2017
อยู่กับพระผู้เป็นเจ้าและสมานรอยร้าว
November 2017


อยู่กับพระผู้เป็นเจ้าและสมานรอยร้าว

พระคริสต์ทรงมีเดชานุภาพในการนำเราให้เป็นมิตรรักกับพระบิดาและเป็นมิตรรักของกันและกัน

เราจำเป็นต้องทำให้ความรู้และความเชื่อฟังของเราต่อพระบิดาบนสวรรค์ลึกซึ้งยิ่งขึ้น ความสัมพันธ์ของเรากับพระองค์เป็นนิรันดร์ เราเป็นบุตรธิดาผู้เป็นที่รักของพระองค์ และนั่นไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เราจะเต็มใจยอมรับพระดำรัสเชื้อเชิญให้เข้าใกล้พระองค์มากยิ่งขึ้นได้อย่างไร และทำให้ได้รับพรที่พระองค์ทรงปรารถนาจะประทานแก่เราในชีวิตนี้และในโลกที่จะมาถึง

พระเจ้าตรัสกับอิสราเอลสมัยโบราณและตรัสกับเราว่า “เราได้รักเจ้าด้วยความรักนิรันดร์ เพราะฉะนั้นเราจึงนำเจ้ามาด้วยความรักมั่นคง”1 ดังพระบิดาจะตรัสกับเราว่า “เจ้าอยู่กับเรา, และเรากับเจ้า; ฉะนั้นจงเดินกับเรา”2 เราวางใจพระองค์เพียงพอที่จะอยู่กับพระองค์และเดินกับพระองค์หรือไม่

เราอยู่บนโลกนี้เพื่อเรียนรู้และเติบโต การเรียนรู้และการเติบโตที่สำคัญที่สุดจะมาจากการเชื่อมสัมพันธ์ทางพันธสัญญาของเรากับพระบิดาบนสวรรค์และพระเยซูคริสต์ ความรู้เรื่องพระเจ้า ความรัก พลัง และความสามารถในการรับใช้มาจากความสัมพันธ์อันซื่อสัตย์ของเรากับพระองค์

“เราถูกผูกมัดโดยหน้าที่ให้เรียนรู้ทั้งหมดที่พระผู้เป็นเจ้าทรงเปิดเผยเกี่ยวกับพระองค์”3 เราต้องเข้าใจว่าพระผู้เป็นเจ้าพระบิดาทรงกำกับดูแลพระบุตรของพระองค์พระเยซูคริสต์ให้สร้างโลก เพื่อการเติบโตของเรา พระบิดาบนสวรรค์ทรงจ่ายข้อเรียกร้องของความยุติธรรม เพื่อความรอดของเรา และอำนาจฐานะปุโรหิตของพระบิดาและศาสนจักรที่แท้จริงของพระบุตรได้รับการฟื้นฟูพร้อมศาสนพิธีที่จำเป็น เพื่อพรของเรา ท่านรู้สึกได้ไหมว่าความรักอันลึกซึ้งกระจายผ่านการเตรียมของพระองค์เพื่อปีติและการเติบโตของเรา เราต้องรู้ว่าแผนแห่งความรอดของพระบิดาบนสวรรค์คือให้เราเชื่อฟังกฎและศาสนพิธีของพระกิตติคุณและได้รับชีวิตนิรันดร์ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นเหมือนพระผู้เป็นเจ้า4 นี่คือความสุขที่แท้จริงและยั่งยืนที่พระบิดาบนสวรรค์ทรงมอบให้เรา ไม่มีความสุขที่แท้จริงและยั่งยืนใดๆ อีก

ความท้าทายของเราสามารถดึงเราออกจากวิถีแห่งความสุขนี้ เราจะสูญเสียความสัมพันธ์ที่เราวางใจกับพระผู้เป็นเจ้าถ้าการทดลองผลักดันให้เราเขวแทนที่จะทำให้เราคุกเข่า

สองประโยคนี้ทำให้เราต้องประเมินลำดับความสำคัญของเรา

บางสิ่งสำคัญ บางสิ่งไม่สำคัญ

ส่วนน้อยยั่งยืน แต่ส่วนมากจะไม่ยั่งยืน5

พี่น้องสตรีทั้งหลาย อะไรสำคัญต่อท่าน อะไรยั่งยืนสำหรับท่าน สิ่งที่มีคุณค่ายั่งยืนต่อพระบิดาคือให้เราเรียนรู้จากพระองค์ อ่อนน้อมถ่อมตน และเติบโตในการเชื่อฟังพระองค์ผ่านประสบการณ์ทางโลก พระองค์ทรงต้องการให้เราเปลี่ยนความเห็นแก่ตัวเป็นการรับใช้ เปลี่ยนความกลัวเป็นศรัทธา เรื่องสำคัญที่ยั่งยืนเหล่านี้จะทดสอบเราถึงแก่นของเรา

เวลานี้ ด้วยขีดจำกัดในความเป็นมนุษย์ของเรา พระบิดาทรงขอให้เรารักเมื่อรักได้ยากที่สุด รับใช้เมื่อไม่สะดวกจะรับใช้ ให้อภัยเมื่อการให้อภัยบีบคั้นจิตใจเรา อย่างไร เราจะทำได้อย่างไร” เราขอความช่วยเหลือจากพระบิดาสวรรค์อย่างจริงใจในพระนามของพระบุตรและทำสิ่งต่างๆ ตามวิธีของพระองค์แทนที่จะทำตามใจเราอย่างจองหอง

ภาพ
เหยือกน้ำ

ดิฉันจำความจองหองของดิฉันได้เมื่อประธานเอสรา แทฟท์ เบ็นสันพูดถึงการชำระล้างภาชนะข้างในให้สะอาด6 ดิฉันนึกภาพตนเองเป็นเหยือกน้ำ ดิฉันจะเอากากความจองหองออกจากเหยือกของดิฉันอย่างไร การเลือกบังคับให้ตนเองนอบน้อมถ่อมตนและพยายามทำให้ตนเองรักผู้อื่นถือว่าไม่จริงใจและไร้ความหมาย และไม่ได้ผล บาปและความจองหองของเราทำให้เกิดรอยร้าว—หรือช่องว่าง—ระหว่างเรากับบ่อเกิดแห่งความรักทั้งมวล นั่นคือพระบิดาบนสวรรค์ของเรา

การชดใช้ของพระผู้ช่วยให้รอดเท่านั้นสามารถชำระเราให้สะอาดจากบาปและปิดช่องว่างหรือรอยร้าวนั้น

เราต้องการให้พระบิดาบนสวรรค์ทรงโอบเราไว้ในพระพาหุแห่งความรักและการนำทาง ด้วยเหตุนี้เราจึงให้พระประสงค์ของพระองค์มาก่อนและวิงวอนด้วยใจที่ชอกช้ำขอให้พระคริสต์ทรงเทน้ำสะอาดใส่เหยือกของเรา ตอนแรกน้ำอาจจะมาทีละหยด แต่เมื่อเราแสวงหา ขอ และเชื่อฟัง น้ำสะอาดจะมาอย่างมากมาย น้ำดำรงชีวิตนี้จะเริ่มเติมความรักของพระองค์ให้เราจนล้นเพื่อเราจะสามารถเอียงเหยือกของจิตวิญญาณเราและแบ่งน้ำให้คนที่กระหายการเยียวยา ความหวัง และการเป็นส่วนหนึ่ง เมื่อข้างในหยือกของเราสะอาด ความสัมพันธ์ทางโลกของเราจะเริ่มเยียวยา

การเสียสละความปรารถนาส่วนตัวของเราเรียกร้องให้เราจัดที่ว่างสำหรับแผนนิรันดร์ของพระผู้เป็นเจ้า พระผู้ช่วยให้รอดผู้ตรัสแทนพระบิดาทรงวิงวอนให้เรา “เข้ามาอยู่ใกล้เราและเราจะเข้ามาอยู่ใกล้เจ้า”7 การมาอยู่ใกล้พระบิดาหมายถึงการเรียนรู้ความจริงของพระองค์ผ่านพระคัมภีร์ ทำตามคำแนะนำของศาสดาพยากรณ์ และพยายามทำตามประสงค์ของพระองค์อย่างสมบูรณ์ยิ่งขึ้น

เราเข้าใจไหมว่าพระคริสต์ทรงมีเดชานุภาพในการนำเราให้เป็นมิตรรักกับพระบิดาและเป็นมิตรรักของกันและกัน พระองค์ทรงสามารถช่วยให้เราเข้าใจความสัมพันธ์โดยอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์

ครูปฐมวัยคนหนึ่งเล่าประสบการณ์ที่ส่งผลดีกับชั้นเรียนเด็กชายวัย 11 ขวบของเขาให้ดิฉันฟัง หนึ่งในนั้นดิฉันจะเรียกว่าจิมมี เขาเป็นคนเดียวที่ไม่ให้ความร่วมมือในชั้น วันอาทิตย์วันหนึ่ง ครูได้รับการดลใจให้วางบทเรียนไว้ก่อนและบอกว่าทำไมเขารักจิมมี เขาพูดถึงความซาบซึ้งใจและความเชื่อของเขาในเยาวชนชายคนนี้ จากนั้นเขาขอให้สมาชิกชั้นเรียนบอกสิ่งที่พวกเขาชื่นชอบในตัวจิมมี เมื่อสมาชิกชั้นเรียนบอกจิมมีทีละคนว่าทำไมเขาเป็นคนพิเศษ เด็กชายก้มหน้าและน้ำตาเริ่มไหลอาบแก้ม ครูคนนี้และชั้นเรียนสร้างสะพานเชื่อมใจที่ว้าเหว่ของจิมมี ความรักที่เรียบง่าย แสดงออกอย่างจริงใจ ให้ความหวังและคุณค่าแก่ผู้อื่น ดิฉันเรียกสิ่งนี้ว่า “การสมานรอยร้าวหรือช่องว่าง”

บางทีชีวิตเราในโลกก่อนมรรตัยอาจเป็นเหตุให้เราโหยหารักแท้ที่ยั่งยืนบนแผ่นดินโลกก็เป็นได้ พระองค์ทรงออกแบบให้เราเป็นผู้มอบความรักและรับความรัก และความรักลึกซึ้งที่สุดเกิดขึ้นเมื่อเราเป็นหนึ่งเดียวกับพระผู้เป็นเจ้า พระคัมภีร์มอรมอนเชื้อเชิญให้เรา “คืนดีกับ [พระผู้เป็นเจ้า] ผ่านการชดใช้ของพระคริสต์”8

อิสยาห์พูดถึงคนที่ดำเนินชีวิตตามกฎแห่งการอดอาหารอย่างซื่อสัตย์และด้วยเหตุนี้จึงกลายเป็นผู้ซ่อมกำแพงที่พังให้ลูกหลานของพวกเขา พวกเขาคือคนที่อิสยาห์สัญญาว่าจะสร้าง “สิ่งปรักหักพังโบราณ”9 ในทำนองเดียวกัน พระผู้ช่วยให้รอดทรงสมานรอยร้าว หรือระยะห่างระหว่างเรากับพระบิดาบนสวรรค์ พระองค์ทรงเปิดทางผ่านการพลีพระชนม์ชีพเพื่อการชดใช้ให้เราได้รับพลังแห่งความรักของพระผู้เป็นเจ้าแล้วเราจะสามารถซ่อม “สิ่งปรักหักพัง” ในชีวิตส่วนตัวของเราได้ การเยียวยาระยะห่างทางอารมณ์ระหว่างกันจะต้องใช้การยอมรับความรักของพระบิดาควบคู่กับการเสียสละความเห็นแก่ตัวและความขลาดกลัวตามธรรมชาติวิสัยของเรา

คืนที่น่าจดจำคืนหนึ่ง ดิฉันกับญาติเห็นต่างกันเรื่องประเด็นทางการเมือง เธอจ้องจับผิดความเห็นของดิฉัน โดยพิสูจน์ให้คนในครอบครัวได้ยินว่าดิฉันผิด ดิฉันรู้สึกโง่และตกข่าว—และน่าจะเป็นอย่างนั้น คืนนั้นขณะคุกเข่าสวดอ้อนวอน ดิฉันรีบอธิบายให้พระบิดาบนสวรรค์ฟังว่าญาติคนนี้ดื้อมาก! ดิฉันพูดไม่หยุด อาจเป็นได้ว่าดิฉันหยุดบ่น พระวิญญาณบริสุทธิ์จึงมีโอกาสได้ความสนใจจากดิฉัน เพราะดิฉันได้ยินตนเองพูดต่อจากนั้นว่า “พระองค์อาจจะต้องการให้ข้าพระองค์รักเธอ” รักหรือ ดิฉันสวดอ้อนวอนต่อไปในทำนองนี้ “ข้าพระองค์จะรักเธอได้อย่างไร ข้าพระองค์ไม่ชอบเธอเลยด้วยซ้ำ ข้าพระองค์ใจแข็งกระด้าง ข้าพระองค์รู้สึกเจ็บปวด ข้าพระองค์ทำไม่ได้”

จากนั้นด้วยความช่วยเหลือจากพระวิญญาณ ดิฉันมีความคิดใหม่ขณะทูลว่า “แต่พระองค์ทรงรักเธอ พระบิดาบนสวรรค์ ขอพระองค์ประทานความรักส่วนหนึ่งให้ข้าพระองค์ได้หรือไม่—เผื่อข้าพระองค์จะรักเธอได้” ความรู้สึกแข็งกระด้างอ่อนลง ใจของดิฉันเริ่มเปลี่ยน และดิฉันเริ่มมองเห็นคนนี้แตกต่างจากเดิม ดิฉันเริ่มรู้สึกถึงคุณค่าแท้จริงของเธอดังที่พระบิดาบนสวรรค์ทรงเห็น อิสยาห์เขียนว่า “พระยาห์เวห์ทรงพันรอยแผลชนชาติของพระองค์และรักษารอยช้ำของเขาที่พระองค์ทรงตีนั้น”10

ช่องว่างระหว่างเราแคบลงเรื่อยๆ แต่ถึงแม้เธอไม่ยอมรับใจที่เปลี่ยนแปลงของดิฉัน แต่ดิฉันเรียนรู้ว่าพระบิดาบนสวรรค์จะทรงช่วยให้เรารักได้แม้แต่คนที่เราอาจคิดว่าไม่น่ารักถ้าเราทูลขอความช่วยเหลือจากพระองค์ การชดใช้ของพระผู้ช่วยให้รอดเป็นช่องทางให้จิตกุศลไหลมาจากพระบิดาในสวรรค์ไม่ขาดสาย เราต้องเลือกที่จะอยู่กับความรักนี้เพื่อจะมีจิตกุศลให้คนทั้งปวง

เมื่อเราถวายใจเราแด่พระบิดาและพระบุตร เราเปลี่ยนโลกของเรา—แม้สภาวการณ์รอบข้างเราไม่เปลี่ยนแปลง เราเข้าใกล้พระบิดาบนสวรรค์มากขึ้นและรู้สึกว่าพระองค์ทรงยอมรับความพยายามของเราในการเป็นสานุศิษย์ที่แท้จริงของพระคริสต์ การเล็งเห็น ความเชื่อมั่น และศรัทธาของเราเพิ่มขึ้น

มอรมอนบอกให้เราสวดอ้อนวอนด้วยสุดพลังของใจเพื่อขอความรักนี้และพระบิดาบนสวรรค์ผู้ทรงเป็นบ่อเกิดของความรักจะทรงมอบให้เรา11 จากนั้นเราจึงสามารถเป็นผู้สมานรอยร้าวในความสัมพันธ์ทางโลก

ความรักอันไม่มีขอบเขตของพระบิดามาถึงเราเพื่อนำเรากลับเข้าไปในรัศมีภาพและปีติของพระองค์ พระองค์ประทานพระบุตรองค์เดียวที่ถือกำเนิดของพระองค์ พระเยซูคริสต์ มาสมานรอยร้าวที่ทำให้เกิดช่องว่างระหว่างเรากับพระองค์ การเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระบิดาในสวรรค์อีกครั้งเป็นแก่นแท้ของความรักอันยั่งยืนและจุดประสงค์นิรันดร์ เราต้องเชื่อมสัมพันธ์กับพระองค์เวลานี้เพื่อเรียนรู้ว่าอะไรสำคัญจริงๆ เพื่อรักดังที่พระองค์ทรงรักและเติบโตเพื่อจะเป็นเหมือนพระองค์ ดิฉันเป็นพยานว่าความสัมพันธ์อันซื่อสัตย์ของเรากับพระบิดาบนสวรรค์และพระผู้ช่วยให้รอดมีความสำคัญนิรันดร์ต่อพระองค์และต่อเรา ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน