2010–2019
และนี่แหละคือชีวิตนิรันดร์
เมษายน 2017


และนี่แหละคือชีวิตนิรันดร์

พระผู้เป็นเจ้าทรงรู้จักท่านและทรงเชื้อเชิญท่านให้รู้จักพระองค์

ข้าพเจ้าพูดกับท่าน อนุชนรุ่นหลัง—เยาวชนและคนหนุ่มสาว โสดหรือแต่งงานแล้ว—ท่านซึ่งเป็นผู้นำในอนาคตของศาสนจักรของพระเจ้าแห่งนี้ เนื่องจากความชั่วร้าย ความยุ่งเหยิง ความกลัว และความสับสนในโลกทุกวันนี้ ข้าพเจ้าพูดกับท่านด้วยความชัดเจนเกี่ยวกับความสง่างามและพรของการรู้จักพระผู้เป็นเจ้า

พระเยซูคริสต์ทรงสอนความจริงหลายประการซึ่งอธิบายแผนแห่งความสุขของพระบิดาบนสวรรค์และที่ของท่านในแผนนั้น ข้าพเจ้าจะมุ่งเน้นความจริงสองข้อที่จะช่วยให้ท่านเข้าใจ อัตลักษณ์ ของท่านในฐานะลูกพระผู้เป็นเจ้าและรู้ จุดประสงค์ ของท่านในชีวิตนี้

ข้อที่หนึ่ง “พระเจ้าทรงรักโลกดังนี้ คือได้ประทานพระบุตรองค์เดียวของพระองค์ เพื่อทุกคนที่วางใจในพระบุตรนั้นจะไม่พินาศ แต่มีชีวิตนิรันดร์”1

ข้อที่สอง “และนี่แหละคือชีวิตนิรันดร์ คือการที่พวกเขารู้จักพระองค์ ผู้ทรงเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว และรู้จักพระเยซูคริสต์ที่พระองค์ทรงใช้มา”2

ขอให้จดจำความจริงเหล่านี้ไว้ในใจ—ซึ่งสอนถึง สาเหตุขณะที่ข้าพเจ้ามุ่งอธิบาย วิธี ที่ท่านและเราทุกคนจะรู้จักพระเจ้า

รู้จักพระองค์ผ่านการสวดอ้อนวอน

เพื่อนวัยเยาว์ของข้าพเจ้า เราจะเริ่มรู้จักพระผู้เป็นเจ้าผ่านการสวดอ้อนวอน

ในวันที่ 7 เมษายน ปี 1829 ออลิเวอร์ คาวเดอรี อายุ 22 ปี เริ่มทำงานเป็นผู้จดคำแปลให้โจเซฟ สมิธซึ่งอายุ 23 ปี พวกเขาอายุน้อย—เหมือนท่าน ออลิเวอร์ทูลขอการยืนยันจากพระผู้เป็นเจ้าเกี่ยวกับการฟื้นฟูและงานของเขาในนั้น เขาได้รับการเปิดเผยต่อไปนี้เป็นคำตอบ

“ดูเถิด, เจ้ารู้ว่า เจ้าสอบถามเรา และเราได้ทำให้ความนึกคิดของเจ้าสว่าง. …

“แท้จริงแล้ว, เราบอกเจ้า, เพื่อเจ้าจะรู้ว่า ไม่มีใครอีกเลยนอกจากพระผู้เป็นเจ้าที่ทรงรู้ความนึกคิดเจ้าและเจตนาของใจเจ้า. …

“… หากเจ้าปรารถนาพยานอีก, จงหวนระลึกถึงคืนที่เจ้าร้องหาเราในใจเจ้า. …

“เรามิได้พูดให้ความสงบแก่จิตใจเจ้าหรือ … ? เจ้าจะมีพยานใดดีไปกว่าจากพระผู้เป็นเจ้าเล่า?”3

เมื่อ ท่าน สวดอ้อนวอนด้วยศรัทธา ท่านจะรู้สึกถึงความรักของพระผู้เป็นเจ้าเมื่อพระวิญญาณของพระองค์ตรัสกับจิตวิญญาณ ท่าน ไม่ว่าท่านอาจจะรู้สึกโดดเดี่ยวหรือไม่แน่ใจในบางครั้ง ท่านไม่ได้อยู่คนเดียวในโลกนี้ พระผู้เป็นเจ้าทรงรู้จัก ท่าน เป็นการส่วนตัว เมื่อท่านสวดอ้อนวอน ท่านจะรู้จัก พระองค์

รู้จักพระองค์ผ่านการศึกษาพระคัมภีร์

เมื่อท่านศึกษาพระคัมภีร์ ท่านไม่เพียงเรียนรู้ เกี่ยวกับ พระผู้ช่วยให้รอด แต่ท่านจะ รู้จัก พระผู้ช่วยให้รอดจริง ๆ

ในเดือนเมษายน ปี 1985 เอ็ลเดอร์บรูซ อาร์. แมคคองกีพูดในการประชุมใหญ่สามัญ—เพียง 13 วันก่อนท่านถึงแก่กรรม ท่านสรุปด้วยประจักษ์พยานดังนี้

“ข้าพเจ้าเป็นพยานคนหนึ่งของพระองค์ และในวันที่พระองค์เสด็จมาข้าพเจ้าจะได้สัมผัสรอยตะปูในพระหัตถ์และพระบาทและจะชโลมพระบาทของพระองค์ด้วยน้ำตาข้าพเจ้า

“แต่ข้าพเจ้าคงไม่ รู้ ดีไปกว่าเวลานี้ว่าพระองค์ทรงเป็นพระบุตรผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดและพระผู้ไถ่ ความรอดนี้เข้ามาและโดยผ่านพระโลหิตที่ทรงหลั่งเพื่อการชดใช้ มิใช่ทางอื่น”4

พวกเราที่ได้ยินเอ็ลเดอร์แมคคองกีพูดวันนั้นไม่เคยลืมว่าเรารู้สึกอย่างไร เมื่อท่านเริ่มพูด ท่านเผยว่า เหตุใด พยานของท่านจึงมีพลังอย่างมาก ท่านกล่าวดังนี้

“ในการพูดถึงสิ่งมหัศจรรย์ทั้งหลายเหล่านี้ ข้าพเจ้าจะใช้คำพูดของตนเอง แม้ท่านอาจจะคิดว่าเป็นถ้อยคำจากพระคัมภีร์ …

“จริงอยู่คนอื่นๆ อาจเคยกล่าวไว้แล้ว แต่ เวลานี้ นี่คือถ้อยคำของข้าพเจ้า เพราะพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้าตรัสคำพยานต่อข้าพเจ้าว่าถ้อยคำเหล่านั้นเป็นความจริง และราวกับว่าพระเจ้าทรงเปิดเผยสิ่งเหล่านั้นกับข้าพเจ้าเป็นคนแรก ด้วยเหตุนี้ ข้าพเจ้าจึง ได้ยิน สุรเสียงของพระองค์และ รู้ พระคำของพระองค์”5

เมื่อท่านศึกษาและไตร่ตรองพระคัมภีร์ ท่านจะได้ยินสุรเสียงของพระผู้เป็นเจ้า รู้พระคำของพระองค์และมารู้จักพระองค์เช่นกัน พระผู้เป็นเจ้าจะทรงเปิดเผยความจริงนิรันดร์แก่ท่านเป็นการส่วนตัว หลักคำสอนและหลักธรรมเหล่านี้จะเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ท่านเป็นและจะออกมาจากจิตวิญญาณท่าน

นอกจากการศึกษาส่วนตัว การศึกษาพระคัมภีร์เป็นครอบครัวเป็นสิ่งสำคัญ

ในบ้านเรา เราต้องการให้ลูกของเราฝึกจำสุรเสียงของพระวิญญาณ เราเชื่อว่าจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อเราศึกษาพระคัมภีร์มอรมอนแต่ละวันเป็นครอบครัว ประจักษ์พยานของเราเข้มแข็งขึ้นเมื่อเราพูดเกี่ยวกับความจริงอันศักดิ์สิทธิ์

การศึกษาพระคัมภีร์เป็นช่องทางให้พระวิญญาณประทานการสอนที่กำหนดไว้เป็นพิเศษสำหรับเราแต่ละคน เมื่อท่านศึกษาพระคัมภีร์ในแต่ละวัน คนเดียวและกับครอบครัว ท่าน จะเรียนรู้การจดจำสุรเสียงของพระวิญญาณและจะรู้จักพระผู้เป็นเจ้า

รู้จักพระองค์โดยทำตามพระประสงค์ของพระองค์

นอกจากการสวดอ้อนวอนและการศึกษาพระคัมภีร์ เราต้องทำตามพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า

พระผู้ช่วยให้รอดทรงเป็นแบบอย่างที่ดีพร้อมให้แก่เรา พระองค์ตรัสว่า “เพราะว่าเราลงมาจากสวรรค์ ไม่ใช่เพื่อทำตามความประสงค์ของเราเอง แต่เพื่อทำตามพระประสงค์ของผู้ทรงใช้เรามา”6

เมื่อพระผู้ช่วยให้รอดผู้ทรงฟื้นคืนพระชนม์ทรงปรากฏต่อชาวนีไฟ พระองค์ตรัสว่า “และดูเถิด, เราเป็นแสงสว่างและเป็นชีวิตของโลก; และเราดื่มแล้วจากถ้วยอันขมขื่นซึ่งพระบิดาประทานให้เรา, และถวายสรรเสริญพระบิดาโดยรับเอาบาปของโลกมาไว้บนเรา, ซึ่งในการนี้เรายอมตาม พระประสงค์ ของพระบิดา ในสิ่งทั้งปวง นับจากกาลเริ่มต้น.”7

ท่านและข้าพเจ้า ทำตามพระประสงค์ของพระบิดาโดยให้เกียรติพันธสัญญาของเรา รักษาพระบัญญัติ รับใช้พระผู้เป็นเจ้าและเพื่อนมนุษย์ของเรา

ข้าพเจ้ากับรอนดา ภรรยาข้าพเจ้ามีพ่อแม่เป็นคนธรรมดา—น่าจะเหมือนกับพ่อแม่ของพวกท่าน แต่สิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้ารักเกี่ยวกับพ่อแม่ของเราคือพวกท่านอุทิศชีวิตรับใช้พระผู้เป็นเจ้า และสอนเราให้ทำเช่นเดียวกัน

เมื่อพ่อแม่รอนดาแต่งงานได้เพียงสองปี คุณพ่อซึ่งอายุ 23 ปีได้รับเรียกให้รับใช้เป็นผู้สอนศาสนาเต็มเวลา ท่านจากภรรยาสาวและลูกสาวอายุ 2 ขวบของท่าน จากนั้นภรรยาของท่านได้รับเรียกให้รับใช้กับท่านในช่วงเจ็ดเดือนสุดท้ายของงานเผยแผ่—โดยทิ้งลูกสาวไว้ให้ญาติดูแล

ไม่กี่ปีหลังจากนั้น พวกท่านมีลูก สี่ คน พวกท่านย้ายไปมิสซูลา รัฐมอนแทนา เพื่อที่พ่อของเธอจะเรียนต่อในมหาวิทยาลัย แต่พวกท่านอยู่ที่นั่นได้ไม่กี่เดือนเท่านั้นเมื่อประธานสเป็นเซอร์ ดับเบิลยู. คิมบัลล์และเอ็ลเดอร์ มาร์ค อี. พีเตอร์เซ็นมอบการเรียกให้พ่อตาข้าพเจ้าเป็นประธานคนแรกของสเตคมิสซูลาที่เพิ่งจัดตั้งใหม่ ท่านอายุเพียง 34 ปี ความคิดเรื่องมหาวิทยาลัยละไว้ก่อน เมื่อท่านมุ่งทำตามพระประสงค์ ของพระเจ้า—ไม่ใช่ตามความต้องการของตนเอง

พ่อแม่ ข้าพเจ้า รับใช้ในพระวิหารมานานกว่า 30 ปี—พ่อเป็นผู้ผนึกและแม่เป็นเจ้าหน้าที่ด้านศาสนพิธี พวกท่านรับใช้งานเผยแผ่เต็มเวลาห้าครั้งด้วยกัน—ในริเวอร์ไซด์ แคลิฟอร์เนีย อูลานบาตอร์ มองโกเลีย ไนโรบี เคนยา พระวิหารนอวู อิลลินอยส์ และพระวิหารมอนเทอรี เม็กซิโก ในเม็กซิโก พวกท่านทำงานหนักเพื่อเรียนรู้ภาษาใหม่ ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายขณะอายุ 80 แต่พวกท่านมุ่งทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าแทนที่จะทำตามความปรารถนาของตนเองในชีวิต

ถึงท่านเหล่านั้นและวิสุทธิชนยุคสุดท้ายผู้อุทิศตนทุกท่านทั่วโลก ข้าพเจ้าขอยกพระดำรัสที่พระเจ้าตรัสกับศาสดาพยากรณ์นีไฟ บุตรชายของฮีลามันมากล่าวกับท่านว่า “เจ้าจงเป็นสุขเถิด, … เพราะสิ่งเหล่านั้นที่เจ้าทำไป … โดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย … [เพราะเจ้า] ไม่ได้แสวงหาเพื่อชีวิตเจ้า, แต่แสวงหาความประสงค์ของเรา, และเพื่อรักษาบัญญัติของเรา.”8

เมื่อ เรา มุ่งทำตามพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าโดยรับใช้พระองค์และเพื่อนมนุษย์ของเราอย่างซื่อสัตย์ เราจะรู้สึกถึงการยอมรับจากพระองค์และรู้จักพระองค์อย่างแท้จริง

รู้จักพระองค์โดยเป็นเหมือนพระองค์

พระผู้ช่วยให้รอดทรงบอกเราว่าวิธีที่ดีที่สุดในการรู้จักพระผู้เป็นเจ้าคือเป็น เหมือน พระองค์ พระองค์ทรงสอนว่า “ฉะนั้น, เจ้าควรเป็นคนอย่างไรเล่า ? ตามจริงแล้วเรากล่าวแก่เจ้า, แม้ดังที่เราเป็น.”9

ค่าควรเป็นสิ่งจำเป็นในการเป็นเหมือนพระองค์ พระองค์ทรงบัญชาให้เรา “ชำระตนเองให้บริสุทธิ์; แท้จริงแล้ว, ทำให้ใจของเจ้าบริสุทธิ์, และชำระมือเจ้า … เพื่อเราจะทำให้เจ้าสะอาด”10 ในการเริ่มต้นบนหนทางสู่การเป็นเหมือนพระองค์ เรากลับใจและรับการให้อภัยจากพระองค์ และพระองค์ทรงชำระจิตวิญญาณของเรา

เพื่อช่วยเราขณะที่เราก้าวหน้าไปสู่พระบิดา พระเจ้าประทานสัญญานี้แก่เรา “จิตวิญญาณทุกดวงที่ละทิ้งบาปของตนและมาหาเรา, และเรียกหานามของเรา, และเชื่อฟังเสียงของเรา, และรักษาบัญญัติของเรา, จะเห็นหน้าเราและ รู้ ว่าเราดำรงอยู่”11

โดยผ่านศรัทธาที่เรามีต่อการพลีพระชนม์ชีพเพื่อการชดใช้ของพระองค์ พระผู้ช่วยให้รอดทรงชำระเรา ทรงรักษาเราและทำให้เรา รู้จัก พระองค์โดยช่วยให้เราเป็น เหมือน พระองค์ มอรมอนสอนว่า “จงสวดอ้อนวอนพระบิดาจนสุดพลังของใจ, … เพื่อท่านจะกลับกลายเป็นบุตร [และธิดา] ของพระผู้เป็นเจ้า; เพื่อว่าเมื่อพระองค์จะเสด็จมาปรากฏเราจะเป็น เหมือน พระองค์”12 เมื่อเราพากเพียรเพื่อเป็นเหมือนพระองค์ พระองค์จะทรงทำให้เรามากกว่าที่เราจะทำได้ด้วยตนเอง

รู้จักพระองค์โดยทำตามครูพี่เลี้ยง

ขณะที่เราพากเพียร พระผู้เป็นเจ้าจะทรงช่วยเราโดยประทานแบบอย่างและครูพี่เลี้ยงแก่เรา ข้าพเจ้าอยากแบ่งปันความรู้สึกเกี่ยวกับแบบอย่างหรือครูพี่เลี้ยงคนหนึ่งของข้าพเจ้า เอ็ลเดอร์นีล เอ. แม็กซ์เวลล์ ท่านแสวงหาอยู่เสมอเพื่อให้ความประสงค์ของท่านเป็นไปตามพระประสงค์ของพระบิดาในความพยายามเป็นเหมือนพระผู้เป็นเจ้า

เมื่อ 20 กว่าปีมาแล้ว ท่านแบ่งปันความรู้สึกของท่านกับข้าพเจ้าหลังจากแพทย์วินิจฉัยว่าท่านเป็นมะเร็ง ท่านบอกข้าพเจ้าว่า “ผมอยากอยู่ในทีม ฝั่งนี้ [ของม่าน] หรือฝั่งนั้น ผมไม่อยากนั่งอยู่ข้างสนาม ผมอยากเล่นในการแข่งขัน”13

ตลอดสองสามสัปดาห์หลังจากนั้น ท่านลังเลที่จะทูลขอพระผู้เป็นเจ้าให้รักษาท่าน ท่านเพียงต้องการทำตามพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า คอลลีน ภรรยาท่านชี้ให้เห็นว่าพระดำรัสแรกของพระเยซูในสวนเกทเสมนีคือ “ถ้าเป็นได้ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์เถิด” หลังจากนั้นพระผู้ช่วยให้รอดตรัสว่า “แต่อย่างไรก็ดี อย่าให้เป็นไปตามใจปรารถนาของข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตาม พระทัยของพระองค์14 เธอกระตุ้นเอ็ลเดอร์แม็กซ์เวลล์ให้ทำตามแบบอย่างของพระผู้ช่วยให้รอด เพื่อทูลขอการบรรเทาทุกข์และ จากนั้น ท่านยอมให้ความประสงค์ของท่านเป็นไปตามพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งท่านก็ทำเช่นนั้น15

หลังจากอดทนผ่านการรักษาอันหนักหน่วงเกือบหนึ่งปี ท่านกลับเข้ามา “ในการแข่งขัน” อย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ท่านรับใช้อีกเจ็ดปี

ข้าพเจ้ามีงานมอบหมายหลายงานกับท่านในช่วงหลายปีหลังจากนั้น ข้าพเจ้ารู้สึกถึงความเมตตา ความสงสาร และความรักของท่าน ข้าพเจ้าประจักษ์ถึงการขัดเกลาทางวิญญาณที่เพิ่มพูนขึ้นผ่านการทนทุกข์และการรับใช้อันต่อเนื่อง ขณะที่ท่านพากเพียรเพื่อเป็นเหมือนพระผู้ช่วยให้รอด

แบบอย่างและครูพี่เลี้ยง สูงสุด ที่เราทุกคนมีคือพระเจ้าและพระผู้ช่วยให้รอดของเรา พระเยซูคริสต์ ผู้ตรัสว่า “เราเป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต ไม่มีใครมาถึงพระบิดาได้นอกจากจะมาทางเรา”16 “จงตามเรามา”17

พี่น้องหนุ่มสาวของข้าพเจ้า การรู้จักพระเจ้าเป็นการแสวงหาทั้งชีวิต “และนี่แหละ คือ ชีวิตนิรันดร์ คือการที่ [เรา] รู้จักพระองค์ … พระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว และรู้จักพระเยซูคริสต์ที่ [พระบิดา] ทรงใช้มา”18

“เราจะไม่ก้าวต่อไปในอุดมการณ์อันสำคัญยิ่งเช่นนั้นหรือ ? … ความกล้าหาญ, [เพื่อนหนุ่มสาวของข้าพเจ้า]; และก้าวต่อไป, ต่อไปถึงชัยชนะ !”19

พระผู้เป็นเจ้าทรงรู้จัก ท่าน และทรงเชื้อเชิญ ท่าน ให้รู้จัก พระองค์ สวดอ้อนวอนพระบิดา ศึกษาพระคัมภีร์ มุ่งทำตามพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า พยายามเป็นเหมือนพระผู้ช่วยให้รอด และทำตามครูพี่เลี้ยงที่ชอบธรรม เมื่อท่านทำ ท่าน จะ รู้จัก พระผู้เป็นเจ้าและพระเยซูคริสต์ ท่านจะได้รับชีวิตนิรันดร์เป็นมรดก ทั้งหมดนี้เป็นคำเชื้อเชิญที่ข้าพเจ้ามอบให้ท่านในฐานะพยานพิเศษที่ได้รับแต่งตั้งของพระองค์ทั้งสอง พระองค์ทรงพระชนม์ พระองค์ทรงรักท่าน ข้าพเจ้าเป็นพยานดังนี้ ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน