2010–2019
จงเปลี่ยนใจเลื่อมใส
ตุลาคม 2013


จงเปลี่ยนใจเลื่อมใส

การเปลี่ยนใจเลื่อมใสเกิดขึ้นเมื่อท่านประพฤติตามคำสอนที่ท่านรู้ว่าจริงและรักษาพระบัญญัติต่อไป วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า 

พี่น้องชายหญิง ช่างเป็นประสบการณ์อันนอบน้อมที่ได้ยืนอยู่ตรงแท่นนี้ที่วีรชนหลายๆ ท่านในชีวิตดิฉันเคยยืน ดิฉันอยากแบ่งปันความรู้สึกบางอย่างในใจของดิฉันกับท่านและส่งถึงเยาวชนเป็นพิเศษ

วีรชนที่ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่งจากพระคริสต์ธรรมคัมภีร์เดิมคือนักรบศาสดาพยากรณ์โยชูวา ท่านเชื้อเชิญลูกหลานของอิสราเอลผู้ที่ท่านนำให้ดังนี้ “ท่านก็จงเลือกเสียในวันนี้ว่าท่านจะปรนนิบัติใคร ... แต่ส่วนข้าพเจ้าและครอบครัวของข้าพเจ้า เราจะปรนนิบัติพระยาห์เวห์”1 ถ้อยแถลงของโยชูวาแสดงออกถึงการเปลี่ยนใจเลื่อมใสอย่างแท้จริงสู่พระกิตติคุณ สำหรับโยชูวาและเราทุกคน การเปลี่ยนใจเลื่อมใสสู่หลักธรรมพระกิตติคุณมาโดยการดำเนินชีวิตตามหลักธรรมแห่งพระกิตติคุณอย่างชอบธรรมและซื่อสัตย์ต่อพันธสัญญากับพระเจ้าของเรา

ดิฉันอยากแบ่งปันเรื่องราวการเปลี่ยนใจเลื่อมใสจากประวัติครอบครัวของดิฉันเกี่ยวกับวีรชนอีกท่านหนึ่งของดิฉัน ท่านชื่อแอ็กเนส ฮอกแกน เธอและสามีของเธอเข้าร่วมกับศาสนจักรในสก็อตแลนด์ในปี ค.ศ. 1861 เนื่องจากต้องทุกข์ทรมานกับการข่มเหงอย่างแสนสาหัสในบ้านเกิดของพวกท่าน พวกท่านจึงอพยพไปที่อเมริกากับลูกๆ หลายปีถัดมา แอ็กเนสกลายเป็นหม้ายที่ต้องดูแลลูกแปดคนและทำงานหนักเพื่อให้พวกเขามีอาหารและเสื้อผ้า อิซาเบล ลูกสาววัย 12 ปีของเธอโชคดีมากที่ได้ทำงานเป็นคนรับใช้ให้กับครอบครัวที่ร่ำรวยแต่ไม่ใช่วิสุทธิชนยุคสุดท้าย

อิซาเบลอาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่และช่วยดูแลลูกเล็กๆ ของพวกเขา เพื่อเป็นการตอบแทนการทำงานของเธอ มีการจ่ายค่าจ้างเล็กน้อยให้แม่ของเธอทุกสัปดาห์ ไม่นานอิซาเบลถูกรับเป็นสมาชิกของครอบครัวและเริ่มได้รับสิทธิพิเศษต่างๆ เช่นเดียวกับสมาชิกในครอบครัวคนอื่น อาทิ เรียนเต้นรำ ใส่เสื้อผ้าที่สวยงาม และไปดูละคร สิ่งนี้ดำเนินไปสี่ปีจนกระทั่งครอบครัวที่อิซาเบลทำงานอยู่ด้วยต้องย้ายไปอีกรัฐ พวกเขารักอิซาเบลมากจนพวกเขาไปพบแม่ของเธอและขออนุญาตรับเธอเป็นบุตรบุญธรรมอย่างถูกกฎหมาย พวกเขาสัญญาว่าพวกเขาจะให้เธอได้รับการศึกษาที่ดี ดูว่าเธอจะแต่งงานออกเรือนไปด้วยดี และให้เธอเป็นผู้รับมรดกในทรัพย์สินของพวกเขาร่วมกับลูกๆ ของพวกเขา และพวกเขาจะยังคงจ่ายเงินให้กับแอ็กเนสต่อไป

มารดาหม้ายที่ลำบากคนนี้ต้องตัดสินใจยากลำบาก แต่เธอไม่ลังเลสักนิด ฟังดูคำพูดของหลานสาวเธอที่เขียนไว้หลายปีถัดมา: “หากความรักของเธอไม่ได้ทำให้ [เธอ] ปฏิเสธ เธอก็มีเหตุผลที่ดีกว่านั้นมากนัก—เธอจากสก็อตแลนด์มาและต้องผ่านกับความยากลำบากและการทดลองเพื่อพระกิตติคุณ และเธอไม่ได้ตั้งใจจะปล่อยให้ลูกคนหนึ่งใดของเธอสูญเสียสิ่งที่เธอมาไกลขนาดนี้ หากปุถุชนคนหนึ่งพึงให้ได้”2 ครอบครัวที่ร่ำรวยนั้นใช้ข้อโต้แย้งทุกเรื่องที่เป็นไปได้ และตัวอิซาเบลเองร้องไห้และวิงวอนขออนุญาตให้เธอไป แต่แอ็กเนสยืนยันหนักแน่น อย่างที่ท่านจะจินตนาการได้ อิซาเบลเด็กสาวอายุ 16 ปีรู้สึกอย่างกับว่าชีวิตเธอถูกทำลาย

อิซาเบล ฮอกแกนเป็นทวดของดิฉัน และดิฉันสำนึกคุณสำหรับประจักษ์พยานและความเชื่อมั่นซึ่งลุกโชติช่วงในใจของแม่เธอเป็นอย่างมาก ที่ไม่ยอมให้เธอแลกสมาชิกภาพในศาสนจักรของลูกสาวเธอไปกับคำสัญญาทางโลก ในวันนี้ ลูกหลานหลายร้อยคนของเธอที่มีความสุขกับพรของการเป็นสมาชิกในศาสนจักรเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากศรัทธาอันหยั่งรากลึกและการเปลี่ยนใจเลื่อมใสสู่พระกิตติคุณของแอ็กเนส

เพื่อนวัยเยาว์ของดิฉัน เราอยู่ในเวลาที่เต็มไปด้วยอันตรายและการตัดสินใจที่ท่านต้องทำในแต่ละวัน แต่ละชั่วโมงมีผลนิรันดร์ การตัดสินใจที่ท่านทำในชีวิตประจำวันของท่านจะตัดสินว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับท่านในภายหลัง หากท่านยังไม่ได้มีประจักษ์พยานและความเชื่อที่หยั่งรากลึกว่าศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายเป็นอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าบนโลก บัดนี้ถึงเวลาที่ท่านต้องทำทุกอย่างเพื่อได้รับความเชื่อเช่นนั้น การเลื่อนความพยายามเพื่อได้มาซึ่งความเชื่อมั่นเช่นนั้นออกไปจะเป็นอันตรายต่อจิตวิญญาณของท่าน

การเปลี่ยนใจเลื่อมใสที่แท้จริงเป็นมากกว่าการมีความรู้เกี่ยวกับหลักธรรมพระกิตติคุณเท่านั้นและหมายถึงต้องมีมากกว่าแค่ประจักษ์พยานเกี่ยวกับหลักธรรมเหล่านั้น เป็นไปได้ที่จะมีประจักษ์พยานเกี่ยวกับพระกิตติคุณโดยไม่ได้ดำเนินชีวิตตามนั้น การเปลี่ยนใจเลื่อมใสที่แท้จริงหมายถึงเรากระทำตามสิ่งที่เราเชื่อและยอมให้สิ่งนั้นทำการ “เปลี่ยนแปลงอันล้ำลึกในเรา,หรือในใจเรา”3 ในจุลสาร แน่วแน่ต่อศรัทธา เราเรียนรู้ว่า “การเปลี่ยนใจเลื่อมใสเป็นกระบวนการ ไม่ใช่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งเดียว ท่านเปลี่ยนใจเลื่อมใสเนื่องจาก…ความพยายามอันชอบธรรมในการติดตามพระผู้ช่วยให้รอด”4 สิ่งนี้ใช้เวลา ความพยายาม และการทำงาน คุณย่าทวดของดิฉันมีความเชื่อมั่นว่าพระกิตติคุณสำคัญสำหรับลูกๆ ของเธอมากกว่าสิ่งที่โลกเสนอให้ไม่ว่าจะเป็นความร่ำรวยหรือความสบายเพราะเธอได้เสียสละ อดทนและดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณมาแล้ว การเปลี่ยนใจเลื่อมใสของเธอเกิดจากการดำเนินชีวิตตามหลักธรรมแห่งพระกิตติคุณและเสียสละเพื่อสิ่งนั้น

เราจำเป็นต้องผ่านกระบวนการเดียวกันนั้นหากเราต้องการมีข้อผูกมัดเดียวกัน พระผู้ช่วยให้รอดทรงสอนว่า “ถ้าใครตั้งใจประพฤติตามพระประสงค์ของพระองค์ คนนั้นก็จะรู้ว่าคำสอนนี้มาจากพระเจ้าหรือว่าเราพูดตามใจชอบเอง”5 บางครั้งเราพยายามทำกลับกัน ตัวอย่างเช่น เราอาจทำตามวิธีนี้ นั่นคือ ดิฉันจะทำตามกฎส่วนสิบอย่างมีความสุข แต่ดิฉันต้องรู้ก่อนว่าเป็นความจริงหรือไม่ บางครั้งเราอาจสวดอ้อนวอนเพื่อได้รับประจักษ์พยานเกี่ยวกับกฎส่วนสิบและหวังว่าพระเจ้าจะประทานพรเราด้วยประจักษ์พยานนั้นก่อนที่เราเขียนใบบริจาคส่วนสิบด้วยซ้ำ แต่ประจักษ์พยานในหลักธรรมไม่ได้ทำงานเช่นนั้น พระเจ้าทรงคาดหวังให้เราแสดงศรัทธา เราต้องจ่ายส่วนสิบเต็มและอย่างซื่อสัตย์สม่ำเสมอเพื่อได้รับประจักษ์พยานเกี่ยวกับส่วนสิบ รูปแบบเดียวกันนี้นำมาใช้กับทุกหลักธรรมแห่งพระกิตติคุณไม่ว่าจะเป็นกฎความบริสุทธิ์ทางเพศ หลักธรรมเรื่องการแต่งกายให้สุภาพเรียบร้อย พระคำแห่งปัญญา หรือกฎการอดอาหาร

ดิฉันขอยกตัวอย่างว่าการดำเนินชีวิตตามหลักธรรมช่วยเราเปลี่ยนใจเลื่อมใสสู่หลักธรรมนั้นได้อย่างไร ดิฉันเป็นเยาวชนหญิงในช่วงยุค 60 และเป็นเด็กสาววิสุทธิชนยุคสุดท้ายคนเดียวในโรงเรียนมัธยมปลาย ตอนนั้นเป็นยุคปฏิวัติที่มีลักษณะปฏิเสธศีลธรรมดั้งเดิม มีการใช้ยาเสพติด และมีแนวคิดว่า “ทำอะไรก็ได้” เพื่อนของดิฉันจำนวนมากเป็นคนดีแต่ก็หลงอยู่กับความตื่นเต้นเรื่องศีลธรรมใหม่นี้โดยง่าย ซึ่งในความเป็นจริงก็คือความไร้ศีลธรรมแบบเก่านั่นเอง คุณพ่อคุณแม่และครูที่โบสถ์ของดิฉันได้ปลูกฝังดิฉันเรื่องคุณค่าของการปฏิบัติต่อร่างกายด้วยความเคารพ มีความคิดที่สะอาด และที่สำคัญที่สุดคือเรียนรู้ที่จะวางใจในพระบัญญัติของพระเจ้า ดิฉันตัดสินใจหลีกเลี่ยงสถานการณ์ที่ดิฉันรู้ว่ามีแอลกอฮอล์และไม่ยุ่งเกี่ยวกับบุหรี่และยาเสพติดเลย นั่นหมายถึงว่าดิฉันไม่ได้ไปร่วมงานสังสรรค์บ่อยๆ และออกเดทน้อยมาก การใช้ยาเสพติดเริ่มจะเป็นเรื่องปกติมากขึ้นในบรรดาคนหนุ่มสาว และอันตรายของยาเสพติดยังไม่เป็นที่รู้กันดีเช่นที่เรารู้ในปัจจุบันนี้ เพื่อนดิฉันหลายคนต้องทนทุกข์ต่อผลร้ายจากยาเสพติดเปลี่ยนแปลงจิตใจอย่างถาวรหรือตกอยู่ในการเสพติดอย่างรุนแรง ดิฉันสำนึกคุณที่ได้รับการสอนให้ดำเนินชีวิตตามพระคำแห่งปัญญาในบ้านของดิฉัน และดิฉันได้รับประจักษ์พยานอันลึกซึ้งในหลักธรรมนั้นแห่งพระกิตติคุณขณะที่ดิฉันใช้ศรัทธาและดำเนินชีวิตตามหลักธรรมนั้น ความรู้สึกดีที่มาสู่ดิฉันจากการดำเนินชีวิตตามหลักธรรมพระกิตติคุณที่แท้จริงคือพระวิญญาณจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ยืนยันว่าหลักธรรมนั้นจริง นี่เป็นช่วงที่การเปลี่ยนใจเลื่อมใสเกิดขึ้น

ศาสดาพยากรณ์โมโรไนสอนในพระคัมภีร์มอรมอนว่า “ข้าพเจ้าจะแสดงต่อโลกว่าศรัทธาคือสิ่งที่หวังไว้และมองไม่เห็น; ดังนั้น, จงอย่างเถียงกันเลยเพราะท่านไม่เห็น, เพราะท่านไม่ได้รับพยานจนหลังการทดลองศรัทธาของท่าน”6 ในโลกของเราที่ความสมหวังทันทีคือความคาดหวัง บ่อยครั้งเรารู้สึกผิดที่คาดหวังรางวัลโดยที่ไม่ได้ออกแรงทำ ดิฉันเชื่อว่าโมโรไนกำลังบอกเราว่าเราต้องทำก่อนและใช้ศรัทธาโดยการดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณ แล้วเราจะได้รับพยานว่าเป็นความจริง การเปลี่ยนใจเลื่อมใสเกิดขึ้นเมื่อท่านประพฤติตามคำสอนที่ท่านรู้ว่าจริงและรักษาพระบัญญัติต่อไป วันแล้ววันเล่า ปีแล้วปีเล่า

นี่เป็นเวลาอันรุ่งโรจน์ที่จะเป็นเยาวชนในศาสนจักร ท่านเป็นรุ่นแรกที่ได้มีส่วนในหลักสูตรเยาวชน จงตามเรามา ซึ่งหนึ่งในวัตถุประสงค์หลักมีไว้สำหรับการเปลี่ยนใจเลื่อมใสของท่านสู่พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ นี่เป็นสิ่งสำคัญที่จะจดจำไว้ว่า ไม่ว่าบิดามารดาและผู้นำเยาวชนของท่านจะได้รับการดลใจเพียงใด “ท่านมีความรับผิดชอบเบื้องต้นต่อการเปลี่ยนใจเลื่อมใสของท่านเอง ไม่มีใครจะเปลี่ยนใจเลื่อมใสแทนท่านได้ และไม่มีใครจะบังคับท่านให้เปลี่ยนใจเลื่อมใสได้”7 การเปลี่ยนใจเลื่อมใสเกิดขึ้นเมื่อเราหมั่นสวดอ้อนวอน ศึกษาพระคัมภีร์ ไปโบสถ์ และมีค่าควรในการเข้าร่วมศาสนพิธีในพระวิหาร การเปลี่ยนใจเลื่อมใสเกิดขึ้นเมื่อเราประพฤติตามหลักธรรมอันชอบธรรมที่เราเรียนรู้ในบ้านและในชั้นเรียนของเรา การเปลี่ยนใจเลื่อมใสเกิดขึ้นเมื่อเราดำเนินชีวิตอย่างสะอาดและบริสุทธิ์และชื่นชมการมีพระวิญญาณบริสุทธิ์อยู่เป็นเพื่อน การเปลี่ยนใจเลื่อมใสเกิดขึ้นเมื่อเราเข้าใจการชดใช้ของพระเยซูคริสต์ ตระหนักว่าพระองค์คือพระผู้ช่วยให้รอดและพระผู้ไถ่ของเรา และให้การชดใช้นั้นเกิดผลในชีวิตของเรา

การเปลี่ยนใจเลื่อมใสส่วนตัวของท่านจะช่วยท่านขณะเตรียมทำพันธสัญญาในพระวิหาร รับใช้งานเผยแผ่ และสร้างครอบครัวของท่านในอนาคต เมื่อท่านเปลี่ยนใจเลื่อมใส ท่านจะมีความปรารถนาที่จะแบ่งปันสิ่งที่ท่านได้เรียนรู้กับผู้อื่น และความมั่นใจและความสามารถของท่านในการเป็นพยานต่อผู้อื่นด้วยความเชื่อและพลังจะเพิ่มขึ้น ความปรารถนาในการแบ่งปันพระกิตติคุณกับผู้อื่นและความมั่นใจในการเป็นพยานอย่างกล้าหาญนี้เป็นผลโดยธรรมชาติจากการเปลี่ยนใจเลื่อมใสที่แท้จริง พระผู้ช่วยให้รอดทรงสอนเปโตรว่า “เมื่อท่านหันกลับแล้ว จงชูกำลังพี่น้องทั้งหลายของท่าน”8

ท่านจำโยชูวา นักรบผู้เป็นศาสดาพยากรณ์ได้หรือไม่ ท่านไม่เพียงแต่เปลี่ยนใจเลื่อมใสเอง แต่ท่านยังทำงานอย่างไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อยจนสิ้นสุดชีวิตของท่านเพื่อนำลูกหลานของอิสราเอลมาสู่พระผู้เป็นเจ้า เราอ่านในพันธสัญญาเดิมว่า “คนอิสราเอลได้ปรนนิบัติพระเจ้าตลอดสมัยของโยชูวา”9 บุคคลที่เปลี่ยนใจเลื่อมใสแท้จริงดึงพลังแห่งการชดใช้มาและได้รับความรอดสำหรับจิตวิญญาณตนเอง จากนั้นเอื้อมออกไปเพื่อเป็นอิทธิพลอย่างมากต่อคนเหล่านั้นที่รู้จักเขา

การดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณและการยืนอยู่ในที่ศักดิ์สิทธิ์ไม่ใช่สิ่งที่ง่ายหรือสบายเสมอไป แต่ดิฉันเป็นพยานว่าเป็นสิ่งที่คุ้มค่า พระเจ้าทรงแนะนำเอ็มมา สมิธให้ “ละทิ้งสิ่งต่างๆของโลกนี้, และแสวงหาสิ่งต่างๆ ของโลกที่ดีกว่า”10 ดิฉันคิดว่าเราคงไม่สามารถแม้แต่เริ่มจินตนาการได้เลยว่า “สิ่งต่างๆ ของโลกที่ดีกว่า” นั้นยิ่งใหญ่สักเพียงใด

ดิฉันเป็นพยานว่าเรามีพระบิดาบนสวรรค์ที่ทรงเปี่ยมด้วยความรักผู้ซึ่งพระประสงค์อันยิ่งใหญ่ของพระองค์คือเพื่อช่วยและประทานพรเราในความพยายามของเราเพื่อดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณและเปลี่ยนใจเลื่อมใส พระองค์ตรัสไว้อย่างชัดเจนว่า ศูนย์รวมและงานหลักของพระองค์คือ “ความเป็นอมตะและชีวิตนิรันดร์” 11 ของเรา พระองค์ทรงปรารถนาที่จะนำเรากลับบ้านไปสู่ที่ประทับของพระองค์ ดิฉันเป็นพยานว่าเมื่อเราทำตามหลักคำสอนของพระกิตติคุณและนำมาปฏิบัติในชีวิตประจำวัน เราจะเปลี่ยนใจเลื่อมใสและจะทำให้เกิดความสำเร็จในการทำดีมากมายในครอบครัวของเราและในโลก ขอให้เราทุกคนได้รับพรในความพยายามทุกวันของเราเพื่อไปถึงเป้าหมายนั้น นี่คือคำสวดอ้อนวอนของดิฉัน ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน