2010–2019
พระคริสต์พระผู้ไถ่
เมษายน 2014


พระคริสต์พระผู้ไถ่

การเสียสละ [ของพระผู้ไถ่] เป็นพรแก่ทุกคน จากอาดัม คนแรก จนถึงคนสุดท้ายของมนุษย์ทั้งปวง

พระเยซูคริสต์ พระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า ประสูติและสิ้นพระชนม์ในสภาพการณ์ที่ไม่มีใครเสมอเหมือน พระองค์ทรงพระชนม์และเติบโตในสภาพที่ต่ำต้อย ปราศจากสิ่งของทางโลก พระองค์ทรงรำพึงว่า “หมาจิ้งจอกยังมีโพรงและนกในอากาศก็ยังมีรัง แต่บุตรมนุษย์ไม่มีที่ที่จะวางศีรษะ” (ลูกา 9:58)

พระองค์ไม่เคยได้รับเกียรติ ไม่เคยเป็นที่โปรดปราน ได้รับการยอมรับ หรือได้รับการปฏิบัติจากผู้นำทางการเมืองของโลกหรือแม้แต่ผู้นำทางศาสนาในวันเวลาของพระองค์ ไม่เคยแม้แต่จะประทับในที่นั่งสำคัญสูงสุดในธรรมศาลา

คำสั่งสอนของพระองค์เรียบง่าย แต่ฝูงชนก็ยังติดตามพระองค์ การปฏิบัติศาสนกิจของพระองค์คือการให้พรผู้คนอยู่เสมอทีละคน พระองค์ทรงแสดงปฏิหาริย์นับไม่ถ้วนในบรรดาผู้คนเหล่านั้นที่ยอมรับว่าพระองค์ทรงเป็นพระองค์นั้นที่พระผู้เป็นเจ้าทรงส่งมา

พระองค์ประทานสิทธิอำนาจและพลังอำนาจแก่เหล่าอัครสาวกของพระองค์ในการทำปฏิหาริย์ “และกิจที่ยิ่งใหญ่กว่า” สิ่งเหล่านั้นที่พระองค์ทรงทำมาแล้ว (ยอห์น 14:12) แต่พระองค์ไม่เคยประทานเอกสิทธิ์ของการอภัยบาปแก่พวกเขา ศัตรูของพระองค์ขุ่นเคืองใจเมื่อได้ยินพระองค์ตรัสว่า “จงไปเถิดและจากนี้ไปอย่าทำบาปอีก” (ยอห์น 8:11) หรือ “บาปของเธอได้รับการยกโทษแล้ว” (ลูกา 7:48) สิทธิ์นั้นเป็นของพระองค์แต่เพียงผู้เดียวเพราะพระองค์คือพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้าและเพราะพระองค์จ่ายค่าบาปเหล่านั้นด้วยการชดใช้ของพระองค์

อำนาจเหนือความตายของพระองค์

อำนาจเหนือความตายของพระองค์เป็นคุณลักษณะจากสวรรค์อีกอย่างหนึ่ง ไยรัสผู้ยิ่งใหญ่ นายธรรมศาลา อ้อนวอน “ขอให้พระองค์เสด็จไปที่บ้านของเขา เพราะว่าเขามีบุตรสาวคนเดียว…และบุตรสาวคนนั้นกำลังนอนป่วยอยู่เกือบจะตายแล้ว” (ลูกา 8:41–42) พระอาจารย์ได้ยินคำอ้อนวอนของเขา ขณะที่พระองค์กำลังเสด็จไปพร้อมไยรัส ผู้รับใช้คนหนึ่งมาหาไยรัสและบอกเขาว่า “ลูกสาวของท่านตายแล้ว ไม่ต้องรบกวนอาจารย์อีก” (ลูกา 8:49) หลังจากพระเยซูเสด็จเข้าไปในบ้าน พระองค์ทรงขอให้ทุกคนออกไปและตรงไปจับมือเด็ก พระองค์ตรัสกับเธอว่า “ลูกเอ๋ย ลุกขึ้นเถิด” (ลูกา 8:54)

อีกครั้งหนึ่ง ขณะที่พระองค์เสด็จไปยังเมืองนาอิน มีคนหามศพมา หญิงม่ายคนหนึ่งกำลังร่ำไห้เพราะบุตรชายคนเดียวของเธอถึงแก่ความตาย ด้วยพระเมตตาสงสาร พระองค์จึงทรงแตะต้องโลงศพนั้นและตรัสว่า “ชายหนุ่มเอ๋ย เราสั่งท่านให้ลุกขึ้น” (ลูกา 7:14) ผู้คนมองเห็นปฏิหาริย์นี้จึงร้องอุทานว่า “ผู้เผยพระวจนะยิ่งใหญ่มาเกิดท่ามกลางเราแล้ว พระเจ้าเสด็จมาเยี่ยมเยียนชนชาติของพระองค์” (ลูกา 7:16) ปฏิหาริย์นี้เป็นเหตุการณ์ที่น่าประทับใจอีกครั้งหนึ่งเพราะพวกเขาได้ประกาศว่าชายหนุ่มคนนี้ตายไปแล้วจริงๆ และกำลังจะนำไปฝัง จากการนำหนุ่มสาวสองคนนี้กลับมามีชีวิตอีก เป็นพยานหลักฐานถึงสิทธิอำนาจและพลังอำนาจของพระองค์ที่อยู่เหนือความตาย สร้างความพิศวงแก่ผู้ที่เชื่อและทำให้ผู้ที่เกลียดชังพระองค์ต้องเกรงกลัว

เหตุการณ์ครั้งที่สามเป็นเหตุการณ์น่าประทับใจที่สุด มาร์ธา มารีย์ และลาซารัส สามพี่น้องที่พระคริสต์เสด็จไปเยี่ยมบ่อยๆ เมื่อมีคนมาบอกพระองค์ว่าลาซารัสป่วย พระองค์ทรงรออยู่สองวันก่อนจะเสด็จมาหาครอบครัวนี้ ในการปลอบโยนมาร์ธาหลังจากน้องชายของเธอเสียชีวิต พระองค์ทรงเป็นพยานอย่างชัดเจนต่อเธอว่า “เราเป็นชีวิตและการเป็นขึ้นจากตาย คนที่วางใจในเราจะมีชีวิตอีก แม้ว่าเขาจะตายไป” (ยอห์น 11:25)

เมื่อพระผู้ช่วยให้รอดทรงขอให้ญาติมิตรผู้โศกเศร้าเคลื่อนหินออกจากอุโมงค์ มาร์ธากระซิบบอกพระองค์อย่างหวั่นเกรงว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ศพคงจะมีกลิ่นเหม็นแล้ว เพราะว่าน้องตายมาสี่วันแล้ว” (ยอห์น 11:39)

พระเยซูจึงทรงเตือนเธอด้วยความรักว่า “เราบอกเธอแล้วไม่ใช่หรือว่า ถ้าเธอเชื่อ ก็จะได้เห็นความยิ่งใหญ่ของพระเจ้า?” (ยอห์น 11:40) และเมื่อตรัสดังนี้แล้ว พระองค์ทรงร้องเสียงดังว่า

“ลาซารัส ออกมาเถิด

“คนตายนั้นก็ออกมา” (ยอห์น 11:43–44)

หลังจากลาซารัสอยู่ในอุโมงค์เก็บศพถึงสี่วัน บรรดาศัตรูของพระบุตรพระผู้เป็นเจ้าก็ต้องเผชิญกับหลักฐานที่ไม่อาจจะปฏิเสธได้ พวกเขาไม่อาจเพิกเฉย มองข้าม หรือบิดเบือนอีกต่อไป คนเหล่านั้นเริ่มไม่มีเหตุผลและมีเจตนาร้าย “นับตั้งแต่วันนั้น…จึงวางแผนที่จะฆ่าพระองค์” (ยอห์น 11:53)

พระบัญญัติใหม่

จากนั้นไม่นาน พระคริสต์ผู้ทรงพระชนม์ก็ทรงเฉลิมฉลองในเยรูซาเล็มกับบรรดาอัครสาวกของพระองค์ เป็นเทศกาลปัสกาสุดท้ายของพระองค์ พระองค์ทรงจัดตั้งศาสนพิธีศีลระลึก ประทานบัญญัติแก่พวกเขาให้รักกันและกันโดยการรับใช้อย่างจริงใจ

ความปวดร้าวของพระองค์ในเกทเสมนี

หลังจากนั้น พระองค์ทรงแสดงความรักอันสูงสุดต่อมนุษยชาติ และทรงกระทำการทั้งปวงให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์ พระองค์ทรงดำเนินอย่างกล้าหาญและเด็ดเดี่ยวเพื่อเผชิญหน้ากับการทดลองซึ่งยากที่สุด ในสวนเกทเสมนี ในสภาพซึ่งเปล่าเปลี่ยวที่สุด พระองค์ทรงรับทุกขเวทนาแสนสาหัสจนพระโลหิตหลั่งออกมาจากทุกขุมขน ในการถวายพระองค์เบื้องพระพักตร์พระบิดา พระองค์ทรงชดใช้บาปของเราและทรงรับเอาความเจ็บป่วยตลอดจนความทุกข์ยากของเราไว้กับพระองค์เพื่อให้ทรงทราบว่าจะทรงช่วยเราอย่างไร (ดู แอลมา 7:11–14)

เราเป็นหนี้พระองค์และพระบิดาบนสวรรค์ของเรา เพราะการเสียสละของพระองค์เป็นพรแก่ทุกคน จากอาดัม คนแรก จนถึงคนสุดท้ายของมนุษย์ทั้งปวง

การกล่าวโทษและการตรึงกางเขนพระผู้ช่วยให้รอด

เมื่อความทุกขเวทนาของพระองค์ในเกทเสมนีสิ้นสุดลง พระองค์สมัครพระทัยยอมให้ศัตรูผู้คิดร้ายจับกุมพระองค์ โดยคนของพระองค์เองที่ทรยศ พวกเขารีบพาพระองค์ไปสู่การกล่าวโทษโดยวิธีอยุติธรรมและผิดกฏหมาย การไต่สวนที่ไม่เป็นธรรมและยังไม่มีข้อยุติ คืนเดียวกันนั้นเองพระองค์ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดทางอาญาเนื่องจากการลบหลู่ศาสนาและถูกกล่าวโทษถึงตาย ด้วยความเกลียดชังและกระหายการแก้แค้น—เพราะพระองค์ทรงเป็นพยานต่อพวกเขาว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า— ศัตรูของพระองค์นำพระองค์ไปอยู่ต่อหน้าปิลาต เพื่อกล่าวโทษพระองค์ ในที่สุด พวกเขาเปลี่ยนข้อกล่าวหาจากการหมิ่นศาสนามาเป็นกบฏทั้งนี้เพื่อให้พระองค์สิ้นพระชนม์ด้วยการตรึงกางเขน

การกล่าวโทษพระองค์ท่ามกลางชาวโรมันยิ่งโหดร้ายไปกว่านั้นอีก การเยาะเย้ยถากถางและดูหมิ่นเรื่องอาณาจักรทางวิญญาณของพระองค์ พิธีสวมมงกุฎหนามที่น่าอัปยศอดสู การเฆี่ยนตีอย่างเจ็บปวด และความทุกข์ทรมานแสนสาหัสเมื่อทรงถูกตรึงกางเขนต่อหน้าสาธารณชน เป็นการเตือนอย่างชัดเจนต่อทุกคนที่กล้าพอจะประกาศตนเองว่าเป็นสานุศิษย์ของพระองค์

ในทุกขณะแห่งความทุกขเวทนา พระผู้ไถ่ของโลกทรงแสดงถึงการควบคุมพระองค์เองอย่างหาที่เปรียบมิได้ พระองค์ทรงนึกถึงแต่การประทานพรผู้อื่น ด้วยพระเมตตาและน้ำพระทัยอ่อนโยน พระองค์ทรงขอให้ยอห์นดูแลมารีย์ พระมารดาของพระองค์ พระองค์ทูลขอให้พระบิดาในสวรรค์ประทานอภัยโทษแก่ผู้ที่ตรึงกางเขนพระองค์ เมื่องานบนแผ่นดินโลกของพระองค์สำเร็จลุล่วงแล้ว พระองค์ทรงบัญชาให้วิญญาณของพระองค์เสด็จไปหาพระผู้เป็นเจ้าและหายพระทัยเฮือกสุดท้าย พระวรกายทางโลกของพระคริสต์ถูกนำไปยังอุโมงค์และเก็บอยู่ที่นั่นสามวัน

งานของพระผู้ไถ่ท่ามกลางคนตาย

ขณะที่สานุศิษย์กำลังทนทุกข์กับความโศกเศร้า ท้อแท้ และไม่แน่ใจ พระผู้ช่วยให้รอดในอีกสถานะหนึ่งของแผนอันรุ่งโรจน์ของพระบิดา ได้ขยายการปฏิบัติศาสนกิจของพระองค์ในวิธีใหม่ ในช่วงเวลาสั้นๆ เพียงสามวัน พระองค์ทรงทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยในการวางระเบียบงานอันยิ่งใหญ่เกี่ยวกับความรอดในบรรดาคนตาย วันเวลาเหล่านั้นกลายเป็นความหวังสูงสุดต่อบรรดาครอบครัวทั้งหมดของพระผู้เป็นเจ้า ระหว่างการเสด็จเยือนนั้น พระองค์ทรงจัดตั้งผู้ติดตามที่ซื่อสัตย์ของพระองค์เพื่อที่พวกเขาจะนำข่าวดีแห่งการไถ่ไปสู่ผู้ที่เคยมีชีวิตอยู่แต่ไม่รู้จักแผนอันรุ่งโรจน์นี้หรือผู้ที่เคยปฏิเสธ บัดนี้พวกเขามีโอกาสที่จะเป็นอิสระจากการเป็นเชลยและได้รับการไถ่โดยพระผู้เป็นเจ้าของทั้งคนเป็นและคนตาย (ดู ค.พ. 138:19, 30–31)

ผลแรกของการฟื้นคืนชีวิต

เมื่องานของพระองค์เสร็จสมบูรณ์ในโลกวิญญาณ พระองค์เสด็จกลับมายังแผ่นดินโลก—วิญญาณและพระวรกายของพระองค์ได้รวมกลับคืนเป็นหนี่งเดียวกันตลอดกาล ถึงแม้พระองค์จะทรงแสดงให้เห็นประจักษ์โดยไม่มีข้อสงสัยว่าทรงมีอำนาจเหนือความตาย แต่เรื่องราวในพระคัมภีร์ซึ่งกล่าวถึงผู้ที่พระองค์ทรงนำเอาชีวิตกลับคืนมาก่อนการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์แสดงให้เห็นว่าถึงแม้พวกเขาจะได้รับชีวิตกลับคืนมาโดยปาฏิหาริย์ กระนั้นพวกเขายังคงต้องตาย

พระคริสต์ทรงเป็นบุคคลแรกที่ฟื้นคืนชีวิตและไม่ตายอีก ไปสู่ร่างกายที่ดีพร้อมและเป็นนิรันดร์ตลอดกาล ในสภาพแห่งการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์ พระองค์ทรงปรากฏต่อมารีย์ ซึ่งต่อมาก็จำพระองค์ได้และเริ่มนมัสการพระองค์ พระผู้ไถ่ของเรา ผู้ทรงมีพระทัยอ่อนโยน ทรงเตือนนางเกี่ยวกับสภาพใหม่และมีรัศมีภาพของพระองค์ “อย่าหน่วงเหนี่ยวเราไว้ เพราะเรายังไม่ได้ขึ้นไปหาพระบิดาของเรา” (ยอห์น 20:17) —เป็นพยานเพิ่มเติมว่าการปฏิบัติศาสนกิจของพระองค์ในโลกวิญญาณเป็นความจริงและเสร็จสมบูรณ์ จากนั้น พระองค์ทรงใช้ภาษาที่ยืนยันความเป็นจริงของการฟื้นคืนพระชนม์ พระองค์ตรัสว่า “เรากำลังจะขึ้นไปหาพระบิดาของเราและพระบิดาของพวกท่าน ไปหาพระเจ้าของเราและพระเจ้าของพวกท่าน” (ยอห์น 20:17). หลังจากเสด็จไปหาพระบิดาของพระองค์แล้ว พระองค์เสด็จกลับมาอีกและทรงปรากฏต่อบรรดาอัครสาวกของพระองค์ “พระองค์ทรงให้เขาดูพระหัตถ์และสีข้างของพระองค์. เมื่อพวกสาวกเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้วก็มีความยินดี” (ยอห์น 20:20)

พระผู้ไถ่จะเสด็จกลับมา

ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าพระคริสต์จะเสด็จกลับมาในวิธีที่ต่างไปจากการเสด็จมาครั้งแรก พระองค์จะเสด็จมาในเดชานุภาพและรัศมีภาพ พร้อมกับวิสุทธิชนทั้งปวงที่เที่ยงธรรมและซื่อสัตย์ พระองค์จะเสด็จมาในฐานะกษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งหลายและเจ้านายเหนือเจ้านายทั้งหลาย ในฐานะเจ้าชายแห่งสันติ พระเมสสิยาห์ที่สัญญาไว้ พระผู้ช่วยให้รอดและพระผู้ไถ่ เพื่อพิพากษาคนเป็นและคนตาย ข้าพเจ้ารักและรับใช้พระองค์ด้วยสุดจิตสุดใจ และข้าพเจ้าขอให้เรารับใช้ด้วยปีติและการอุทิศตน และเพื่อเราจะยังคงซื่อสัตย์ต่อพระองค์จนกว่าชีวิตจะหาไม่ ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน