2010–2019
​อาหาร​ดำรง​ชีวิต​ซึ่ง​ลง‍มา​จาก​สวรรค์
ตุลาคม 2017


​อาหาร​ดำรง​ชีวิต​ซึ่ง​ลง‍มา​จาก​สวรรค์

หากเราใฝ่หาที่จะอยู่ในพระคริสต์และให้พระคริสต์ทรงสถิตในเรา เมื่อนั้นสิ่งที่เราแสวงหาคือความบริสุทธิ์

วันรุ่งขึ้นหลังจากพระเยซูทรงเลี้ยงอาหารคน 5,000 คนในกาลิลีด้วย “ขนม‍ปัง​บาร์‌เลย์​ห้า​ก้อน​กับ​ปลา​สอง​ตัว”1 อย่างน่าอัศจรรย์ พระองค์ตรัสกับผู้คนอีกครั้งที่คาเปอรนาอุม พระผู้ช่วยให้รอดทรงรับรู้ว่ามีหลายคนไม่สนใจคำสอนของพระองค์เท่ากับการได้กินอิ่มอีกครั้ง2 ดังนั้นพระองค์จึงทรงพยายามทำให้พวกเขาตระหนักถึงคุณค่าที่สูงกว่ามากของ “อาหาร​ที่​คง‍ทน​อยู่​จน‍ถึง​ชีวิต​นิ‌รันดร์ ซึ่ง​บุตร‍มนุษย์​จะ​มอบ​ให้​กับ​พวก‍ท่าน”3 พระเยซูทรงประกาศว่า

“เราเป็นอาหารแห่งชีวิต

“บรรพบุรุษของพวกท่านได้กินมานาในถิ่นทุรกันดารแล้วก็ยังเสียชีวิต

“แต่นี่เป็นอาหารที่ลงมาจากสวรรค์เพื่อให้คนที่ได้กินแล้วไม่ตาย

“เรา​เป็น​อาหาร​ดำรง​ชีวิต​ซึ่ง​ลง‍มา​จาก​สวรรค์ ถ้า​ใคร​กิน​อาหาร​นี้ คน‍นั้น​จะ​มี​ชีวิต​นิ‌รันดร์ และ​อาหาร​ที่​เรา​จะ​ให้​เพื่อ​ชีวิต​ของ​โลก​นั้น​ก็​คือ​เลือด‍เนื้อ​ของ​เรา”4

ความหมายที่เป็นเจตนารมณ์ของพระผู้ช่วยให้รอดหายไปหมดสิ้นกับผู้ฟังที่เข้าใจพระดำรัสของพระองค์ตามตัวอักษรเท่านั้น โดยที่ตกใจกลัวกับความคิดนั้น พวกเขาสงสัยว่า “คน‍นี้​จะ​เอา​เนื้อ​ของ​เขา​ให้​เรา​กิน​ได้​อย่าง‍ไร?”5 พระเยซูทรงอธิบายเพิ่มเติมว่า

“เรา​บอก​ความ​จริง​กับ​ท่าน​ว่า ถ้า​ท่าน​ไม่‍ได้​กิน​เนื้อ​และ​ไม่‍ได้​ดื่ม​โลหิต​ของ​บุตร‍มนุษย์ ก็​จะ​ไม่‍มี​ชีวิต​ใน​ตัว​ท่าน

“คน​ที่​กิน​เนื้อ​และ​ดื่ม​โลหิต​ของ​เรา​จะ​มี​ชีวิต​นิ‌รันดร์ และ​เรา​จะ​ให้​คน​นั้น​เป็น​ขึ้น​มา​ใน​วัน‍สุด‍ท้าย

“เพราะ‍ว่า​เนื้อ​ของ​เรา​เป็น​อาหาร​แท้ และ​โลหิต​ของ​เรา​ก็​เป็น​เครื่อง‍ดื่ม​แท้”6

จากนั้นพระองค์ทรงอธิบายความหมายอันลึกซึ้งของอุปลักษณ์ดังกล่าว

“คน​ที่​กิน​เนื้อ​และ​ดื่ม​โลหิต​ของ​เรา คน‍นั้น​ก็​อยู่​ใน​เรา​และ​เรา​อยู่​ใน​เขา

“พระ‍บิดา​ผู้​ทรง​พระ‍ชนม์​อยู่​ทรง​ใช้​เรา​มา และ​เรา​มี​ชีวิต​เพราะ​พระ‍บิดา​อย่าง‍ไร คน​ที่​กิน​เรา​ก็​จะ​มี​ชีวิต​เพราะ​เรา​อย่าง‍นั้น”7

แต่คนที่ฟังพระองค์ก็ยังไม่เข้าใจว่าพระเยซูตรัสอะไร และ “หลายคนได้ยินอย่างนั้นก็พูดว่า คำสอนเรื่องนี้ยากนัก ใครจะรับได้? … [และ] ตั้ง‍แต่​นั้น​มา​สาวก​ของ​พระ‍องค์​หลาย​คน​ถด‍ถอย​ไม่​ติด‍ตาม​พระ‍องค์​ต่อ‍ไป​อีก”8

การรับประทานพระมังสาและการดื่มพระโลหิตของพระองค์เป็นวิธีที่ไม่ธรรมดาในการบอกว่าเราต้องนำพระผู้ช่วยให้รอดเข้ามาในชีวิตเราอย่างสมบูรณ์—เข้ามาในตัวตนของเรา—เพื่อเราจะเป็นหนึ่งเดียวกัน สิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร

อย่างแรกเลยเราต้องเข้าใจว่าในการถวายพลีบูชาเนื้อหนังและโลหิตของพระองค์ พระเยซูทรงชดใช้บาปของเราและเอาชนะความตาย ทั้งทางร่างกายและทางวิญญาณ9 จากนั้นจึงชัดเจนว่า เรารับส่วนพระมังสาของพระองค์และพระโลหิตของพระองค์เมื่อเรารับพลังและพรของการชดใช้จากพระองค์

หลักคำสอนของพระคริสต์บอกสิ่งที่เราต้องทำเพื่อจะรับพระคุณแห่งการชดใช้ นั่นคือการเชื่อและมีศรัทธาในพระคริสต์ กลับใจและรับบัพติศมา และรับพระวิญญาณบริสุทธิ์ “และเมื่อนั้นการปลดบาปของท่านจะมาถึงโดยไฟและโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์”10 นี่คือประตู ทางเข้าสู่พระคุณแห่งการชดใช้ของพระผู้ช่วยให้รอดและทางคับแคบและแคบซึ่งนำไปสู่อาณาจักรของพระองค์

“ดังนั้น, หากท่านจะมุ่งหน้า [ตามทางนั้น], ดื่มด่ำพระวจนะของพระคริสต์, และอดทนจนกว่าชีวิตจะหาไม่แล้ว, ดูเถิด, พระบิดาตรัสดังนี้ : เจ้าจะมีชีวิตนิรันดร์

“… ดูเถิด, นี่คือหลักคำสอนของพระคริสต์, และคือหลักคำสอนเดียวและแท้จริงของพระบิดา, และของพระบุตร, และของพระวิญญาณบริสุทธิ์, ซึ่งคือพระผู้เป็นเจ้าเดียว, ไม่มีที่สุด”11

การใช้สัญลักษณ์ของศีลระลึกแห่งพระกระยาหารของพระเจ้าช่างสวยงามน่าไตร่ตรอง ขนมปังและน้ำหมายถึงพระมังสาและพระโลหิตของพระองค์ผู้ทรงเป็นอาหารแห่งชีวิตและน้ำดำรงชีวิต12 เตือนสติเราอย่างสะเทือนใจถึงราคาที่พระองค์ทรงจ่ายเพื่อไถ่เรา เมื่อหักขนมปัง เราระลึกถึงพระมังสาที่ฉีกขาดของพระผู้ช่วยให้รอด เอ็ลเดอร์ดัลลิน เอช. โอ๊คส์เคยกล่าวไว้ว่า “เนื่องจากขนมปังถูกหักและฉีกออก แต่ละชิ้นจึงมีลักษณะไม่เหมือนกัน เช่นเดียวกับแต่ละบุคคลที่รับส่วนขนมปังนั้น เราทุกคนต้องกลับใจจากบาปที่แตกต่างกันไป เราทุกคนมีความต้องการแตกต่างกันไปเพื่อจะเสริมกำลังผ่านการชดใช้ของพระเจ้าพระเยซูคริสต์ ผู้ที่เราระลึกถึงในศาสนพิธีนี้”13 ขณะที่เราดื่มน้ำ เราคิดถึงโลหิตที่พระองค์ทรงหลั่งในเกทเสมนีและบนกางเขนและพลังอำนาจในการชำระให้บริสุืทธิ์ของโลหิตนั้น14 โดยที่รู้ว่า “ไม่มีสิ่งที่ไม่สะอาดจะเข้าไปในอาณาจักรของพระองค์ได้” เราจึงตกลงใจที่จะอยู่ท่ามกลาง “บรรดาผู้ที่ล้างอาภรณ์ของพวกเขาในเลือดของ [พระผู้ช่วยให้รอด], เพราะศรัทธาของพวกเขา, และการกลับใจจากบาปทั้งหมดของพวกเขา, และความซื่อสัตย์จนกว่าชีวิตจะหาไม่ของพวกเขา”15

ข้าพเจ้าพูดถึงการได้รับพระคุณแห่งการชดใช้ของพระผู้ช่วยให้รอดเพื่อนำบาปและคราบของบาปเหล่านั้นในตัวเราออกไป ในเชิงภาพพจน์ การรับประทานพระมังสาของพระองค์และการดื่มพระโลหิตของพระองค์มีความหมายและความสำคัญเพิ่มเติม นั่นคือการเปลี่ยนแปลงภายในด้วยคุณสมบัติและพระอุปนิสัยของพระคริสต์ ทิ้งความเป็นมนุษย์ปุถุชนและกลับเป็นวิสุทธิชน “โดยผ่านการชดใช้ของพระคริสต์พระเจ้า”16 เมื่อเรารับส่วนขนมปังและน้ำศีลระลึกในแต่ละสัปดาห์ เราจะได้รับประโยชน์ในการพิจารณาว่าเราต้องนำพระอุปนิสัยและรูปแบบพระชนม์ชีพที่ไร้บาปของพระองค์มาใช้ในชีวิตของเราและในตัวตนของเราอย่างเต็มที่และครบถ้วนอย่างไร พระเยซูไม่ทรงสามารถไถ่บาปให้ผู้อื่นได้เว้นแต่พระองค์เองจะปราศจากบาป เนื่องจากความยุติธรรมอ้างสิทธิ์พระองค์ไม่ได้ พระองค์จึงสามารถแทนที่เราด้วยพระองค์เองเพื่อสนองตอบความยุติธรรมแล้วจึงประทานพระเมตตา เมื่อเราระลึกถึงและให้เกียรติการพลีพระชนม์ชีพเพื่อการชดใช้ของพระองค์ เราควรคำนึงถึงพระชนม์ชีพที่ไร้บาปของพระองค์เช่นกัน

สิ่งนี้บ่งบอกถึงความจำเป็นสำหรับความพยายามอย่างใหญ่หลวงในส่วนของเรา เราจะพอใจในแบบที่เราเป็นอยู่นี้ไม่ได้แต่ต้องมุ่งไปข้างหน้าอย่างสม่ำเสมอสู่การ “​โต​เต็ม​ถึง​ขนาด​ความ​บริ‌บูรณ์​ของ​พระ‍คริสต์”17 เช่นเดียวกับบิดาของกษัตริย์ลาโมไนในพระคัมภีร์มอรมอน เราต้องเต็มใจละทิ้งบาปทั้งหมดของเรา18 และมุ่งให้ความสำคัญแก่สิ่งที่พระเจ้าทรงคาดหวังจากเราทั้งรายบุคคลและร่วมกัน

ไม่นานมานี้ เพื่อนคนหนึ่งเล่าให้ข้าพเจ้าฟังถึงประสบการณ์ที่เขามีขณะรับใช้เป็นประธานคณะเผยแผ่ เขาได้รับการผ่าตัดซึ่งต้องใช้เวลาพักฟื้นหลายสัปดาห์ ในช่วงพักฟื้น เขาอุทิศเวลาค้นคว้าพระคัมภีร์ บ่ายวันหนึ่งขณะที่เขาไตร่ตรองพระคำของพระผู้ช่วยให้รอดใน 3 นีไฟบทที่ 27 เขาเผลอหลับไป ต่อมาเขาเล่าให้ฟังว่า

“ผมฝันว่าผมได้เห็นทัศนียภาพทั้งหมดของชีวิตผมอย่างแจ่มแจ้ง ผมเห็นบาปของผม การเลือกที่ไม่ดี ช่วงเวลา … ที่ผมปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยความใจร้อน รวมถึงการละเว้นสิ่งดีๆ ที่ผมควรจะพูดหรือทำ … ผมเห็น [เรื่องย่อของ] ชีวิตผมอย่างครอบคลุมภายในเวลาสองสามนาที แต่ดูเหมือนนานกว่านั้นมาก ผมตื่นขึ้นมา ตกใจ และ … คุกเข่าลงข้างเตียงทันทีและเริ่มสวดอ้อนวอน วิงวอนขออภัย ทุ่มเทความรู้สึกจากใจอย่างที่ผมไม่เคยทำมาก่อน

“ก่อนความฝันนั้น ผมไม่รู้ว่าผมมีความจำเป็นที่จะต้องกลับใจมากขนาดนั้น โดยฉับพลันความผิดพลาดและความอ่อนแอของผมทำให้ผมเห็นอย่างชัดเจนว่าช่องว่างระหว่างบุคคลที่ผมเป็นกับความบริสุทธิ์และความดีของพระผู้เป็นเจ้านั้นดูเหมือนห่างกันเป็นล้านๆ กิโลเมตร เย็นวันนั้นในคำสวดอ้อนวอนของผม ผมแสดงความสำนึกคุณอย่างสุดซึ้งต่อพระบิดาบนสวรรค์และพระผู้ช่วยให้รอดด้วยสุดใจสำหรับสิ่งที่พระองค์ทรงทำให้ผมและสำหรับความสัมพันธ์ที่ผมยกย่องกับภรรยาและลูกๆ ขณะที่ผมคุกเข่าอยู่ผมรู้สึกถึงความรักและพระเมตตาของพระผู้เป็นเจ้าซึ่งสัมผัสได้อย่างชัดเจน แม้ผมจะรู้สึกไม่มีค่าควร …

“ผมบอกได้ว่าผมไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปนับจากวันนั้น … หัวใจผมเปลี่ยนไป … สิ่งที่ตามมาคือผมเสริมสร้างความเข้าใจความรู้สึกของผู้อื่นมากขึ้น โดยมีศักยภาพมากขึ้นที่จะรัก ร่วมกับความรู้สึกเร่งด่วนในการสั่งสอนพระกิตติคุณ … ผมสามารถเข้าใจข่าวสารแห่งศรัทธา ความหวัง และของประทานแห่งการกลับใจซึ่งอยู่ในพระคัมภีร์มอรมอนได้มากกว่าที่เคยเป็นมา”19

เป็นสิ่งสำคัญที่จะตระหนักว่าการเปิดเผยอันชัดแจ้งของชายแสนดีคนนี้ถึงบาปและความบกพร่องของเขาไม่ได้ทำให้เขาท้อแท้หรือนำเขาไปสู่ความสิ้นหวัง ใช่ เขารู้สึกตกใจและเสียใจ เขารู้สึกอย่างแรงกล้าว่าต้องกลับใจ เขาอ่อนน้อมถ่อมตนลงได้ แต่เขารู้สึกถึงความสำนึกคุณ สันติสุข และความหวัง—ความหวังอันแท้จริง—เพราะพระเยซูคริสต์ “อาหาร​ดำรง​ชีวิต​ซึ่ง​ลง‍มา​จาก​สวรรค์”20

เพื่อนข้าพเจ้าพูดถึงช่องว่างที่เขารับรู้ในความฝันระหว่างชีวิตของเขากับความบริสุทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้า ความบริสุทธิ์ เป็นคำที่ถูกต้อง การกินพระมังสาและดื่มพระโลหิตของพระคริสต์หมายถึงการดำเนินตามความบริสุทธิ์ พระผู้เป็นเจ้าทรงบัญชาว่า “พวกท่านจงเป็นคนบริสุทธิ์ เพราะเราเองบริสุทธิ์”21

เอโนคแนะนำเราว่า “จงสอนลูกหลานของเจ้า, ว่ามนุษย์ทั้งปวง, ทุกแห่งหน, ต้องกลับใจ, มิฉะนั้นพวกเขาจะไม่มีทางสืบทอดอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าเป็นมรดกได้เลย, เพราะสิ่งไม่สะอาดจะพำนักที่นั่นไม่ได้, หรือพำนักในที่ประทับของพระองค์ก็ไม่ได้; เพราะ, ในภาษาของอาดัม, มหาบุรุษแห่งความบริสุทธิ์คือพระนามของพระองค์, และพระนามของพระองค์เดียวที่ถือกำเนิดของพระองค์คือบุตรแห่งพระมหาบุรุษ, แม้พระเยซูคริสต์”22 สมัยข้าพเจ้ายังเด็ก ข้าพเจ้าเคยสงสัยว่าทำไมจึงมักจะมีผู้เรียกพระเยซูในพันธสัญญาใหม่ว่า (และแม้แต่ทรงเรียกพระองค์เองว่า) บุตรมนุษย์ในเมื่อที่จริงพระองค์คือบุตรของพระผู้เป็นเจ้า แต่ข้อความของเอโนคทำให้เห็นชัดเจนว่าที่จริงแล้วพระนามเหล่านี้คือการรับรองความศักดิ์สิทธิ์และความบริสุทธิ์ของพระองค์—พระองค์คือบุตรแห่งพระมหาบุรุษแห่งความบริสุทธิ์ พระผู้เป็นเจ้าพระบิดา

หากเราใฝ่หาที่จะอยู่ในพระคริสต์และให้พระคริสต์ทรงสถิตในเรา23 เมื่อนั้นสิ่งที่เราแสวงหาคือความบริสุทธิ์ ทั้งทางร่างกายและวิญญาณ24 เราแสวงหาสิ่งนั้นในพระวิหาร ซึ่งมีข้อความจารึกไว้ว่า “บริสุทธิ์แด่พระเจ้า” เราแสวงหาสิ่งนั้นในชีวิตแต่งงาน ครอบครัว และบ้านของเรา เราแสวงหาสิ่งนั้นในแต่ละสัปดาห์เมื่อเราปีติยินดีในวันบริสุทธิ์ของพระเจ้า25 เราแสวงหาสิ่งนั้นแม้ในรายละเอียดของการใช้ชีวิตประจำวัน เช่น คำพูด การแต่งกาย ความคิดของเรา ดังที่ประธานโธมัส เอส. มอนสันกล่าวไว้ว่า “เราเป็นผลผลิตของทุกสิ่งที่เราอ่าน ทุกสิ่งที่เราดู ทุกสิ่งที่เราฟังและทุกสิ่งที่เราคิด”26 เราแสวงหาความบริสุทธิ์เมื่อเราแบกกางเขนของเราทุกวัน27

ซิสเตอร์แครอล เอฟ. แมคคองกีกล่าวไว้ว่า “เรารู้จักการทดสอบ การล่อลวง และความยากลำบากมากมายที่สามารถดึงเราออกห่างจากทั้งหมดที่เป็นคุณธรรม และกล่าวขวัญกันว่าดีต่อพระพักตร์พระผู้เป็นเจ้าแต่ประสบการณ์มนุษย์ของเราเปิดโอกาสให้เราเลือกความบริสุทธิ์บ่อยครั้งเราต้องเสียสละเพื่อรักษาพันธสัญญาที่ชำระเราให้ศักดิ์สิทธิ์และทำให้เราบริสุทธิ์”28 และสำหรับสิ่งที่ “เราต้องเสียสละ” ข้าพเจ้าขอเสริมการรับใช้ที่เราให้

เรารู้ว่า “เมื่อ [เรา] อยู่ในการรับใช้เพื่อนมนุษย์ [ของเรา] [เรา] ก็อยู่ในการรับใช้พระผู้เป็นเจ้า [ของเรา] นั่นเอง.”29 พระเจ้าทรงเตือนเราว่าการรับใช้เช่นนั้นเป็นศูนย์กลางของพระชนม์ชีพและพระอุปนิสัยของพระองค์ “เพราะ​ว่า​บุตร​มนุษย์​ไม่‍ได้​มา​เพื่อ​รับ​การ​ปรน‌นิ‌บัติ แต่​มา​เพื่อ​จะ​ปรน‌นิ‌บัติ​คน​อื่น และ​ให้​ชีวิต​ของ​ท่าน​เป็น​ค่า‍ไถ่​คน​จำ‌นวน​มาก”30 ประธานแมเรียน จี. รอมนีย์อธิบายไว้อย่างชาญฉลาดว่า “การรับใช้ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องอดทนบนโลกนี้เพื่อจะได้สิทธิ์อยู่ในอาณาจักรซีเลสเชียล การรับใช้เป็นส่วนประกอบของการสร้างชีวิตอันสูงส่งในอาณาจักรซีเลสเชียล”31

เศคาริยาห์พยากรณ์ว่าในสมัยพันปีที่พระเจ้าทรงปกครอง แม้แต่กระดิ่งของม้าก็จะมีจารึกว่า “บริสุทธิ์แด่พระยาห์เวห์”32 ในทำนองเดียวกัน วิสุทธิชนผู้บุกเบิกในหุบเขาแห่งนี้ประทับตราสิ่งช่วยเตือนนั้น “บริสุทธิ์แด่พระเจ้า” ลงบนสิ่งธรรมดาสามัญตลอดจนสิ่งเหล่านั้นที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับธรรมเนียมปฏิบัติทางศาสนามากกว่า คำจารึกนี้มีอยู่บนถ้วยและถาดศีลระลึก และพิมพ์ไว้ในใบสำคัญการแต่งตั้งสาวกเจ็ดสิบและในสัญลักษณ์สมาคมสงเคราะห์ “บริสุทธิ์แด่พระเจ้า” ยังปรากฏบนหน้าต่างแสดงสินค้าของห้าง ZCMI สถาบันการค้าสหกรณ์แห่งไซอัน และยังพบได้บนหัวค้อนและบนกลอง “บริสุทธิ์แด่พระเจ้า” จารึกไว้บนลูกบิดเหล็กของประตูบ้านประธานบริคัม ยังก์ สิ่งอ้างอิงถึงความบริสุทธิ์เหล่านี้ในสถานที่ซึ่งไม่ธรรมดาหรือคาดไม่ถึงอาจดูเหมือนไม่เข้ากัน แต่สิ่งเหล่านี้บอกว่าเราต้องมุ่งเน้นที่ความบริสุทธิ์อย่างครอบคลุมและต่อเนื่องมากเพียงไร

ภาพ
ถ้วยศีลระลึก
ภาพ
ถาดศีลระลึก
ภาพ
หน้าต่างแสดงสินค้าห้าง ZCMI
ภาพ
ค้อน
ภาพ
กลอง
ภาพ
ลูกบิดประตู

การรับส่วนพระมังสาของพระผู้ช่วยให้รอดและการดื่มพระโลหิตของพระองค์หมายถึงการนำสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับอุปนิสัยเหมือนพระคริสต์ออกไปจากชีวิตเราและทำให้พระคุณลักษณะของพระองค์เป็นของเราเอง นี่คือความหมายที่มากกว่าการกลับใจ คือไม่เพียงหันไปจากบาปในอดีตเท่านั้นแต่ “ทุ่มเทใจและความตั้งใจให้พระผู้เป็นเจ้า”33 ต่อจากนี้ไปด้วย ดังที่เกิดขึ้นกับเพื่อนข้าพเจ้าในความฝันที่เป็นการเปิดเผยของเขา พระผู้เป็นเจ้าจะทรงแสดงให้เราเห็นข้อบกพร่องและความล้มเหลวของเรา แต่พระองค์จะทรงช่วยเราเปลี่ยนความอ่อนแอเป็นความเข้มแข็งเช่นกัน34 หากเราถามอย่างจริงใจว่า “ข้าพ‌เจ้า​ยัง​ขาด​อะไร​อีก​บ้าง?”35 พระองค์จะไม่ทรงปล่อยให้เราเดาคำตอบเอง แต่ด้วยความรักพระองค์จะทรงตอบเพื่อความสุขของเรา และพระองค์จะประทานความหวังให้เรา

สิ่งนี้เป็นความพยายามที่แรงกล้า และจะน่าหวาดหวั่นมากหากเราแสวงหาความบริสุทธิ์แต่เพียงลำพัง ความจริงอันเรืองโรจน์คือเราไม่โดดเดี่ยว เรามีความรักของพระผู้เป็นเจ้า พระคุณของพระคริสต์ การปลอบโยนและการนำทางของพระวิญญาณบริสุทธิ์ มิตรภาพและกำลังใจจากเพื่อนวิสุทธิชนในพระวรกายของพระคริสต์ ขอให้เราอย่าพึงพอใจในสภาพของตนเองขณะนี้ ขอให้เราอย่าท้อแท้ใจเช่นกัน ดังที่เพลงสวดบทหนึ่งซึ่งเรียบง่ายแต่ชวนครุ่นคิดกระตุ้นเรา

ขอจงบริสุทธิ์ โลกรุดดำเนินไป

ขอจงใช้เวลากับพระเยซูตามลำพัง

ท่านจะเป็นเหมือนพระองค์ โดยทำตามและเชื่อฟัง

มิตรสหายพร้อมพรั่งจะเห็นพระองค์ในท่าน36

ข้าพเจ้าแสดงประจักษ์พยานถึงพระเยซูคริสต์ “​อาหาร​ดำรง​ชีวิต​ซึ่ง​ลง‍มา​จาก​สวรรค์”37 และ “คน​ที่​กิน​เนื้อ​และ​ดื่ม​โลหิต [ของ​พระองค์] ​จะ​มี​ชีวิต​นิ‌รันดร์”38 ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน