2010–2019
เหตุใดจึงต้องมีศาสนจักร
ตุลาคม 2015


เหตุใดจึงต้องมีศาสนจักร

เป็นการคุ้มค่าที่จะหยุดเพื่อพิจารณาว่าทำไมพระเยซูคริสต์ทรงเลือกใช้ศาสนจักรแห่งหนึ่ง ศาสนจักรของพระองค์ ในการนำงานของพระองค์และของพระบิดาออกมา

ตลอดชีวิตข้าพเจ้า การประชุมใหญ่สามัญของศาสนจักรเป็นเหตุการณ์สำคัญทางวิญญาณที่ทำให้เบิกบานใจเสมอมา และศาสนจักรเองก็เป็นที่ซึ่งข้าพเจ้ามาเพื่อรู้จักพระเจ้า ข้าพเจ้าตระหนักว่ามีหลายคนที่ถือว่าตนเองมีศาสนาหรือสนใจเรื่องทางวิญญาณแต่ปฏิเสธการไปโบสถ์ หรือแม้แต่ความต้องการองค์การใดองค์การหนึ่ง การปฏิบัติทางศาสนาสำหรับพวกเขาแล้วเป็นเรื่องส่วนตัว กระนั้น ศาสนจักรนี้ก็ยังคงเป็นการสร้างของพระองค์ผู้ทรงเป็นศูนย์กลางทางวิญญาณของเรา—พระเยซูคริสต์ เป็นการคุ้มค่าที่จะหยุดเพื่อพิจารณาว่าทำไมพระองค์ทรงเลือกใช้ศาสนจักรของพระองค์ ศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้าย ในการนำงานของพระองค์และของพระบิดาออกมาเพื่อ “ทำให้เกิดความเป็นอมตะและชีวิตนิรันดร์ของมนุษย์”1

โดยเริ่มมาตั้งแต่สมัยอาดัม มีการสั่งสอนพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ และปฏิบัติศาสนพิธีแห่งความรอดที่สำคัญ เช่น บัพติศมาโดยผ่านระเบียบฐานะปุโรหิตแห่งครอบครัว2 เมื่อสังคมเติบโตอย่างซับซ้อนมากกว่าเพียงแค่การอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวใหญ่ พระผู้เป็นเจ้าทรงเรียกศาสดาพยากรณ์ ผู้สื่อสารและผู้สอน ในยุคของโมเสสเราอ่านเรื่องเกี่ยวกับโครงสร้างที่เป็นทางการมากกว่าซึ่งรวมถึงเอ็ลเดอร์ ปุโรหิตและผู้วินิจฉัย ในประวัติศาสตร์ของพระคัมภีร์มอรมอน แอลมาสถาปนาศาสนจักรด้วยปุโรหิตและผู้สอน

จากนั้นในความเรืองโรจน์แห่งเวลา พระเยซูทรงจัดระเบียบงานของพระองค์ในวิธีซึ่งจะสามารถสถาปนาพระกิตติคุณได้พร้อมกันในหลายประชาชาติและในหมู่คนที่แตกต่างกัน องค์กรนั้น ศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งนี้จัดตั้งขึ้นโดยมีรากฐานอยู่ที่ “อัครทูตและบรรดาผู้เผยพระวจนะ มีพระเยซูคริสต์เป็นศิลาหัวมุม”3 ทั้งนี้รวมถึงตำแหน่งอื่นๆ ด้วย ได้แก่ สาวกเจ็ดสิบ เอ็ลเดอร์ อธิการ ปุโรหิต ผู้สอน และมัคนายก พระเยซูทรงสถาปนาศาสนจักรในทำนองเดียวกันนี้ในซีกโลกตะวันตกหลังการฟื้นคืนพระชนม์

หลังการละทิ้งความเชื่อและการล่มสลายของศาสนจักรที่พระองค์ทรงจัดตั้งเมื่อทรงอยู่บนแผ่นดินโลก พระเจ้าทรงสถาปนาศาสนจักรของพระเยซูคริสต์ขึ้นอีกครั้งผ่านศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธ จุดประสงค์ดั้งเดิมยังคงอยู่: นั่นคือ เพื่อสั่งสอนข่าวประเสริฐแห่งพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์และปฏิบัติศาสนพิธีแห่งความรอด—หรืออีกนัยหนึ่งคือ การนำผู้คนมาสู่พระคริสต์4 และบัดนี้ โดยผ่านองค์การต่างๆ ของศาสนจักรที่ได้รับการฟื้นฟู สัญญาแห่งการไถ่อยู่แค่เอื้อมแม้วิญญาณของผู้ล่วงลับที่ในชีวิตบนโลกมรรตัยนี้รู้น้อยหรือไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับพระคุณของพระผู้ช่วยให้รอด

ศาสนจักรของพระองค์บรรลุจุดประสงค์ของพระเจ้าได้อย่างไร เราจำเป็นต้องรู้ว่าจุดประสงค์สูงสุดของพระผู้เป็นเจ้าคือความก้าวหน้าของเรา พระประสงค์ของพระองค์คือให้เราดำเนินต่อไป “จากพระคุณสู่พระคุณ, จน [เราได้รับ] ความสมบูรณ์”5 ของทุกสิ่งที่จะประทานให้ นั่นเรียกร้องมากกว่าการเป็นคนดีหรือมีความรู้สึกทางวิญญาณ สิ่งนี้เรียกร้องศรัทธาในพระเยซูคริสต์ การกลับใจ บัพติศมาในน้ำและโดยพระวิญญาณ และอดทนในศรัทธาจนกว่าชีวิตจะหาไม่6 ไม่มีใครที่ทำสิ่งนี้ได้อย่างเต็มที่โดยลำพัง ดังนั้นเหตุผลหลักอย่างหนึ่งที่พระเจ้าทรงจัดตั้งศาสนจักรคือเพื่อสร้างประชาคมวิสุทธิชนยุคสุดท้ายที่จะสนับสนุนกันใน “ทางคับแคบและแคบนี้ซึ่งนำไปสู่ชีวิตนิรันดร์”7

“และ [พระคริสต์] เองประทานให้บางคนเป็นอัครทูต บางคนเป็นผู้เผยพระวจนะ บางคนเป็นผู้ประกาศข่าวประเสริฐ บางคนเป็นศิษยาภิบาลและอาจารย์

”…สำหรับการปรนนิบัติและการเสริมสร้างพระกายของพระคริสต์:

“จนกว่าเราทุกคนจะบรรลุถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อและในความรู้ถึงพระบุตรของพระเจ้า บรรลุถึงความเป็นผู้ใหญ่ คือโตเต็มถึงขนาดความบริบูรณ์ของพระคริสต์”8

พระเยซูคริสต์ทรงเป็น “พระผู้ทรงลิขิต และพระผู้ทรงประสิทธิ์ศรัทธาของ [พวกเรา]”9 การเป็นหนึ่งเดียวกับพระวรกายของพระคริสต์—ศาสนจักร—เป็นส่วนสำคัญของการรับพระนามของพระองค์10 เรารู้ว่าศาสนจักรในสมัยโบราณ “ประชุมกันบ่อย, เพื่ออดอาหาร และเพื่อสวดอ้อนวอน, และพูดกันเกี่ยวกับความผาสุกของจิตวิญญาณพวกเขา”11 “และฟังพระวจนะของพระเจ้า.”12 ศาสนจักรในปัจจุบันก็เช่นกัน เข้าร่วมด้วยศรัทธา เราสอนและจรรโลงใจกันและพยายามเข้าถึงความสมบูรณ์แห่งการเป็นสานุศิษย์ “โตเต็มถึงขนาดความบริบูรณ์ของพระคริสต์” เราพยายามช่วยเหลือกันให้เข้าถึง “ความรู้เรื่องพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า”13 จนกว่าจะถึงวันนั้นเมื่อ “ทุกคนจะไม่สอนเพื่อนบ้าน…ของตนแต่ละคนอีกว่า ‘จงรู้จักพระยาห์เวห์’ เพราะเขาทุกคนจะรู้จักเราตั้งแต่คนเล็กน้อยที่สุดถึงคนใหญ่โตที่สุด พระยาห์เวห์ตรัสดังนี้แหละ”14

ในศาสนจักรเราไม่เพียงเรียนรู้หลักคำสอนจากสวรรค์ เรามีประสบการณ์ในการประยุกต์ใช้ด้วย ในฐานะพระวรกายของพระคริสต์ สมาชิกศาสนจักรปฏิบัติต่อกันในความเป็นจริงของชีวิตประจำวัน เราทุกคนไม่ดีพร้อม เราอาจทำให้คนอื่นขุ่นเคืองและถูกทำให้ขุ่นเคือง บ่อยครั้งเราทดสอบความอดทนของกันและกันด้วยพฤติกรรมแปลกๆ ส่วนตัวของเรา ในพระวรกายของพระคริสต์เราต้องไปไกลกว่าแนวคิดและถ้อยคำสูงส่งและมีประสบการณ์ “ที่เกิดขึ้นจริง” ขณะเรียนรู้ที่จะ “อยู่ด้วยกันด้วยความรัก”15

ศาสนานี้ไม่ห่วงเฉพาะตนเอง แต่เราทุกคนถูกเรียกให้รับใช้ เราเป็นตา มือ ศีรษะ เท้าและส่วนอื่นๆ ของร่างกายของพระคริสต์ และแม้ “หลายๆ อวัยวะ …ที่เราคิดว่าอ่อนแอกว่า ก็ยังเป็นสิ่งจำเป็น”16 เราต้องการการเรียกเหล่านี้ และเราต้องรับใช้

ชายคนหนึ่งในวอร์ดข้าพเจ้านอกจากเติบโตขึ้นมาโดยพ่อแม่ไม่สนับสนุนแล้วพ่อแม่ยังต่อต้านกิจกรรมของเขาในศาสนจักรด้วย เขาให้ข้อคิดเห็นนี้ในการประชุมศีลระลึก: “พ่อผมไม่เข้าใจว่าทำไมทุกคนต้องไปโบสถ์เมื่อไปเล่นสกีก็ได้ แต่ผมชอบมาโบสถ์มาก ที่โบสถ์เราทุกคนอยู่ในเส้นทางเดียวกันและในเส้นทางนี้ผมได้รับแรงบันดาลใจจากเยาวชนที่เข้มแข็ง เด็กที่บริสุทธิ์ และสิ่งที่ผมเห็นและเรียนรู้จากผู้ใหญ่คนอื่นๆ ผมเข้มแข็งขึ้นจากการคบหาสมาคมนี้และตื่นเต้นกับปีติในการดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณ”

วอร์ดและสาขาต่างๆ ของศาสนจักรจัดให้มีการชุมนุมกันทุกสัปดาห์เพื่อพักผ่อนและต่อพันธสัญญา เวลาและสถานที่ซึ่งเราละโลกไว้เบื้องหลัง—วันสะบาโต ซึ่งเป็นวันที่ “เจ้าจะปีติยินดีในพระยาห์เวห์”17 เพื่อมีประสบการณ์ในการรักษาทางวิญญาณซึ่งเกิดจากศีลระลึก และเพื่อรับสัญญาที่ต่อใหม่ว่าพระวิญญาณพระองค์จะทรงสถิตกับเรา18

หนึ่งในพรประเสริฐสุดของการเป็นส่วนหนึ่งของพระวรกายของพระคริสต์ แม้ดูเหมือนจะไม่ใช่พรในขณะนี้ คือการถูกว่ากล่าวถึงบาปและข้อผิดพลาด เรามักแก้ตัวและหาข้ออ้างให้ความผิดพลาดของตนเอง และบางครั้งเราไม่รู้ว่าควรจะปรับปรุงตรงไหนหรือทำอย่างไร หากไม่มีผู้สามารถว่ากล่าวเรา “โดยไม่ชักช้าด้วยความเฉียบขาด, เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงดลใจ”19 เราอาจขาดความกล้าหาญที่จะเปลี่ยนและทำตามพระอาจารย์ให้สมบูรณ์แบบมากขึ้น การกลับใจเป็นเรื่องของแต่ละบุคคล แต่การผูกมิตรในเรื่องที่บางครั้งเป็นวิถีอันปวดร้าวนั้นเป็นเรื่องในศาสนจักร20

ในการสนทนาเกี่ยวกับศาสนจักรในฐานะเป็นพระวรกายของพระคริสต์ เราต้องระลึกเสมออยู่สองเรื่อง เรื่องแรก เราไม่พยายามเปลี่ยนใจเลี่อมใสมาสู่ศาสนจักรแต่มาสู่พระคริสต์และพระกิตติคุณของพระองค์ การเปลี่ยนใจเลื่อมใสที่เอื้ออำนวยโดยศาสนจักร21 พระคัมภีร์มอรมอนแสดงออกได้ดีที่สุดเมื่อกล่าวว่าผู้คน “เปลี่ยนใจเลื่อมใสมาสู่พระเจ้า, และ เข้ามาในศาสนจักรของพระคริสต์.22 สอง เราต้องจำไว้ว่าในการเริ่มต้น ศาสนจักรเป็นครอบครัว และแม้ในยุคนี้ในฐานะสถาบันที่แยกกัน ครอบครัวและศาสนจักรต่างรับใช้และเสริมสร้างความแข็งแกร่งแก่กัน แต่ไม่อาจแทนที่กัน และแน่นอนศาสนจักรแม้ในสถานะที่ดีที่สุดก็ไม่อาจทดแทนบิดามารดาได้ ประเด็นสำคัญของการสอนพระกิตติคุณและศาสนพิธีฐานะปุโรหิตที่ศาสนจักรปฏิบัติคือ เพื่อให้ครอบครัวสามารถมีคุณสมบัติรับชีวิตนิรันดร์

เหตุผลสำคัญข้อสองที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงงานผ่านศาสนจักรของพระองค์ นั่นคือเพื่อบรรลุสิ่งจำเป็นที่ไม่อาจบรรลุได้โดยแต่ละคนหรือคนกลุ่มเล็กๆ ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือการจัดการกับความยากจน จริงอยู่ ในฐานะของบุคคลและครอบครัวเราดูแลความต้องการทางกายของคนอื่น “โดยที่ ให้กันและกันตามความจำเป็นของตนและตามความต้องการของตนทั้งฝ่ายโลกและฝ่ายวิญญาณ”23 แต่ความร่วมมือในศาสนจักร ทำให้ความสามารถในการดูแลคนยากจนและคนขัดสนขยายจนสนองความต้องการได้กว้างขวางขึ้น และความหวังในการพึ่งพาตนเองกลายเป็นจริงสำหรับคนหลายคน24 ยิ่งกว่านั้น โดยองค์การสมาคมสงเคราะห์ และโควรัมฐานะปุโรหิต ศาสนจักรมีศักยภาพที่จะจัดให้มีการสงเคราะห์ผู้คนมากมายหลายที่ซึ่งได้รับผลกระทบจากภัยธรรมชาติ สงครามและการข่มเหง

หากปราศจากความสามารถดังกล่าวของศาสนจักรของพระองค์ ย่อมไม่อาจทำให้พระพันธกิจของพระผู้ช่วยให้รอดนำพระกิตติคุณออกไปทั่วโลกได้25 จะไม่มีกุญแจอัครสาวก โครงสร้าง ช่องทางด้านการเงิน และการอุทิศตนและเสียสละของผู้สอนศาสนาหลายหมื่นคนที่ต้องใช้เพื่อดำเนินงาน จำไว้ว่า “จะ [ต้อง] มีการสั่งสอนพระกิตติคุณนี้ของอาณาจักรไปทั่วโลก, เพื่อเป็นพยานต่อประชาชาติทั้งปวง, และเมื่อนั้นการสิ้นสุดจะมาถึง.”26

ศาสนจักรสร้างและดำเนินงานพระวิหาร พระนิเวศน์ของพระเจ้า ซึ่งใช้ในการประกอบศาสนพิธีและทำพันธสัญญาที่สำคัญยิ่งได้ โจเซฟ สมิธกล่าวว่าจุดมุ่งหมายของพระผู้เป็นเจ้าในการรวบรวมผู้คนของพระองค์ไม่ว่ายุคใดคือ “เพื่อสร้างพระนิเวศน์แด่พระเจ้าซึ่งที่นั่นพระองค์ทรง [สามารถ] เปิดเผยแก่ผู้คนของพระองค์ถึงศาสนพิธีแห่งพระนิเวศน์ของพระองค์และรัศมีภาพแห่งอาณาจักรพระองค์ และทรงสอนผู้คนถึงหนทางสู่ความรอดเพราะมีศาสนพิธีและหลักธรรมบางอย่างซึ่งเมื่อสอนและปฏิบัติจะต้องทำในสถานที่หรือพระนิเวศน์ที่สร้างขึ้นมาเพื่อจุดประสงค์นั้น”27

ถ้ามีคนเชื่อว่าถนนทุกสายนำไปสู่สวรรค์หรือเชื่อว่าไม่มีข้อกำหนดใดๆ เฉพาะอย่างเพื่อความรอด คนคนนั้นย่อมเห็นว่าไม่จำเป็นต้องมีการประกาศพระกิตติคุณหรือมีศาสนพิธีและพันธสัญญาในการไถ่ทั้งคนเป็นและคนตาย แต่เราไม่ได้พูดถึงความเป็นอมตะเท่านั้นแต่พูดถึงชีวิตนิรันดร์ด้วย และเพื่อสิ่งนั้นวิถีพระกิตติคุณและพันธสัญญาพระกิตติคุณสำคัญอย่างยิ่ง และพระผู้ช่วยให้รอดต้องมีศาสนจักรเพื่อให้สิ่งเหล่านั้นพร้อมสำหรับบุตรธิดาของพระผู้เป็นเจ้าทุกคน—ทั้งคนเป็นและคนตาย

เหตุผลข้อสุดท้ายข้าพเจ้าจะกล่าวถึงพระเจ้าที่ทรงสถาปนาศาสนจักรของพระองค์ซึ่งเป็นเหตุผลพิเศษสุด—คือเหนือสิ่งอื่นใด ศาสนจักรคืออาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าบนแผ่นดินโลก

ขณะที่ศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายอยู่ระหว่างการสถาปนาในทศวรรษที่ 1830 พระเจ้าตรัสกับศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธว่า “จงรื่นเริงใจและชื่นชมยินดีเถิด, เพราะเจ้าได้รับอาณาจักร, หรืออีกนัย หนึ่งกุญแจของศาสนจักรแล้ว.”28 ในสิทธิอำนาจของกุญแจเหล่านี้ เจ้าหน้าที่ฐานะปุโรหิตของศาสนจักรปกปักรักษาความบริสุทธิ์ของหลักคำสอนของพระผู้ช่วยให้รอดและความสมบูรณ์ของศาสนพิธีแห่งความรอด29 พวกเขาช่วยเตรียมผู้ที่ปรารถนาจะรับสิ่งเหล่านั้น วินิจฉัยความมีคุณสมบัติและความมีค่าควรของผู้ยื่นขอและประกอบศาสนพิธีให้

ด้วยกุญแจของอาณาจักร ผู้รับใช้ของพระเจ้าสามารถระบุทั้งความจริงและความเท็จ และกล่าวอีกครั้งอย่างมีสิทธิอำนาจว่า “พระเจ้าตรัสเช่นนั้น” น่าเสียดาย ที่บางคนไม่พอใจศาสนจักรเพราะพวกเขาต้องการกำหนดความจริงของตนเอง แต่ในความเป็นจริงนี่คือพรอันล้ำเลิศที่จะได้รับ “ความรู้ถึงสิ่งทั้งหลายดังที่เป็นอยู่ [จริง] และดังที่เป็นมาและดังที่จะเป็น”30 ตราบเท่าที่พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ที่จะเปิดเผย ศาสนจักรปกป้องและพิมพ์เผยแพร่การเปิดเผยของพระผู้เป็นเจ้า---สารบบพระคัมภีร์

เมื่อดาเนียลทำนายพระสุบินของเนบูคัดเนสซาร์กษัตริย์บาบิโลน ท่านทำให้กษัตริย์ทรงทราบว่า “สิ่งซึ่งจะเกิดขึ้นในยุคสุดท้าย”31 ท่านประกาศว่า “พระเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์จะทรงสถาปนาราชอาณาจักรหนึ่ง ซึ่งไม่มีวันถูกทำลาย หรือถูกมอบให้ชนชาติอื่น ราชอาณาจักรนั้นจะทำให้ราชอาณาจักรเหล่านี้ทั้งหมดแตกเป็นชิ้นๆ จนพินาศไป และราชอาณาจักรนั้นจะตั้งมั่นอยู่เป็นนิตย์”32 ศาสนจักรคืออาณาจักรยุคสุดท้ายที่พยากรณ์ไว้นั้นซึ่งมิได้สร้างโดยมนุษย์ แต่จัดตั้งขึ้นโดยพระผู้เป็นเจ้าแห่งฟ้าสวรรค์และกลิ้งออกมาดังก้อนหินที่ “ถูกตัดออกจากภูเขา ไม่ใช่ด้วยมือมนุษย์” เพื่อจะเต็มแผ่นดินโลก33

เป้าหมายของอาณาจักรคือการสถาปนาไซอันเพื่อเตรียมรับการเสด็จกลับมาและการปกครองหนึ่งพันปีของพระเยซูคริสต์ ก่อนวันนั้นไซอันจะไม่เป็นอาณาจักรในสำนึกด้านการเมือง—ดังที่พระผู้ช่วยให้รอดตรัสไว้ “ราชอำนาจของเราไม่ได้เป็นของ โลกนี้34 แต่เป็นขุมพลังแห่งสิทธิอำนาจในแผ่นดินโลก เป็นผู้บริหารแห่งพันธสัญญาศักดิ์สิทธิ์ เป็นนักการแห่งพระวิหาร เป็นผู้พิทักษ์และผู้ประกาศความจริงของพระองค์ เป็นสถานที่รวมพลของอิสราเอลที่กระจายไป และเป็น “เพื่อการคุ้มภัย และเพื่อเป็นที่พักพิงจากพายุ และจากพระพิโรธเมื่อจะเทลงมาโดยมิได้เจือจางบนทั้งผืนแผ่นดินโลก”35

ท้ายสุดนี้ข้าพเจ้าขอยกคำวิงวอนและคำสวดอ้อนวอนของศาสดาพยากรณ์:

“จงเรียกหาพระเจ้า, เพื่ออาณาจักรของพระองค์จะออกไปบนแผ่นดินโลก, เพื่อผู้อยู่อาศัยในนั้นจะได้รับมัน, และพร้อมสำหรับวันเวลาที่จะมาถึง, ซึ่งในเวลานั้นบุตรแห่งพระมหาบุรุษจะเสด็จลงมาในสวรรค์, ทรงห่อหุ้มด้วยความเจิดจ้าแห่งรัศมีภาพของพระองค์, เพื่อพบอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าซึ่งจัดตั้งอยู่บนแผ่นดินโลก.

“ดังนั้น, ขอให้อาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าออกไป, เพื่ออาณาจักรแห่งสวรรค์จะมา, เพื่อพระองค์, โอ้พระผู้เป็นเจ้า, จะทรงได้รับการสรรเสริญในสวรรค์เช่นเดียวกับบนแผ่นดินโลก, เพื่อศัตรูของพระองค์จะถูกกำราบ; เพราะพระเกียรติ, เดชานุภาพและรัศมีภาพเป็นของพระองค์, ตลอดกาลและตลอดไป”36

ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน