2010–2019
พลังศีลธรรมของสตรี
ตุลาคม 2013


พลังศีลธรรมของสตรี

สัญชาตญาณของท่านคือต้องทำดีและเป็นคนดี และเมื่อท่านทำตามพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ อำนาจและอิทธิพลศีลธรรมของท่านจะเติบโต

ตั้งแต่สมัยดึกดำบรรพ์ สังคมพึ่งพาพลังศีลธรรมของสตรีมาโดยตลอด แม้ว่านี่จะไม่ใช่อิทธิพลบวกเพียงอย่างเดียวที่ดำเนินอยู่ในสังคม แต่รากฐานทางศีลธรรมจากสตรีได้พิสูจน์แล้วว่าส่งผลดีต่อประโยชน์ส่วนรวมอย่างหาสิ่งใดเหมือน อาจเป็นเพราะความสำคัญของสิ่งนี้ คุณูปการดังกล่าวของสตรีจึงไม่ได้รับการยกย่องเท่าที่ควร ข้าพเจ้าขอแสดงความสำนึกคุณต่ออิทธิพลของสตรีที่ดี กล่าวถึงปรัชญาและแนวโน้มบางประการที่คุกคามความเข้มแข็งและจุดยืนของสตรี และเปล่งเสียงวิงวอนให้สตรีพัฒนาศีลธรรมที่ติดตัวมาแต่กำเนิด

สตรีนำคุณธรรมบางอย่างติดตัวมาในโลกนี้ด้วย ของประทานศักดิ์สิทธิ์ที่ทำให้พวกเธอเชี่ยวชาญในการปลูกฝังคุณสมบัติเช่น ศรัทธา ความกล้าหาญ การเข้าใจความรู้สึกผู้อื่น ตลอดจนการปรับปรุงด้านความสัมพันธ์และด้านวัฒนธรรม เมื่อกล่าวสรรเสริญ “ความเชื่ออย่างจริงใจ” ที่พบในทิโมธี เปาโลชี้ให้เห็นว่าศรัทธานี้ “โลอิส ยายของท่านมีเป็นคนแรก แล้วมีในยูนีส มารดาของท่าน”1

หลายปีก่อนขณะอาศัยอยู่ในเม็กซิโก ข้าพเจ้าสังเกตด้วยตนเองว่าเปาโลหมายถึงอะไร ข้าพเจ้านึกถึงมารดาสาวคนหนึ่งจากบรรดาสตรีของศาสนจักรในเม็กซิโก ผู้ที่ศรัทธาในพระผู้เป็นเจ้าแต่งเติมชีวิตอย่างเป็นธรรมชาติจนพวกเธอแทบไม่รู้สึกตัว สตรีผู้น่ารักคนนี้ฉายอำนาจศีลธรรมจากความดีงามอันส่งผลต่อทุกคนรอบข้างเธออย่างถาวร เธอกับสามีเสียสละความรื่นเริงและทรัพย์สมบัติส่วนหนึ่งเพื่อสิ่งสำคัญยิ่งกว่าโดยไม่ลังเล ความสามารถของเธอในการหนุนใจ ปรับตัว และสร้างสมดุลกับลูกๆ แทบเป็นเรื่องเหนือมนุษย์ สิ่งที่เรียกร้องจากเธอมีมากมาย และงานของเธอมักจะจำเจและธรรมดา แต่ภายใต้ทั้งหมดนั้นคือความสงบนิ่งอันงดงาม สำนึกในการทำงานของพระผู้เป็นเจ้า เฉกเช่นพระผู้ช่วยให้รอด เธอสูงส่งด้วยการเป็นพรแก่ผู้อื่นผ่านการรับใช้และการเสียสละ เธอเป็นบุคคลตัวอย่างด้านความรัก

ข้าพเจ้าได้รับพรอย่างน่าทึ่งจากอิทธิพลศีลธรรมของสตรี โดยเฉพาะจากคุณแม่และภรรยาของข้าพเจ้า ในบรรดาสตรีอื่นที่ข้าพเจ้ามองด้วยความสำนึกคุณคือแอนนา เดนส์ แอนนากับเฮนรีสามีของเธอและลูกๆ สี่คนอยู่ในบรรดาผู้บุกเบิกของศาสนจักรที่นิวเจอร์ซีย์ในสหรัฐ เริ่มตั้งแต่ทศวรรษ 1930 เมื่อเฮนรีย์เป็นนักศึกษาปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยรัตเจอร์ส เขากับแอนนาทำงานไม่หยุดหย่อนกับสถานศึกษาและองค์กรต่างๆ ของภาครัฐในเมืองเมทูเช็นที่อาศัยอยู่ เพื่อเอาชนะอคติที่หยั่งรากลึกต่อชาวมอรมอนและทำให้ชุมชนแห่งนั้นเหมาะมากขึ้นที่บิดามารดาทุกคนจะเลี้ยงดูบุตร

ยกตัวอย่างเช่น แอนนาไปเป็นอาสาสมัครที่ YMCA เมทูเช็น จนกลายเป็นบุคคลสำคัญที่ขาดไม่ได้ ภายในหนึ่งปีเธอได้รับแต่งตั้งเป็นประธานองค์กรช่วยเหลือมารดา หลังจากนั้นได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงหนึ่งในสามของตำแหน่งสตรีในคณะกรรมการบริหาร YMCA เธอชนะโดยไร้เสียงคัดค้าน แล้วได้เข้าร่วมกับสภานั้นเพียงไม่กี่ปีก่อนที่สภาจะปฏิเสธให้วิสุทธิชนประชุมกันในอาคารของพวกเขา!”2

ครอบครัวข้าพเจ้าย้ายเข้ามาในวอร์ดนิวบรันสวิกสมัยข้าพเจ้าเป็นวัยรุ่น ซิสเตอร์เดนส์เอาใจใส่ข้าพเจ้าและมักจะแสดงความเชื่อมั่นในความสามารถและศักยภาพของข้าพเจ้าอยู่บ่อยครั้ง นั่นสร้างแรงบันดาลให้ข้าพเจ้าเอื้อมสูง—สูงกว่าที่ข้าพเจ้าจะเอื้อมหากปราศจากแรงกระตุ้นจากเธอ ครั้งหนึ่งเนื่องจากความรอบคอบและคำเตือนของเธออย่างทันท่วงที ข้าพเจ้าจึงหลีกเลี่ยงสถานการณ์หนึ่งซึ่งจะนำไปสู่ความเศร้าสลดอย่างแน่นอน แม้ว่าเธอจะไม่ได้อยู่ที่นี่อีกต่อไป แต่อิทธิพลของแอนนา เดนส์ยังสัมผัสได้และสะท้อนอยู่ในชีวิตลูกหลานของเธอและคนอื่นๆ อีกนับไม่ถ้วน รวมทั้งตัวข้าพเจ้าเอง

คุณยายข้าพเจ้า อะเดนา วอร์นิค สเวนซัน สอนให้ข้าพเจ้าเอาการเอางานในงานรับใช้ของฐานะปุโรหิต เธอส่งเสริมให้ข้าพเจ้าท่องจำพรศีลระลึกทั้งขนมปังและน้ำ โดยอธิบายว่าด้วยวิธีนี้ข้าพเจ้าจะกล่าวคำเหล่านั้นออกมาด้วยความเข้าใจและความรู้สึกที่ดีขึ้น การเฝ้าสังเกตวิธีที่เธอสนับสนุนคุณตาซึ่งเป็นผู้ประสาทพรสเตค สร้างความเคารพต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้เกิดขึ้นในตัวข้าพเจ้า คุณยายสเวนซันไม่เคยรู้วิธีขับรถ แต่เธอรู้วิธีช่วยให้เด็กชายเป็นชายฐานะปุโรหิต

ไม่มีที่ใดที่อิทธิพลศีลธรรมของสตรีจะมีพลังหรือนำไปใช้อย่างมีประโยชน์มากไปกว่าในบ้าน ไม่มีสภาพแวดล้อมใดเหมาะสำหรับการเลี้ยงดูอนุชนรุ่นหลังมากไปกว่าครอบครัวตามแบบแผนดั้งเดิม ที่มีพ่อแม่ทำงานด้วยความกลมเกลียวเพื่อหาเลี้ยง สั่งสอน และอบรมเลี้ยงดูลูกๆ เมื่ออุดมการณ์เช่นนี้ไม่มีอยู่ ผู้คนจึงขวนขวายที่จะเลียนแบบส่วนดีของสิ่งนั้นอย่างสุดความสามารถตามสภาวการณ์จำเพาะของตน

ในทุกสถานการณ์ มารดาสามารถแผ่อิทธิพลอันเทียบมิได้จากใครอื่นในสัมพันธภาพอื่นใด ด้วยพลังแห่งแบบอย่างและคำสอนของเธอ บุตรชายของเธอจึงเรียนรู้ที่จะเคารพสตรีและใส่วินัยกับมาตรฐานศีลธรรมขั้นสูงไว้ในชีวิต บุตรสาวของเธอจึงเรียนรู้ที่จะปลูกฝังคุณธรรมของตนเองและยืนหยัดเพื่อสิ่งที่ถูกต้องครั้งแล้วครั้งเล่า แม้จะไม่ได้รับความนิยมก็ตาม ความรักและความคาดหวังสูงของมารดานำลูกๆ ของเธอให้กระทำด้วยความรับผิดชอบโดยปราศจากข้ออ้าง จริงจังเรื่องการศึกษาและการพัฒนาตนเอง ตลอดจนกระทำคุณประโยชน์เพื่อความผาสุกของคนรอบข้าง เอ็ลเดอร์นีล เอ. แม็กซ์เวลล์เคยถามว่า “เมื่อประวัติศาสตร์ที่แท้จริงของมนุษยชาติเผยออกมาจนหมดสิ้น จะมีเสียงยิงปืนหรือเสียงบันดาลใจของเพลงกล่อมเด็กหรือไม่ การสงบศึกครั้งสำคัญๆ กระทำโดยชายชาติทหารหรือโดยสตรีผู้สร้างสันติในบ้านและละแวกใกล้เคียงหรือไม่ สิ่งที่เกิดขึ้นในเปลนอนและห้องครัวจะพิสูจน์ว่ามีอิทธิพลมากกว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในรัฐบาลหรือไม่”3

บทบาทของสตรีมีความศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในการสร้างชีวิต เราทราบว่าร่างกายของเรามีต้นกำเนิดอันศักดิ์สิทธิ์4 และเราต้องรับประสบการณ์ในการถือกำเนิดทั้งทางร่างกายและเกิดใหม่ทางวิญญาณเพื่อไปให้ถึงราชอาณาจักรสูงสุดในอาณาจักรซีเลสเชียลของพระผู้เป็นเจ้า5 ด้วยเหตุนี้สตรีจึงมีส่วนสำคัญ (บางครั้งถึงกับต้องเสี่ยงชีวิตตนเอง) ในงานและรัศมีภาพของพระผู้เป็นเจ้า “เพื่อทำให้เกิดความเป็นอมตะและชีวิตนิรันดร์ของมนุษย์”6 ในฐานะคุณย่าคุณยาย มารดา และต้นแบบ สตรีเป็นผู้พิทักษ์แหล่งน้ำแห่งชีวิต โดยสอนคนแต่ละรุ่นถึงความสำคัญของความสะอาดทางเพศ—ความบริสุทธิ์ทางเพศก่อนแต่งงานและความซื่อสัตย์ในชีวิตแต่งงาน ในวิธีนี้พวกเธอจึงเป็นอิทธิพลสร้างอารยธรรมในสังคม พวกเธอดึงส่วนที่ดีที่สุดของผู้ชายออกมา พวกเธอทำให้สภาพแวดล้อมอันดีงามในการเลี้ยงดูบุตรที่มีจิตใจมั่นคงและสุขภาพแข็งแรงดำรงอยู่สืบไป

พี่น้องสตรีทั้งหลาย ข้าพเจ้าไม่ต้องการยกย่องท่านจนเกินไปดังที่เราทำในสุนทรพจน์วันแม่บางครั้งจนทำให้ท่านอึดอัด ท่านไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบ7 และข้าพเจ้าไม่ได้เรียกร้องให้ท่านเป็นเช่นนั้น (อาจจะยกเว้นได้คนเดียวที่นั่งอยู่ใกล้ๆ เวลานี้) ข้าพเจ้าหมายความว่า ไม่ว่าท่านจะโสดหรือแต่งงานแล้ว ไม่ว่าท่านจะเคยให้กำเนิดบุตรหรือไม่ ไม่ว่าท่านจะสูงวัย อายุน้อย หรือวัยกลางคน อำนาจศีลธรรมของท่านสำคัญยิ่ง และบางทีเราอาจเริ่มที่จะมองข้ามความสำคัญของท่านและอำนาจนั้นไป แน่นอนว่ามีแนวโน้มและพลังต่างๆ ดำเนินอยู่ซึ่งจะบั่นทอนและแม้กระทั่งกำจัดอิทธิพลของท่านจนไปสู่ความเสียหายใหญ่หลวงต่อบุคคล ครอบครัว และสังคมในวงกว้าง ข้าพเจ้าขอกล่าวถึงเพื่อเป็นคำเตือนและข้อควรระวังสามประการดังนี้

ปรัชญาอันตรายข้อหนึ่งที่กัดกร่อนอิทธิพลศีลธรรมของสตรีคือการลดคุณค่าการแต่งงาน รวมถึงความเป็นมารดาและความเป็นแม่ศรีเรือนว่าเป็นเพียงอาชีพหนึ่ง บางคนดูหมิ่นความเป็นแม่ศรีเรือนอย่างเปิดเผย โดยอ้างเหตุผลว่าเป็นสิ่งที่ลดเกียรติสตรี และการเรียกร้องตลอดเวลาให้เลี้ยงดูบุตรเป็นรูปแบบหนึ่งของการเอารัดเอาเปรียบ8 คนเหล่านี้เย้ยหยันสิ่งที่พวกเขาเรียกว่า “เส้นทางสายคุณแม่” ให้เป็นเพียงงานอาชีพหนึ่ง ความคิดเช่นนี้ไม่ยุติธรรมหรือถูกต้องแต่อย่างใด เราไม่ได้ลดคุณค่าสิ่งที่ชายหรือหญิงประสบความสำเร็จในความพยายามหรืออาชีพที่น่ายกย่องใดๆ—เพราะเราต่างได้รับประโยชน์จากความสำเร็จเหล่านั้น—แต่เรายังคงยอมรับว่าไม่มีสิ่งดีอันใดสูงส่งไปกว่าความเป็นบิดามารดาในชีวิตแต่งงาน ไม่มีอาชีพใดเหนือกว่า และไม่มีเงินจำนวนใด อำนาจใด หรือการยกย่องสรรเสริญใดจากสาธารณชนที่จะล้ำค่ากว่ารางวัลจากครอบครัว ไม่ว่าสตรีจะทำสิ่งอื่นใดสำเร็จ อิทธิพลศีลธรรมของเธอจะไม่ใช้ไปอย่างเหมาะสมมากไปกว่าในครอบครัวอีกแล้ว

เจตคติต่อเรื่องทางเพศของมนุษย์คุกคามอำนาจศีลธรรมของสตรีในหลายๆ ด้าน การทำแท้งเพื่อความสะดวกสบายส่วนตัวหรือทางสังคมโจมตีหัวใจอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของสตรีและทำลายอำนาจศีลธรรมของเธอ เช่นเดียวกับการผิดศีลธรรมทางเพศและการแต่งกายเปิดเผยที่มิได้ลดคุณค่าของสตรีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่ยังส่งเสริมความเท็จที่ว่าพฤติกรรมทางเพศของสตรีคือสิ่งนิยามคุณค่าของเธอ

มีวัฒนธรรมสองมาตรฐานที่คาดหวังให้สตรีระมัดระวังเรื่องทางเพศขณะที่แก้ตัวให้การผิดศีลธรรมของผู้ชาย ความไม่ยุติธรรมของลักษณะสองมาตรฐานเช่นนั้นเห็นได้ชัด ทั้งยังถูกวิพากษ์วิจารณ์และถูกปฏิเสธโดยชอบด้วยเหตุผล ในการปฏิเสธนั้น เราหวังว่าผู้ชายจะเลื่อนไปสู่มาตรฐานเดียวที่สูงขึ้น แต่กลับตรงกันข้าม—สตรีและเด็กหญิงเป็นฝ่ายที่ถูกส่งเสริมให้มีพฤติกรรมสำส่อนเช่นเดียวกับที่สองมาตรฐานคาดหวังให้ผู้ชายเป็น เมื่อก่อนมาตรฐานที่สูงกว่าของสตรีเรียกร้องการผูกมัดและความรับผิดชอบจากผู้ชาย แต่ปัจจุบันเรามีความสัมพันธ์ทางเพศที่ขาดมโนธรรม มีครอบครัวขาดพ่อ และมีความยากจนมากขึ้นเรื่อยๆ โอกาสสำส่อนที่เท่าเทียมกันของชายและหญิงปล้นอิทธิพลศีลธรรมไปจากสตรีและทำให้สังคมเสื่อมทราม9 ในการต่อรองแบบไร้ค่าเช่นนี้ ผู้ชายนั่นเองที่ “เป็นอิสระ” แต่สตรีและเด็กต้องเป็นฝ่ายทนทุกข์มากที่สุด

ข้อกังวลเรื่องที่สามมาจากผู้ที่ต้องการลบล้างความแตกต่างระหว่างบุรุษเพศกับสตรีเพศโดยอ้างความเสมอภาค บ่อยครั้งมักจะใช้รูปแบบของการผลักดันให้สตรีรับเอาลักษณะนิสัยของบุรุษเพศมาใช้มากขึ้น—มีความก้าวร้าวมากขึ้น ใจแข็งมากขึ้น และชอบปะทะกันมากขึ้น ปัจจุบันเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้วในภาพยนตร์และวิดีโอเกมที่จะเห็นสตรีในบทบาทรุนแรงอย่างน่ากลัว โดยทิ้งศพและความหายนะไว้เบื้องหลัง จิตวิญญาณเรามึนชาเมื่อได้เห็นชายในบทบาทเช่นนั้น และไม่มีทางยิ่งหย่อนไปกว่ากันเมื่อสตรีเป็นผู้กระทำชั่วและทนทุกข์จากความรุนแรงดังกล่าว

อดีตประธานเยาวชนหญิงสามัญ มาร์กาเร็ต ดี. เนเดอลด์ สอนว่า “โลกมีสตรีที่กระด้างมากพอแล้ว เราต้องการสตรีนุ่มนวล มีสตรีที่แข็งกร้าวมากพอแล้ว เราต้องการสตรีที่มีเมตตา มีสตรีที่หยาบคายมากพอแล้ว เราต้องการสตรีที่สุภาพเรียบร้อย เรามีสตรีที่มีชื่อเสียงและร่ำรวยมากพอแล้ว เราต้องการสตรีแห่งศรัทธามากขึ้น เรามีความโลภมากพอแล้ว เราต้องการความดีงามมากขึ้น เรามีความหยิ่งยโสมากพอแล้ว เราต้องการคุณธรรมมากขึ้น เรามีความนิยมมากพอแล้ว เราต้องการความบริสุทธิ์มากขึ้น”10 การลดความแตกต่างระหว่างสตรีเพศและบุรุษเพศ เราจะสูญเสียของประทานที่แตกต่างอย่างสอดคล้องกันของหญิงและชาย ซึ่งเมื่ออยู่ด้วยกันแล้วจะสร้างความสมบูรณ์ยิ่งขึ้น

ข้าพเจ้าขอวิงวอนสตรีและเด็กหญิงทุกวันนี้ให้ปกป้องและพัฒนาอิทธิพลศีลธรรมที่มีอยู่ในตัวท่าน พิทักษ์รักษาคุณธรรมและของประทานเฉพาะตัวที่ท่านนำติดตัวเข้ามาในโลกนี้ สัญชาตญาณของท่านคือต้องทำดีและเป็นคนดี และเมื่อท่านทำตามพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ อำนาจและอิทธิพลศีลธรรมของท่านจะเติบโต ข้าพเจ้ากล่าวต่อเยาวชนหญิงว่า จงอย่าสูญเสียพลังศีลธรรมนั้น แม้ก่อนที่ท่านจะมีพลังนั้นสมบูรณ์เต็มที่ จงระวังเป็นพิเศษให้ภาษาของท่านสะอาด ไม่หยาบโลน ให้ชุดแต่งกายของท่านสะท้อนถึงความสุภาพเรียบร้อย มิใช่ความฟุ้งเฟ้อ และให้การกระทำของท่านแสดงออกถึงความสะอาดบริสุทธิ์ มิใช่ความสำส่อน ท่านไม่สามารถยกคนอื่นขึ้นสู่คุณธรรมได้หากท่านกำลังเพลิดเพลินอยู่กับความชั่วร้าย

พี่น้องสตรีทั้งหลาย ในบรรดาสัมพันธภาพทั้งหมดของท่าน ความสัมพันธ์ของท่านกับพระผู้เป็นเจ้า พระบิดาบนสวรรค์ผู้ทรงเป็นขุมพลังศีลธรรมของท่านนั่นเองที่ท่านต้องวางไว้เป็นอันดับแรกในชีวิต พึงระลึกว่าพลังอำนาจของพระเยซูมาผ่านทางการอุทิศพระองค์ด้วยพระทัยมุ่งมั่นต่อพระประสงค์ของพระบิดา พระองค์ทรงไม่เคยแปรผันไปจากสิ่งที่ทำให้พระบิดาพอพระทัย11 จงพยายามที่จะเป็นสานุศิษย์เช่นนั้นของพระบิดาและพระบุตร และอิทธิพลของท่านจะไม่มีวันลบเลือน

อย่ากังวลที่จะนำอิทธิพลนั้นมาใช้โดยไม่ต้องกลัวหรือต้องขออภัย “จงเตรียมพร้อมเสมอ ที่จะอธิบายกับ [ชาย หญิง และเด็ก] ทุกคนที่ขอทราบเหตุผลเกี่ยวกับความหวังของพวกท่าน”12 “จงประกาศพระวจนะ จงทำอย่างขะมักเขม้นทั้งในขณะที่คนสนใจและไม่สนใจ จงชักชวน ตักเตือน และหนุนใจ ด้วยความอดทนและด้วยการสั่งสอนอย่างเต็มที่”13 “เลี้ยงดูลูกๆ ของ [ท่าน] ในแสงสว่างและความจริง”14 “สอน [พวกเขา] ให้สวดอ้อนวอนด้วย, และให้ดำเนินชีวิตอย่างซื่อตรงต่อพระพักตร์พระเจ้า.”15

ในคำแนะนำต่อสตรีที่กล่าวมานี้ ขออย่ามีผู้ใดจงใจเข้าใจผิด การที่ข้าพเจ้าสรรเสริญสตรีและส่งเสริมพลังศีลธรรมในสตรี มิใช่การกล่าวว่าผู้ชายและเด็กชายจะรอดพ้นจากหน้าที่ของพวกเขาในการยืนหยัดเพื่อความจริงและความชอบธรรม อีกทั้งหน้าที่รับผิดชอบในการรับใช้ การเสียสละ และการปฏิบัติศาสนกิจของพวกเขาก็มิได้น้อยไปกว่าสตรีหรือไม่อาจทิ้งไว้เป็นภาระของสตรีได้ พี่น้องชายทั้งหลาย ขอให้เรายืนเคียงข้างสตรี แบ่งเบาภาระของพวกเธอ และพัฒนาอำนาจศีลธรรมของความเป็นคู่ครองในตัวเรา ขอให้เราตั้งปณิธานว่าจะคู่ควรกับความไว้วางใจของพวกเธอ

สตรีที่รักทั้งหลาย เราพึ่งพาพลังศีลธรรมที่ท่านนำมาสู่โลกนี้ สู่ชีวิตแต่งงาน สู่ครอบครัว และสู่ศาสนจักร เราพึ่งพาพรที่ท่านดึงลงมาจากสวรรค์ด้วยคำสวดอ้อนวอนและศรัทธาของท่าน เราสวดอ้อนวอนเพื่อสวัสดิภาพ ความสุข และสันติสุขของท่าน ขอพระผู้เป็นเจ้าทรงขยายสตรีของศาสนจักรนี้และประทานพรสตรีทุกแห่งหน ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน

อ้างอิง

  1. 2 ทิโมธี 1:5.

  2. ออร์สัน สก็อตต์, “Neighborliness: Daines Style,” Ensign, เม.ย. 1977, 19.

  3. นีล เอ. แม็กซ์เวลล์, “The Women of God,” Ensign, พ.ค. 1978, 10–11.

  4. ดู โมเสส 2:27.

  5. ดู โมเสส 6:57–60.

  6. โมเสส 1:39.

  7. “หนึ่งศตวรรษที่ผ่านมา นักวิชาการด้านภาวะผูกพันทางอารมณ์ จอห์น โบวล์บี พบว่าสายใยที่สร้างขึ้นผ่านปฏิสัมพันธ์การห่วงใยดูแลนับไม่ถ้วนระหว่างมารดากับบุตร เป็นรากฐานสำคัญยิ่งต่อพัฒนาการทางอารมณ์ด้านสังคม … และนักวิชาการสตรีนิยม ซารา รัดดิค ชี้ว่า ‘ความรักความห่วงใย’ ของมารดาเปรียบเสมือนแก่นสำคัญของการเป็นบิดามารดาที่มีประสิทธิภาพ โดยผ่าน ‘ลักษณะความอดทนด้วยความรัก’ มารดาเกิดความรู้พิเศษเกี่ยวกับบุตรธิดาของตน—ความรู้ที่ทำให้พวกเธอเกิดการหยั่งรู้แบบพิเศษว่า ‘วิธีปฏิบัติที่ดีที่สุด’ ที่แท้จริงสำหรับบุตรแต่ละคนควรเป็นอย่างไร” (เจเน็ต เจคอบ อีริคสัน, “Love, Not Perfection, Root of Good Mothering,” Deseret News, 12 พ.ค. 2013, G3).

  8. เป็นความจริงที่สตรีจำนวนมากตลอดหลายยุคหลายสมัยถูกกดขี่หรือต้องแบกรับภาระอย่างไม่ยุติธรรมทั้งในครอบครัวและในอาชีพการงาน แต่ความไม่เห็นแก่ตัวและการเสียสละไม่จำเป็นต้องถูกใช้แบบผิดๆ และไม่ควรเป็นเช่นนั้น เอ็ลเดอร์บรูซ ซี. ฮาเฟนให้ข้อสังเกตว่า “หากการ ‘ไม่คำนึงถึงตนเอง’ หมายความว่าสตรีต้องยอมสละตัวตนส่วนลึกและการเติบโตส่วนตัวของเธอแล้ว ความเข้าใจเรื่องการไม่คำนึงถึงตนเองเช่นนั้นย่อมผิด … แต่รูปแบบของอิสรภาพนิยมไปไกลเกินในอีกเส้นทางหนึ่ง โดยสร้างภาพพจน์สตรีในลักษณะ เป็นอิสระ จากครอบครัวมากจนเกินไป ทัศนะที่ฟังมีเหตุผลมากกว่าคือสามีกับภรรยา ถ้อยทีถ้อยอาศัย ซึ่งกันและกัน … นักวิจารณ์ที่ย้ายมารดาจากฝั่งพึ่งพาอาศัยมาสู่ฝั่งอิสระ ได้ข้ามผืนดินตรงกลางอันอุดมสมบูรณ์ของการถ้อยทีถ้อยอาศัย ผู้ที่ย้ายมารดาจากฝั่งไม่คำนึงถึงตนเองมาสู่ฝั่งเห็นแก่ตัว ได้ข้ามผืนดินตรงกลางอันอุดมสมบูรณ์ของการเลือกรับใช้ด้วยตนเองซึ่งส่งผลดีต่อการเติบโตส่วนตัวของสตรี เนื่องจากลักษณะเกินพอดีเหล่านี้ การถกเถียงกันเรื่องคุณค่าของความเป็นมารดาจึงไม่เพียงทำให้สังคมทั่วไปลดค่าของมารดาลงไปอย่างน่าขัน แต่ยังลดค่าของสตรีโดยทั่วไปอีกด้วย” (“Motherhood and the Moral Influence of Women” [สุนทรพจน์ในการประชุมสภาโลกว่าด้วยเรื่องครอบครัวครั้งที่ 2, เมืองเจนีวา, การประชุมเต็มคณะภาคที่ 4, 16 พ.ย. 1999], http://worldcongress.org/wcf2_spkrs/wcf2_hafen.htm).

  9. มารดาคนหนึ่งในบทบรรณาธิการ Wall Street Journal ให้ข้อสังเกตว่า “ยกเว้นชาวมอรมอน ชาวอีแวนเจลิค และชาวออร์ทอดอกซ์ยิวบางส่วน เราจำนวนมากไม่รู้วิธีสอนบุตรธิดาไม่ให้ปล่อยเนื้อปล่อยตัวง่ายเกินไป … แต่ในหมู่เพื่อนผู้หญิงของดิฉันเอง ความปรารถนาที่จะหวนกลับไปแก้ตัวยังมีอยู่ชัดเจน ทุกคนที่ดิฉันรู้จักล้วนมีความรู้สึกไม่สบายใจติดค้างเกี่ยวกับพฤติกรรมทางเพศในอดีต และทุกคนที่ดิฉันเคยถามถึงเรื่องนี้ไม่มีใครบอกว่าน่าจะ ‘ทดลอง’ มากกว่านี้” (เจนนิเฟอร์ โมเสส, “Why Do We Let Them Dress Like That?” Wall Street Journal, 19 มี.ค. 2011, C3).

  10. ดู มาร์กาเร็ต ดี. เนเดอลด์, “ความสุขในการเป็นสตรี,”เลียโฮนา, ม.ค. 2001, 19.

  11. ดู ยอห์น 8:29.

  12. 1 เปโตร 3:15.

  13. 2 ทิโมธี 4:2.

  14. หลักคำสอนและพันธสัญญา 93:40.

  15. หลักคำสอนและพันธสัญญา 68:28.