2010–2019
เหตุผลที่แต่งงาน เหตุผลที่มีครอบครัว
เมษายน 2015


เหตุผลที่แต่งงาน เหตุผลที่มีครอบครัว

ครอบครัวที่สร้างบนการแต่งงานของชายกับหญิงเป็นสภาพแวดล้อมที่ดีที่สุดสำหรับความก้าวหน้าในแผนของพระผู้เป็นเจ้า

เหนือประตูใหญ่ฝั่งตะวันตกของวิหารเวสต์มินสเตอร์แอบบีย์ที่โด่งดังในลอนดอน ประเทศอังกฤษ มีรูปปั้นมรณสักขีของชาวคริสต์แห่งศตวรรษที่ 20 จำนวน 10 รูป รวมถึงดีทริช บอนเฮิฟเฟอร์ นักศาสนศาสตร์ชาวเยอรมันผู้ปราดเปรื่องซึ่งเกิดในปี ค.ศ. 19061 บอนเฮิฟเฟอร์กลายเป็นนักวิจารณ์ออกสื่อของระบอบเผด็จการนาซีกับการปฏิบัติต่อชาวยิวและคนอื่นๆ เขาถูกจับกุมคุมขังในเรือนจำเพราะการต่อต้านไม่หยุดหย่อนของเขาและในที่สุดก็ถูกประหารชีวิตที่ค่ายกักกัน บอนเฮิฟเฟอร์เป็นนักเขียนที่มีผลงานแพร่หลาย งานเขียนบางชิ้นซึ่งเป็นที่รู้จักมากที่สุดคือจดหมายที่ผู้คุมซึ่งมีความคิดตรงกันช่วยลักลอบนำออกจากเรือนจำ ต่อมาตีพิมพ์เป็น Letters and Papers from Prison (จดหมายและรายงานจากเรือนจำ)

“จดหมายฉบับหนึ่งส่งให้หลานสาวก่อนงานแต่งงานของเธอ ในนั้นมีข้อคิดดังนี้ “การแต่งงานเป็นมากกว่าความรักที่มีให้กัน…ในความรักของหลาน หลานเห็นแค่ตัวหลานทั้งสองในโลก แต่ในการแต่งงาน หลานคือห่วงโซ่ของการเชื่อมโยงจากรุ่นสู่รุ่น ซึ่งพระผู้เป็นเจ้าทรงให้เกิดมาและจากไปเพื่อรัศมีภาพของพระองค์ และทรงเรียกเข้าไปสู่อาณาจักรของพระองค์ ในความรักของหลาน หลานเห็นเพียงสวรรค์แห่งความสุขของตัวหลานเอง แต่ในการแต่งงาน หลานถูกวางไว้ในตำแหน่งหน้าที่รับผิดชอบต่อโลกและมนุษยชาติ ความรักของหลานเป็นสมบัติส่วนตัวของหลาน แต่การแต่งงานเป็นมากกว่าสิ่งของส่วนตัว—การแต่งงานเป็นสถานะ เป็นตำแหน่ง เฉกเช่นมงกุฏนิยามกษัตริย์ ไม่เพียงความตั้งใจที่จะปกครอง การแต่งงานก็เช่นเดียวกัน ไม่เพียงความรักที่หลานมีให้กัน แต่รวมหลานเข้าด้วยกันในสายพระเนตรของพระผู้เป็นเจ้าและสายตามนุษย์ ... …ด้วยเหตุนี้ ความรักจึงมาจากหลาน แต่การแต่งงานมาจากเบื้องบน มาจากพระผู้เป็นเจ้า”2

ในทางใดที่การแต่งงานระหว่างชายกับหญิงอยู่เหนือกว่าความรักที่พวกเขามีให้กันและเหนือกว่าความสุขส่วนตัวเพื่อเป็น “ตำแหน่งหน้าที่รับผิดชอบต่อโลกและมนุษยชาติ” ในความหมายใดที่การแต่งงาน “มาจากเบื้องบน มาจากพระผู้เป็นเจ้า” เพื่อความเข้าใจ เราต้องย้อนกลับไปสู่กาลเริ่มต้น

ศาสดาพยากรณ์เปิดเผยว่าเราเคยดำรงอยู่มาก่อนในฐานะสัตภาวะรู้แจ้งและพระผู้เป็นเจ้าประทานรูปหรือร่างกายทางวิญญาณแก่เรา เราจึงเป็นบุตรธิดาทางวิญญาณของพระองค์—บุตรและธิดาของพระบิดาพระมารดาบนสวรรค์3 ถึงช่วงเวลาหนึ่งในการดำรงอยู่ก่อนเกิดของเหล่าวิญญาณเมื่อพระบิดาบนสวรรค์ทรงจัดเตรียมแผนซึ่งเป็นไปได้เพื่อผลักดันความปรารถนาของพระองค์ที่จะให้เรา “มีสิทธิ์ก้าวหน้าเช่นพระองค์” 4 ในพระคัมภีร์เรียกแผนนี้ในชื่อต่างๆ กัน รวมถึง “แผนแห่งความรอด”5 “แผนอันสำคัญยิ่งแห่งความสุข”6 และ “แผนแห่งการไถ่”7 จุดประสงค์หลักสองข้อที่อธิบายแก่อับราฮัมมีอยู่ในข้อความนี้

“และมีวิญญาณหนึ่งที่เหมือนกับพระผู้เป็นเจ้ายืนอยู่ท่ามกลางพวกเขา, และเขากล่าวแก่วิญญาณเหล่านั้นผู้ที่อยู่กับเขา: พวกเราจะลงไป, เพราะมีที่ว่างที่นั่น, และเราจะนำสารเหล่านี้ไปส่วนหนึ่ง, และเราจะรังสรรค์แผ่นดินโลกแห่งหนึ่งซึ่งบนนั้นวิญญาณเหล่านี้จะพำนัก;

“และพวกเราจะพิสูจน์พวกเขาโดยวิธีนี้, เพื่อดูว่าพวกเขาจะทำสิ่งทั้งปวงไม่ว่าอะไรก็ตามที่พระเจ้า พระผู้เป็นเจ้าของพวกเขาจะทรงบัญชาพวกเขาหรือไม่;

“และวิญญาณเหล่านั้นที่รักษาสถานะแรกของพวกเขาจะได้รับเพิ่มเติม; … และวิญญาณเหล่านั้นที่รักษาสถานะที่สองของพวกเขาจะมีรัศมีภาพเพิ่มเติมบนศีรษะพวกเขาตลอดกาลและตลอดไป”8

เนื่องด้วยพระบิดาบนสวรรค์ เราจึงกลายเป็นสัตภาวะทางวิญญาณแล้ว ต่อมาพระองค์ทรงเสนอหนทางให้เราที่จะทำให้สัตภาวะนั้นสมบูรณ์หรือดีพร้อม การเพิ่มเติมองค์ประกอบทางกายภาพเป็นสิ่งจำเป็นต่อความบริบูรณ์ของการดำรงอยู่และรัศมีภาพที่พระผู้เป็นเจ้าพระองค์เองทรงมี ถ้าเราเห็นพ้องกับการมีส่วนร่วมในแผนของพระผู้เป็นเจ้าขณะอยู่กับพระองค์ในโลกวิญญาณก่อนเกิด—หรืออีกนัยหนึ่ง “รักษาสถานะแรก [ของเรา]”—เราจะ “ได้รับเพิ่มเติม” ด้วยร่างกายเมื่อเรามาพำนักอยู่บนแผ่นดินโลกที่พระองค์ทรงสร้างเพื่อเรา

ถ้าเวลานั้นในเส้นทางของประสบการณ์มรรตัย เราเลือกที่จะ “ทำสิ่งทั้งปวงไม่ว่าอะไรก็ตามที่พระเจ้า พระผู้เป็นเจ้าของ [เรา] จะทรงบัญชา [เรา]” เราก็จะรักษา “สถานะที่สอง” ของเรา นี่หมายความว่าโดยการเลือกของเรา เราจะแสดงให้พระผู้เป็นเจ้า (และตัวเราเอง) เห็นคำมั่นสัญญาและสมรรถภาพของเราที่จะดำเนินชีวิตตามกฎซีเลสเชียลขณะอยู่นอกที่ประทับของพระองค์และในร่างกายทางโลกพร้อมด้วยพลังอำนาจ ความหิวกระหาย และความลุ่มหลง เราควบคุมเนื้อหนังเพื่อจะเป็นเครื่องมือแทนที่จะเป็นเจ้านายของวิญญาณได้ไหม เราจะได้รับความไว้วางใจหรือไม่ทั้งในกาลเวลาและนิรันดรด้วยพลังอำนาจอย่างพระผู้เป็นเจ้า รวมถึงพลังอำนาจในการสร้างชีวิต เราแต่ละคนจะเอาชนะความชั่วร้ายได้ไหม ผู้ที่ทำได้จะ “มีรัศมีภาพเพิ่มเติมบนศีรษะพวกเขาตลอดกาลและตลอดไป”—ส่วนที่สำคัญมากของรัศมีภาพนั้นคือร่างกายที่ฟื้นคืนชีวิต เป็นอมตะ และรุ่งโรจน์9 ไม่แปลกใจเลยที่เรา “โห่ร้องด้วยความชื่นบาน” ต่อความเป็นไปได้และสัญญาอันยิ่งใหญ่เหล่านี้10

มีสิ่งสำคัญอย่างน้อยสี่ข้อที่จำเป็นต่อความสำเร็จของแผนแห่งสวรรค์นี้

ข้อแรกคือการสร้างแผ่นดินโลกให้เป็นที่พำนักของเรา ไม่ว่ารายละเอียดของกระบวนการสร้างคืออะไร เราทราบว่านี่ไม่ใช่ความบังเอิญแต่การสร้างนี้กำกับดูแลโดยพระผู้เป็นเจ้าพระบิดาและดำเนินงานโดยพระเยซูคริสต์—“พระเจ้าทรงสร้างสรรพสิ่งขึ้นมาโดยพระวาทะ ในบรรดาสิ่งที่เป็นอยู่นั้น ไม่มีสักสิ่งเดียวที่เป็นอยู่นอกเหนือพระวาทะ”11

สองคือสภาพของความเป็นมรรตัย อาดัมกับเอวากระทำแทนทุกคนผู้เลือกที่จะมีส่วนร่วมในแผนอันสำคัญยิ่งแห่งความสุขของพระบิดา12 การตกของพวกเขาสร้างสภาพที่จำเป็นต่อการถือกำเนิดทางร่างกายของเราและประสบการณ์ตลอดจนการเรียนรู้แบบมรรตัยนอกที่ประทับของพระผู้เป็นเจ้า การตกนำมาซึ่งความตระหนักรู้ในความดีและความชั่วตลอดจนอำนาจในการเลือกที่พระผู้เป็นเจ้าประทานให้13 สุดท้าย การตกทำให้เกิดความตายทางร่างกายซึ่งจำเป็นต่อการทำให้วันเวลาของเราในความเป็นมรรตัยเป็นเพียงชั่วคราว ทั้งนี้เพื่อที่เราจะไม่ดำรงอยู่ตลอดไปในบาปของเรา14

สามคือการไถ่จากการตก เราเห็นบทบาทของความตายในแผนของพระบิดาบนสวรรค์ แต่แผนนั้นจะเป็นโมฆะหากสุดท้ายแล้วไม่มีวิธีเอาชนะความตาย ทั้งทางร่างกายและทางวิญญาณ ฉะนั้น พระผู้ไถ่ พระบุตรองค์เดียวที่ถือกำเนิดของพระผู้เป็นเจ้า พระเยซูคริสต์ ทรงทนทุกข์และสิ้นพระชนม์เพื่อชดใช้การล่วงละเมิดของอาดัมกับเอวา โดยวิธีดังกล่าว จึงมีการฟื้นคืนชีวิตและความเป็นอมตะสำหรับคนทั้งปวง และเนื่องจากไม่มีใครเลยที่จะเชื่อฟังกฎพระกิตติคุณได้อย่างสมบูรณ์แบบและสม่ำเสมอ การชดใช้ของพระองค์จึงไถ่เราจากบาปโดยมีเงื่อนไขของการกลับใจ โดยที่พระคุณแห่งการไถ่ของพระผู้ช่วยให้รอดให้การอภัยบาปและชำระจิตวิญญาณให้บริสุทธิ์ เราจึงเกิดใหม่ทางวิญญาณและปรองดองกับพระผู้เป็นเจ้าได้ ความตายทางวิญญาณ—การแยกจากพระผู้เป็นเจ้า—จะสิ้นสุดลง15

สุดท้าย ข้อที่สี่คือสภาพแวดล้อมสำหรับการเกิดทางร่างกายและการเกิดใหม่ทางวิญญาณซึ่งตามมาสู่อาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า เพื่อจะทำให้งานของพระองค์ประสบผลสำเร็จในการทำให้ “[เรา] ได้รับความสูงส่งกับพระองค์”16 พระผู้เป็นเจ้าทรงแต่งตั้งให้ชายหญิงพึงแต่งงานและให้กำเนิดบุตร โดยการนั้น ในความเป็นหุ้นส่วนกับพระผู้เป็นเจ้า จึงสร้างร่างกายซึ่งเป็นกุญแจสำคัญต่อการทดสอบความเป็นมรรตัยและจำเป็นต่อรัศมีภาพนิรันดร์กับพระองค์ พระองค์ยังทรงแต่งตั้งให้บิดามารดาพึงสร้างครอบครัวและเลี้ยงลูกในแสงสว่างและความจริง17 ทำให้พวกเขามีความหวังในพระคริสต์ พระบิดาทรงบัญชาให้เราทำดังนี้

“สอนสิ่งเหล่านี้อย่างเปิดเผยแก่ลูกหลานของเจ้า, โดยกล่าวว่า

“ตราบเท่าที่เจ้าเกิดมาในโลกโดยน้ำ, และโลหิต, และวิญญาณ, ซึ่งเรารังสรรค์ไว้, และจากผงธุลีกลายเป็นจิตวิญญาณมีชีวิตฉันใด, แม้ฉันนั้นเจ้าต้องเกิดใหม่สู่อาณาจักรแห่งสวรรค์, โดยน้ำ, และโดยพระวิญญาณ [ศักดิ์สิทธิ์], และสะอาดโดยพระโลหิต, แม้พระโลหิตของพระองค์เดียวที่ถือกำเนิดของเรา; เพื่อเจ้าจะได้รับการชำระให้บริสุทธิ์จากบาปทั้งปวง, และยินดีกับถ้อยคำแห่งชีวิตนิรันดร์ในโลกนี้, และชีวิตนิรันดร์ในโลกที่จะมาถึง, แม้รัศมีภาพอมตะ.”18

โดยที่รู้ว่าเหตุใดเราจึงจากที่ประทับของพระบิดาบนสวรรค์และสิ่งที่ต้องทำเพื่อจะกลับไปและได้รับความสูงส่งกับพระองค์ จึงชัดเจนอย่างมากว่าไม่มีสิ่งใดที่เกี่ยวข้องกับวันเวลาของเราบนแผ่นดินโลกจะสำคัญไปกว่าการถือกำเนิดทางร่างกายและการบังเกิดใหม่ทางวิญญาณ สองอย่างที่ต้องมีก่อนจะได้รับชีวิตนิรันดร์ ในถ้อยคำของดีทริค บอนเฮิฟเฟอร์ สิ่งนี้คือ “ตำแหน่ง” ของการแต่งงาน “ตำแหน่งหน้าที่รับผิดชอบต่อ… มนุษยชาติ” ซึ่งสถาบันสวรรค์แห่งนี้ที่ “มาจากเบื้องบน มาจากพระผู้เป็นเจ้า” ครองตำแหน่งอยู่ สิ่งนี้คือ “ห่วงโซ่ของคนในรุ่นต่างๆ ” ทั้งที่นี่และต่อจากนี้—นี่คือระเบียบแห่งสวรรค์

ครอบครัวที่สร้างบนการแต่งงานของชายกับหญิงเป็นสภาพแวดล้อมที่ดีที่สุดสำหรับความก้าวหน้าในแผนของพระผู้เป็นเจ้า—สภาพแวดล้อมสำหรับการกำเนิดบุตร ผู้มาจากพระผู้เป็นเจ้าในความบริสุทธิ์และไร้เดียงสา สภาพแวดล้อมสำหรับการเรียนรู้และการเตรียมตัวที่พวกเขาต้องมีเพื่อชีวิตมรรตัยที่ประสบความสำเร็จและชีวิตนิรันดร์ในโลกที่จะมาถึง ครอบครัวจำนวนน้อยที่สุดซึ่งสร้างบนการแต่งงานเช่นนั้นคือส่วนสำคัญสำหรับสังคมที่จะอยู่รอดและรุ่งเรือง นั่นคือเหตุผลที่ชุมชนตลอดจนประชาชาติโดยทั่วไปสนับสนุนและปกป้องการแต่งงานและครอบครัวให้เป็นสถาบันเอกสิทธิ์ ไม่เคยเลยที่จะเป็นเพียงเรื่องของความรักและความสุขของผู้ใหญ่

กรณีศึกษาทางสังคมศาสตร์สำหรับการแต่งงานและสำหรับครอบครัวที่นำโดยชายหญิงที่แต่งงานกันนั้นน่าสนใจอย่างยิ่ง19 และดังนั้น “เราเตือนว่าการแตกสลายของครอบครัวจะนำภัยพิบัติมาสู่ตัวบุคคล ประชาคม และประชาชาติดังที่ศาสดาพยากรณ์ในสมัยโบราณและปัจจุบันพยากรณ์ไว้”20 แต่การอ้างสิทธิ์ของเราสำหรับบทบาทของการแต่งงานและครอบครัวไม่ได้ขึ้นอยู่กับสังคมศาสตร์แต่ขึ้นอยู่กับความจริงที่ว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นการสร้างของพระผู้เป็นเจ้า ในกาลเริ่มต้น พระองค์คือผู้สร้างอาดัมกับเอวาตามรูปลักษณ์ของพระองค์ ชายและหญิง และรวมพวกเขาไว้เป็นสามีกับภรรยาเพื่อจะเป็น “เนื้อเดียวกัน” และเพื่อขยายเผ่าพันธุ์และเพิ่มพูนให้เต็มแผ่นดินโลก21 แต่ละบุคคลมีรูปลักษณ์แห่งสวรรค์ แต่ต้องอยู่ในการสมรสที่รวมชายกับหญิงเป็นหนึ่งเดียวเพื่อเราจะได้รับความหมายที่สมบูรณ์ที่สุดของการรังสรรค์ในรูปลักษณ์ของพระผู้เป็นเจ้า—คือชายและหญิง ไม่ว่าเราหรือมนุษย์มรรตัยคนใดก็ตามก็ไม่สามารถเปลี่ยนระเบียบแห่งสวรรค์ของการแต่งงานนี้ได้ การแต่งงานไม่ใช่การประดิษฐ์คิดค้นของมนุษย์ การแต่งงานเช่นนั้น “มาจากเบื้องบน มาจากพระผู้เป็นเจ้า” อย่างแท้จริง และเป็นส่วนที่เท่าเทียมกันของแผนแห่งความสุขกับการตกและการชดใช้

ในโลกก่อนเกิด ลูซิเฟอร์กบฏต่อพระผู้เป็นเจ้าและแผนของพระองค์ การต่อต้านของเขารุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เขาต่อสู้เพื่อขัดขวางการแต่งงานและการสร้างครอบครัว ที่ใดที่มีการแต่งงานและครอบครัวเกิดขึ้น เขาจะทำสุดความสามารถเพื่อขัดขวางสิ่งเหล่านั้น เขาโจมตีทุกสิ่งที่เป็นความศักดิ์สิทธิ์เกี่ยวกับเรื่องทางเพศของมนุษย์ โดยทำลายสิ่งนั้นจากภาวะแวดล้อมของการแต่งงานด้วยความคิดและการกระทำซึ่งไร้ศีลธรรมทุกรูปแบบที่ดูเหมือนจะไม่มีวันสิ้นสุด เขาพยายามทำให้ชายหญิงเชื่อว่าสามารถเพิกเฉยหรือละทิ้งความสำคัญของการแต่งงานและครอบครัวได้ หรืออย่างน้อยที่สุดก็ให้มีความสำคัญน้อยกว่าอาชีพการงาน ความสำเร็จอื่นๆ และแสวงหาเพื่อความสำเร็จของชีวิตและเพื่อเสรีภาพส่วนตัว แน่นอนว่าปฏิปักษ์พอใจเมื่อบิดามารดาไม่สั่งสอนอบรมลูกๆ ของพวกเขาให้มีศรัทธาในพระเยซูคริสต์และเกิดใหม่ทางวิญญาณ พี่น้องทั้งหลาย มีหลายสิ่งที่ดี มีหลายอย่างที่สำคัญ แต่มีเพียงไม่กี่อย่างที่จำเป็น

เพื่อจะประกาศความจริงพื้นฐานที่เกี่ยวข้องกับการแต่งงานและครอบครัว ต้องไม่มองข้ามหรือดูหมิ่นการเสียสละและความสำเร็จของผู้ที่ชีวิตจริงไม่เหมือนสถานการณ์ในอุดมคติ บางคนไม่ได้รับพรของการแต่งงานด้วยเหตุผลบางอย่าง อาทิ ไม่มีคนที่คู่ควร เสน่หาเพศเดียวกัน มีความบกพร่องทางร่างกายหรือจิตใจ หรือเพียงแค่กลัวความล้มเหลวซึ่งอย่างน้อยก็บดบังศรัทธาไปชั่วขณะ หรือท่านอาจแต่งงาน แต่การแต่งงานสิ้นสุดลง และทิ้งท่านไว้คนเดียวให้จัดการทุกสิ่งที่แม้สองคนทำด้วยกันยังยากที่จะประคองไว้ พวกท่านบางคนที่แต่งงานแล้วแต่ไม่สามารถมีบุตรทั้งที่ใจปรารถนาเหลือล้นและสวดอ้อนวอนทูลขอแล้ว

กระนั้นก็ตาม ทุกคนมีของประทาน ทุกคนมีพรสวรรค์ ทุกคนสามารถเอื้อประโยชน์ต่อการเผยแผนแห่งสวรรค์ในคนแต่ละรุ่น มีมากที่ดี มีมากที่จำเป็น—แม้บางครั้งทุกอย่างที่จำเป็นสำหรับเวลานี้—สามารถสำเร็จได้ในสภาวการณ์ที่ไม่ตรงกับอุดมคติ ฉะนั้นพวกท่านหลายคนทำดีที่สุดแล้ว และเมื่อท่านผู้แบกภาระหนักที่สุดของความเป็นมรรตัยยืนหยัดปกป้องแผนของพระผู้เป็นเจ้าเพื่อให้บุตรธิดาของพระองค์ได้รับความสูงส่ง เราทุกคนก็พร้อมที่จะสนับสนุน ด้วยความมั่นใจเราเป็นพยานว่าการชดใช้ของพระเยซูคริสต์ได้คาดการณ์ไว้ล่วงหน้า และในบั้นปลาย จะชดเชยการลิดรอนสิทธิ์และการสูญเสียทุกอย่างสำหรับผู้ที่หันมาหาพระองค์ ไม่มีใครถูกกำหนดให้รับน้อยกว่าทุกสิ่งที่พระบิดาทรงมีให้บุตรธิดาของพระองค์

เมื่อไม่นานมานี้คุณแม่ลูกเล็กคนหนึ่งเล่าให้ข้าพเจ้าฟังถึงความวิตกกังวลเกี่ยวกับความไม่คู่ควรในการเรียกที่สำคัญที่สุดนี้ ข้าพเจ้ารู้สึกว่าปัญหาที่ทำให้เธอกังวลเป็นเรื่องเล็กน้อยและเธอไม่จำเป็นต้องกังวล เธอทำดีแล้ว แต่ข้าพเจ้าทราบว่าเธอเพียงต้องการให้พระผู้เป็นเจ้าพอพระทัยและให้เกียรติความไว้วางใจของพระองค์ ข้าพเจ้ายืนยันกับเธอ และในใจข้าพเจ้าวิงวอนว่าพระผู้เป็นเจ้า พระบิดาบนสวรรค์ของเธอ จะทรงค้ำจุนเธอด้วยความรักและให้เธอมองเห็นความพอพระทัยเมื่อเธอกำลังทำงานของพระองค์

นี่คือคำสวดอ้อนวอนของข้าพเจ้าสำหรับเราทุกคนในวันนี้ ขอให้เราแต่ละคนพบความพอพระทัยในสายพระเนตรของพระองค์ ขอให้การแต่งงานเฟื่องฟูและครอบครัวเจริญรุ่งเรือง และไม่ว่าอนาคตของเราคือความบริบูรณ์ของพรเหล่านี้ในความเป็นมรรตัยหรือไม่ ขอให้พระคุณของพระเจ้านำความสุขมาเวลานี้และศรัทธาในคำสัญญาอันแน่นอนที่จะมาถึง ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน

อ้างอิง

  1. ดู Kevin Rudd, “Faith in Politics,” The Monthly, Oct. 2006, themonthly.com.au/monthly-essays-kevin-rudd-faith-politics--300.

  2. Dietrich Bonhoeffer, Letters and Papers from Prison, ed. Eberhard Bethge (1953), 42–43.

  3. ดู, ตัวอย่างเช่น, สดุดี 82:6; กิจการของอัครทูต 17:29; ฮีบรู 12:9; หลักคำสอนและพันธสัญญา 93:29, 33; โมเสส 6:51; อับราฮัม 3:22. ศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธให้รายละเอียดไว้ดังนี้ “หลักธรรมข้อแรกๆ ของมนุษย์ดำรงอยู่ด้วยตัวมันเองกับพระผู้เป็นเจ้า พระผู้เป็นเจ้าทรงพบว่าพระองค์ทรงอยู่ท่ามกลางวิญญาณ [หรือสัตภาวะรู้แจ้ง] และรัศมีภาพ เพราะพระองค์ทรงมีความรู้แจ้งมากกว่า จึงทรงเห็นควรให้ตั้งกฎเพื่อให้คนอื่นๆ มีเอกสิทธิ์ในความก้าวหน้าเช่นพระองค์…พระองค์ทรงมีอำนาจตั้งกฎเพื่อสอนผู้อ่อนแอกว่าให้มีความรู้แจ้ง เพื่อพวกเขาจะได้รับความสูงส่งกับพระองค์” (คำสอนของประธานศาสนจักร: โจเซฟ สมิธ [2007], 225).

  4. คำสอน: โจเซฟ สมิธ, 225.

  5. แอลมา 24:14.

  6. แอลมา 42:8.

  7. แอลมา 12:25; ดู ข้อ 26–33 ด้วย.

  8. อับราฮัม 3:24–26.

  9. ศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธให้ข้อความสรุปไว้ดังนี้ “แบบแผนของพระผู้เป็นเจ้าก่อนการวางรากฐานของโลกคือ เราควรได้รับร่างกาย เราควรเอาชนะโดยผ่านความซื่อสัตย์ของเรา จากนั้นรับการฟื้นคืนชีวิตจากความตาย โดยรับรัศมีภาพ เกียรติ อำนาจ และการครอบครองในวิธีดังกล่าว” ศาสดาพยากรณ์ยังกล่าวว่า “เรามายังโลกนี้เพื่อเราจะมีร่างกายและปรากฏกายอันบริสุทธิ์ต่อพระพักตร์พระผู้เป็นเจ้าในอาณาจักรชั้นสูง หลักธรรมอันยิ่งใหญ่ของความสุขประกอบด้วยการมีร่างกาย มารไม่มีร่างกาย และการไม่มีร่างกายคือบทลงโทษสำหรับเขา เขาพอใจเมื่อได้สิงอยู่ในร่างกายมนุษย์ และเมื่อพระผู้ช่วยให้รอดทรงไล่มารออก เขาขอไปอยู่ในฝูงสุกรแทน นี่แสดงให้เห็นว่าเขาสิงอยู่ในตัวหมูดีกว่าไม่มีร่างกาย ทุกสัตภาวะที่มีร่างกายมีอำนาจเหนือสัตภาวะที่ไม่มีร่างกาย” (คำสอน: โจเซฟ สมิธ, 226).

  10. โยบ 38:7.

  11. ยอห์น 1:3; ดู หลักคำสอนและพันธสัญญา 76:23–24 ด้วย.

  12. ดู 1 โครินธ์ 15:21–22; 2 นีไฟ 2:25.

  13. ดู 2 นีไฟ 2:15–18; แอลมา 12:24; หลักคำสอนและพันธสัญญา 29:39; โมเสส 4:3. โจเซฟ สมิธกล่าวว่า “ทุกคนมีสิทธิ์ได้รับสิทธิ์เสรีของเขา เพราะพระผู้เป็นเจ้าทรงกำหนดไว้เช่นนั้น พระองค์ทรงให้มนุษยชาติเป็นตัวแทนทางศีลธรรม และประทานพลังอำนาจให้เขาเลือกความดีหรือความชั่ว แสวงหาสิ่งดี โดยดำเนินตามเส้นทางของความบริสุทธิ์ในชีวิตนี้ อันจะก่อให้เกิดสันติสุขในจิตใจและปีติในพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่นี่ และความบริบูรณ์แห่งปีติและความสุขทางขวาพระหัตถ์ของพระองค์หลังจากนี้ หรือจะดำเนินตามวิถีที่ชั่วร้ายโดยดำเนินต่อไปในบาปและกบฏต่อพระผู้เป็นเจ้า อันจะนำการกล่าวโทษมาให้จิตวิญญาณของเขาในโลกนี้และการสูญเสียนิรันดร์ในโลกที่จะมาถึง” ศาสดาพยากรณ์ยังตั้งข้อสังเกตว่า “ซาตานจะใช้สิ่งล่อใจของเขาล่อหลอกเราไม่ได้เว้นแต่ใจเราจะคล้อยตามและยินยอม เราถูกสร้างมาให้สามารถต่อต้านมารได้ หากไม่ได้สร้างเราเช่นนั้น เราคงไม่ได้เป็นตัวของตัวเองที่มีอิสระ” (คำสอน: โจเซฟ สมิธ, 228–229).

  14. ดู ปฐมกาล 3:22–24; แอลมา 42:2–6; โมเสส 4:28–31.

  15. แม้ผู้ที่ไม่ได้กลับใจยังได้รับการไถ่จากความตายทางวิญญาณโดยการชดใช้ ในความหมายที่ว่าพวกเขาจะมาสู่ที่ประทับของพระผู้เป็นเจ้าอีกครั้งเพื่อรับการพิพากษาครั้งสุดท้าย (ดู ฮีลามัน 14:17; 3 นีไฟ 27:14–15).

  16. คำสอน: โจเซฟ สมิธ, 225.

  17. ดู หลักคำสอนและพันธสัญญา 93:36–40.

  18. โมเสส 6:58–59.

  19. ผู้คนอาจซื่อสัตย์ต่อกันในความสัมพันธ์นอกสมรส เด็กๆ อาจเกิดมาและได้รับการเลี้ยงดู บางครั้งก็ประสบความสำเร็จได้ นอกจากสภาพแวดล้อมครอบครัวที่พ่อแม่แต่งงานกัน แต่โดยเฉลี่ยแล้วและในกรณีส่วนใหญ่ หลักฐานของประโยชน์ทางสังคมของการแต่งงานและผลที่เรียกได้ว่าดีกว่าสำหรับเด็กในครอบครัวที่นำโดยชายและหญิงที่แต่งงานกันนั้นกว้างขวาง ในทางกลับกัน ความเสียหายทางสังคมและเศรษฐกิจของสิ่งที่นักวิจารณ์คนหนึ่งเรียกว่า “การหนีระดับโลกจากครอบครัว” ส่งผลเสียอย่างมากต่อสังคม นิโคลัส เอเบอร์สตาดท์จัดประเภทของแนวโน้มในการแต่งงานที่ลดลงทั่วโลกรวมทั้งการให้กำเนิดเด็กและแนวโน้มเกี่ยวกับครอบครัวขาดพ่อและการหย่าร้าง เขาสังเกตว่า “ผลกระทบอันตรายต่อเด็กจำนวนไม่น้อยที่เสียหายจากการหนีออกจากครอบครัวมีตัวเลขที่เห็นได้ชัดเจน บทบาทที่เลวร้ายของการหย่าร้างและการให้กำเนิดเด็กนอกสมรสอันก่อให้เกิดความแตกต่างของรายได้และช่องว่างระหว่างความมั่งคั่งก็หนักหน่วงเช่นกัน—สำหรับสังคมโดยรวม โดยเฉพาะสำหรับเด็ก ถูกต้องที่ว่าเด็กมีความสามารถในการฟื้นฟูสภาพจิตใจ แต่แน่นอนว่าการหนีออกจากครอบครัวเกิดขึ้นเพราะการเสียสละของผู้เยาว์ การหนีอย่างเดียวกันนั้นก็เป็นการเจตนาที่ไม่น่าให้อภัยสำหรับผู้ใหญ่เช่นกัน” (ดู “The Global Flight from the Family,” Wall Street Journal, Feb. 21, 2015; wsj.com/articles/nicholas-eberstadt-the-global-flight-from-the-family-1424476179.)

  20. “ครอบครัว: ถ้อยแถลงต่อโลก,” เลียโฮนา พ.ย. 2010, 165.

  21. ดู ปฐมกาล 1:26–28; 2:7, 18, 21–24; 3:20; โมเสส 2:26–28; 3:7–8, 18, 20–24; 4:26.