวิสุทธิชนยุคสุดท้าย ความก้าวหน้าของวิสุทธิชนยุคสุดท้าย ความเจริญรุ่งเรืองของวิสุทธิชนยุคสุดท้าย ตลอดจนความรอดนิรันดร์และความสูงส่งของผู้คนเหล่านี้ขึ้นอยู่กับการเชื่อฟังคำแนะนำจาก…พระผู้เป็นเจ้า”9

การเชื่อฟังเป็นเครื่องหมายของศาสดาพยากรณ์ คือสิ่งที่ให้ความเข้มแข็งและความรู้แก่ท่านเหล่านั้นตลอดทุกยุคทุกสมัย สำคัญยิ่งที่เราต้องตระหนักว่าเรามีสิทธิ์ได้รับความเข้มแข็งและความรู้จากแหล่งนี้เช่นกัน นี่คือสิ่งที่มีพร้อมไว้ให้เราแต่ละคนวันนี้เมื่อเราเชื่อฟังพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า

ตลอดหลายปี ข้าพเจ้ารู้จักบุคคลนับไม่ถ้วนที่ซื่อสัตย์และเชื่อฟังเป็นพิเศษ ข้าพเจ้าได้รับพรและแรงบันดาลใจจากคนเหล่านั้น จึงขอเล่าเรื่องราวของบุคคลสองท่านที่มีลักษณะดังกล่าวให้ท่านฟัง

วอลเตอร์ เคราซ์ เป็นสมาชิกศาสนจักรที่มีศรัทธาแน่วแน่ เขากับครอบครัวอาศัยอยู่ในเขตที่เรียกกันหลังสงครามโลกครั้งที่สองว่าเยอรมนีตะวันออก ถึงแม้จะประสบความทุกข์ยากเนื่องจากขาดเสรีภาพในภูมิภาคดังกล่าวของโลก ณ เวลานั้น แต่บราเดอร์เคราซ์เป็นชายที่รักและรับใช้พระเจ้า เขาทำงานมอบหมายแต่ละงานให้เกิดสัมฤทธิผลอย่างละเอียดถี่ถ้วนด้วยความซื่อสัตย์

ชายอีกคนหนึ่งชื่อ โยฮัน เดนน์ดอเฟอร์ ชาวฮังการีแต่กำเนิด เป็นผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสศาสนจักรในเยอรมนีและรับบัพติศมาที่นั่นในปี 1911 เมื่ออายุ 17 ปี ไม่นานหลังจากนั้นเขากลับไปที่ฮังการี หลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง เขาเกือบจะกลายเป็นนักโทษในบ้านเกิดของตนเองที่เมืองเดเบรตเซน เสรีภาพถูกนำไปจากชาวฮังการีเช่นกัน

บราเดอร์วอลเตอร์ เคราซ์ซึ่งไม่รู้จักบราเดอร์เดนน์ดอเฟอร์ ได้รับงานมอบหมายให้เป็นผู้สอนประจำบ้านและไปเยี่ยมเขาเป็นประจำ บราเดอร์เคราซ์โทรศัพท์บอกคู่สอนประจำบ้านของเขาว่า “เราได้รับมอบหมายให้เยี่ยมบราเดอร์โยฮัน เดนน์ดอเฟอร์ คุณจะว่างไปหาเขาด้วยกันสัปดาห์นี้และแบ่งปันข่าวสารพระกิตติคุณกับเขาไหมครับ” เขาเสริมต่อจากนั้นว่า “บราเดอร์เดนน์ดอเฟอร์อยู่ในฮังการี”

คู่ของเขาตกใจถามว่า “เราจะออกเดินทางเมื่อไหร่ครับ”

“พรุ่งนี้” คือคำตอบจากบราเดอร์เคราซ์

“แล้วเราจะกลับเมื่อไร” คู่ถาม

บราเดอร์เคราซ์ตอบว่า “โอ คงประมาณหนึ่งสัปดาห์—ถ้าเรา ได้ กลับ”

คู่สอนประจำบ้านสองคนนี้ไปเยี่ยมบราเดอร์เดนน์ดอเฟอร์ เดินทางโดยรถไฟและรถโดยสารจากฝั่งตะวันออกเฉียงเหนือของเยอรมนีไปยังเมืองเดเบรตเซน ฮังการี—นับเป็นการเดินทางที่ยาวไกล บราเดอร์เดนน์ดอเฟอร์ไม่มีผู้สอนประจำบ้านตั้งแต่ก่อนสงคราม พอเขาเห็นผู้รับใช้ของพระเจ้าคู่นี้ เขาท่วมท้นไปด้วยความสำนึกคุณที่ทั้งคู่มา เขาปฏิเสธที่จะจับมือด้วยในตอนแรก แต่กลับเข้าไปในห้องนอนและนำกล่องเก็บเงินส่วนสิบที่เขาเก็บมาหลายปีออกจากตู้ เขายื่นส่วนสิบให้ผู้สอนประจำบ้านพลางบอกว่า “ผมได้ชำระหนี้พระเจ้าแล้ว ตอนนี้ ผมรู้สึกมีค่าควรที่จะจับมือกับผู้รับใช้ของพระเจ้า!” บราเดอร์เคราซ์บอกข้าพเจ้าภายหลังว่าเขาประทับใจเกินกว่าจะบรรยายได้เมื่อคิดว่าบราเดอร์ผู้ซื่อสัตย์คนนี้ไม่ได้ติดต่อกับศาสนจักรมาหลายปี แต่ได้เก็บ 10 เปอร์เซ็นต์จากรายได้อันน้อยนิดไว้เพื่อจ่ายส่วนสิบ เขาเก็บส่วนสิบไว้โดยที่ไม่รู้ว่าเมื่อใดจะมีโอกาสจ่ายหรือจะมีโอกาสนั้นหรือไม่

บราเดอร์วอลเตอร์ เคราซ์สิ้นชีวิตเมื่อเก้าปีที่แล้ว ขณะอายุ 94 ปี เขารับใช้อย่างซื่อสัตย์และเชื่อฟังตลอดชีวิต เขาเป็นแรงบันดาลใจให้ข้าพเจ้าและทุกคนที่รู้จักเขา เมื่อขอให้เขาทำงานมอบหมาย เขาไม่เคยมีคำถาม เขาไม่เคยพร่ำบ่น และเขาไม่เคยหาข้ออ้าง

พี่น้องทั้งหลาย บททดสอบสำคัญในชีวิตนี้คือการเชื่อฟัง “พวกเราจะพิสูจน์พวกเขาโดยวิธีนี้,” พระเจ้าตรัส “เพื่อดูว่าพวกเขาจะทำสิ่งทั้งปวงไม่ว่าอะไรก็ตามที่พระเจ้า พระผู้เป็นเจ้าของพวกเขาจะทรงบัญชาพวกเขาหรือไม่”10

พระผู้ช่วยให้รอดทรงประกาศว่า “เพราะคนทั้งปวงที่ปรารถนารับพรจากมือเราจะปฏิบัติตามกฎซึ่งกำหนดไว้สำหรับพรนั้น, และเงื่อนไขในนั้น, ดังที่วางไว้นับแต่ก่อนการวางรากฐานของโลก.”11

ไม่มีแบบอย่างใดยิ่งใหญ่ไปกว่าแบบอย่างของพระผู้ช่วยให้รอด เปาโลให้ข้อสังเกตเกี่ยวกับพระองค์ว่า

“ถึงแม้ว่าพระองค์เป็นพระบุตร พระองค์ก็ทรงเรียนรู้ที่จะเชื่อฟังโดยการทนทุกข์ต่างๆ

“เมื่อพระเจ้าทรงทำให้พระเยซูเพียบพร้อมแล้ว พระเยซูจึงทรงเป็นแหล่งกำเนิดแห่งความรอดนิรันดร์สำหรับทุกคนที่เชื่อฟังพระองค์”12

พระผู้ช่วยให้รอดทรงสาธิตให้เห็นความรักแท้จริงของพระผู้เป็นเจ้าด้วยการดำเนินพระชนม์ชีพดีพร้อม ด้วยการให้เกียรติพันธกิจอันศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นของพระองค์ พระองค์มิได้หยิ่งยโส มิได้ทรงลำพองด้วยความจองหอง ไม่เคยทรยศ ทรงมีจริยาวัตรอ่อนน้อม ทรงมีน้ำพระทัยบริสุทธิ์ พระองค์ทรงเชื่อฟังเสมอ

ถึงแม้พระองค์จะถูกล่อลวงโดยจอมหลอกลวง แม้มารตนนั้น ถึงแม้พระองค์ทรงมีพระวรกายอ่อนแอจากการอดอาหาร 40 วัน 40 คืนและทรงหิวโหย แต่เมื่อมารยื่นข้อเสนอที่โน้มน้าวและล่อใจที่สุด พระองค์ได้ประทานแบบอย่างอันสูงส่งของการเชื่อฟังให้เราด้วยการปฏิเสธไม่ยอมหันเหจากสิ่งที่พระองค์ทรงทราบว่าถูกต้อง13

เมื่อเผชิญกับความทรมานแสนสาหัสที่เกทเสมนี พระองค์ทรงทนรับความเจ็บปวดจน “เหงื่อของพระองค์เป็นเหมือนโลหิตเม็ดใหญ่ไหลหยดลงถึงดิน”14 พระองค์ทรงเป็นแบบอย่างของพระบุตรที่เชื่อฟังด้วยการตรัสว่า “ข้าแต่พระบิดา ถ้าพระองค์พอพระทัย ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์ แต่อย่างไรก็ดี อย่าให้เป็นไปตามใจข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์”15

เมื่อพระผู้ช่วยให้รอดทรงสั่งอัครสาวกยุคแรก พระองค์ทรงสั่งท่านกับข้าพเจ้าด้วยว่า “จงตามเรามาเถิด”16 เราเต็มใจเชื่อฟังหรือไม่

ความรู้ที่เราแสวงหา คำตอบที่เราใฝ่ฝัน และความเข้มแข็งที่เราปรารถนาวันนี้เพื่อรับมือกับความท้าทายในโลกที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา จะเป็นของเราได้เมื่อเราเต็มใจเชื่อฟังพระบัญญัติของพระเจ้า ข้าพเจ้าขอยกพระวจนะของพระเจ้าอีกครั้งว่า “คนที่รักษาพระบัญญัติ [ของพระผู้เป็นเจ้า] ได้รับความจริงและแสงสว่าง, จนเขารุ่งโรจน์ในความจริงและรู้สิ่งทั้งปวง”17

ข้าพเจ้าน้อมสวดอ้อนวอนขอให้เราได้รับพรด้วยรางวัลมากมายที่สัญญาไว้แก่ผู้เชื่อฟัง ในพระนามของพระเยซูคริสต์ พระเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอดของเรา เอเมน