2017
พยานอันทรงพลังของพระผู้เป็นเจ้า: พระคัมภีร์มอรมอน
November 2017


พยานอันทรงพลังของพระผู้เป็นเจ้า: พระคัมภีร์มอรมอน

พระคัมภีร์มอรมอนคือพยานอันทรงพลังของพระผู้เป็นเจ้าถึงความเป็นพระเจ้าของพระเยซูคริสต์ การเรียกโจเซฟ สมิธเป็นศาสดาพยากรณ์ และความจริงแท้แน่นอนของศาสนจักรนี้

พระคัมภีร์มอรมอนไม่เพียงเป็นศิลาหลักของศาสนาเราเท่านั้น แต่สามารถเป็นศิลาหลักของประจักษ์พยานเราด้วย ทั้งนี้เพื่อว่าเมื่อการทดลองหรือคำถามที่ไม่ได้รับคำตอบอยู่ตรงหน้าเรา พระคัมภีร์จะยึดประจักษ์พยานของเราให้มั่นคงปลอดภัยได้ หนังสือเล่มนี้มีน้ำหนักบนตาชั่งของความจริงมากกว่าน้ำหนักรวมกันทั้งหมดของข้อโต้แย้งจากผู้วิพากษ์วิจารณ์ เพราะเหตุใด เพราะถ้าหนังสือเล่มนี้จริง โจเซฟ สมิธก็เป็นศาสดาพยากรณ์และนี่คือศาสนจักรที่ได้รับการฟื้นฟูของพระเยซูคริสต์ โดยไม่ขึ้นอยู่กับข้อโต้แย้งใดๆ ทางประวัติศาสตร์หรือข้อโต้แย้งอื่นๆ ของปฏิปักษ์ด้วยเหตุผลนี้ ผู้วิพากษ์วิจารณ์มีเจตนาจะหักล้างพระคัมภีร์มอรมอน แต่พวกเขาเผชิญอุปสรรคมากมายเพราะพระคัมภีร์เล่มนี้จริง

อันดับแรก นักวิพากษ์วิจารณ์ต้องอธิบายว่า โจเซฟ สมิธ หนุ่มบ้านไร่อายุ 23 ปี มีการศึกษาจำกัด สร้างสรรค์หนังสือโดยมีชื่อคนและสถานที่แปลกๆ ไม่เหมือนใครเป็นหลายร้อยชื่อ พร้อมกับเรื่องราวและเหตุการณ์โดยละเอียดได้อย่างไร ดังนั้น นักวิพากษ์วิจารณ์หลายคนจึงเสนอว่าท่านเป็นอัจฉริยะที่มีความคิดสร้างสรรค์ผู้ที่ใช้หนังสือหลายเล่มและแหล่งช่วยอื่นๆ ในท้องที่เพื่อสร้างสรรค์เนื้อหาทางประวัติศาสตร์ของพระคัมภีร์มอรมอน แต่ก็ไม่เป็นไปตามข้ออ้างของพวกเขา ไม่มีพยานสักคนเดียวที่มาแสดงตนว่าเห็นโจเซฟกับแหล่งช่วยที่กล่าวอ้างเหล่านี้ก่อนจะมีการแปล

ถึงแม้ข้อโต้แย้งจะเป็นความจริง แต่ก็ยังไม่เพียงพอที่จะอธิบายถึงการมีอยู่จริงของพระคัมภีร์มอรมอน คนต้องตอบคำถามด้วยว่า โจเซฟอ่านแหล่งช่วยที่กล่าวอ้างทั้งหมดนี้ได้อย่างไร กรองเอาส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องออก รักษาข้อเท็จจริงให้ตรงกันว่าใครอยู่ที่ไหนและเมื่อใด จากนั้นบอกให้เขียนจากความทรงจำที่สมบูรณ์ เพราะเวลาที่โจเซฟ สมิธแปลเขาไม่มีสมุดจดใดๆ ทั้งสิ้น อันที่จริง เอ็มมาภรรยาของเขาเล่า “เขาไม่ได้อ่านจากต้นฉบับหรือหนังสือ … ถ้าเขามีอะไรแบบนั้น เขาซ่อนดิฉันไม่ได้หรอก”1

ดังนั้น โจเซฟบอกให้เขียนหนังสือ 500 กว่าหน้าอย่างเหลือเชื่อโดยไม่จดอะไรทั้งสิ้นได้อย่างไร ในการทำเช่นนี้ เขาต้องไม่เป็นเพียงอัจฉริยะที่มีความคิดสร้างสรรค์เท่านั้น แต่ต้องมีภาพจำตัวหนังสือในสัดส่วนอันมหาศาลด้วย แต่ถ้าเรื่องนั้นจริง ทำไมนักวิพากษ์วิจารณ์จึงไม่สร้างความสนใจให้พรสวรรค์ที่โดดเด่นนี้

แต่มีมากกว่านั้น ข้อโต้แย้งเหล่านี้อธิบายได้เฉพาะเนื้อหาทางประวัติศาสตร์ของหนังสือ แต่ปัญหาที่แท้จริงยังคงอยู่ นั่นคือ โจเซฟเขียนหนังสือที่ทำให้รู้สึกถึงพระวิญญาณได้อย่างไร และเขาไปหาหลักคำสอนอันลึกซึ้งเช่นนั้นมาจากไหน ซึ่งส่วนมากเป็นคำชี้แจงหรือขัดแย้งกับความเชื่อแบบชาวคริสต์ในสมัยของเขา

ตัวอย่างเช่น พระคัมภีร์มอรมอนสอนสิ่งที่ตรงข้ามกับความเชื่อของชาวคริสต์ส่วนใหญ่ว่าการตกของอาดัมเป็นก้าวสำคัญในการเดินหน้า พระคัมภีร์เปิดเผยถึงพันธสัญญาที่ทำเมื่อรับบัพติศมาซึ่งไม่ได้กล่าวไว้ในพระคัมภีร์ไบเบิล

นอกจากนี้อาจมีคนถามว่า โจเซฟได้แนวคิดอันทรงพลังมาจากไหน แนวคิดที่ว่าเพราะการชดใช้ของพระคริสต์ พระองค์ไม่เพียงชำระเราให้สะอาดเท่านั้น แต่ทรงทำให้เราดีพร้อมด้วย เขาไปได้โอวาทอันน่าทึ่งเรื่องศรัทธาใน แอลมา 32 มาจากไหน หรือคำเทศนาของกษัตริย์เบ็นจามินเรื่องการชดใช้ของพระผู้ช่วยให้รอด ซึ่งอาจเป็นคำเทศนาอันน่าจดจำที่สุดเกี่ยวกับหัวข้อนี้ในพระคัมภีร์ทั้งเล่ม หรืออุปมานิทัศน์เรื่องต้นมะกอกกับความซับซ้อนของเรื่องดังกล่าวและหลักคำสอนที่มากมาย เมื่อข้าพเจ้าอ่านอุปมานิทัศน์เรื่องนี้ ข้าพเจ้าต้องร่างแผนผังให้เข้าใจความสลับซับซ้อนของอุปมานิทัศน์ ตอนนี้เราควรจะเชื่อว่าโจเซฟ สมิธแค่บอกให้เขียนคำสอนเหล่านี้จากความคิดของเขาโดยไม่ได้จดอะไรไว้เลยหรือ

ตรงข้ามกับข้อสรุปเช่นนั้น ลายนิ้วพระหัตถ์ของพระผู้เป็นเจ้ามีอยู่ทั่วพระคัมภีร์มอรมอน เป็นเสมือนหลักฐานจากความจริงของหลักคำสอนอันสูงส่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งคำเทศนาอันเป็นเลิศเรื่องการชดใช้ของพระเยซูคริสต์

ถ้าโจเซฟไม่ใช่ศาสดาพยากรณ์ แต่เพื่อจะรับผิดชอบต่อข้อคิดทางหลักคำสอนที่โดดเด่นเหล่านี้และอื่นๆ อีกมากมาย นักวิพากษ์วิจารณ์จะต้องให้ข้อโต้แย้งว่าเขาเป็นอัจฉริยะทางด้านศาสนศาสตร์เช่นกัน แต่ถ้าเป็นเช่นนั้น อาจมีคนถามว่า ทำไมโจเซฟจึงเป็นเพียงคนเดียวในรอบ 1,800 ปีหลังจากการปฏิบัติศาสนกิจของพระคริสต์ที่นำเสนอหลักคำสอนพิเศษและแจ้งชัดเช่นนั้นได้อย่างกว้างขวาง เพราะนี่คือการเปิดเผย ไม่ใช่ความปราดเปรื่อง ซึ่งเป็นที่มาของหนังสือเล่มนี้

ต่อให้เราสมมติว่าโจเซฟเป็นอัจฉริยะทางศาสนาและมีความคิดสร้างสรรค์โดยมีภาพจำเป็นตัวหนังสือ—แต่พรสวรรค์เหล่านี้เพียงอย่างเดียวก็ไม่ได้ทำให้เขาเป็นนักเขียนที่เชี่ยวชาญ เพื่ออธิบายถึงการมีอยู่จริงของพระคัมภีร์มอรมอน นักวิพากษ์วิจารณ์จะต้องกล่าวว่าโจเซฟ เป็นนักประพันธ์ผู้มีพรสวรรค์โดยกำเนิดเมื่ออายุ 23 ปี หาไม่แล้วเขาจะนำชื่อ สถานที่ และเหตุการณ์ต่างๆ มาผสมผสานได้อย่างสอดคล้องต้องกันโดยไม่ลักลั่นได้อย่างไร เขาเขียนกลยุทธ์สงครามได้ละเอียดลออร้อยเรียงคำเทศนาอย่างมีวรรณศิลป์ และเขียนประโยคที่มีคนทำเครื่องหมายเน้นข้อความ ท่องจำ อ้างอิง และติดไว้บนประตูตู้เย็นของคนหลายล้านคน วลีเช่น “เมื่อท่านอยู่ในการรับใช้เพื่อนมนุษย์ของท่าน ท่านก็อยู่ในการรับใช้พระผู้เป็นเจ้าของท่านนั่นเอง” (โมไซยาห์ 2:17) หรือ “มนุษย์เป็นอยู่, เพื่อพวกเขาจะมีปีติ.” (2 นีไฟ 2:25) นี่คือข่าวสารอันทรงพลัง—ข่าวสารที่มีชีวิต มีลมหายใจ และให้การดลใจ การที่แนะนำว่าโจเซฟ สมิธในวัย 23 ปี มีทักษะที่จำเป็นในการเขียนงานอันน่าประทับใจนี้ในฉบับร่างเพียงฉบับเดียวโดยใช้เวลาประมาณ 65 วันทำการเป็นเรื่องที่ขัดกับความจริงของชีวิต

ประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสัน เป็นนักเขียนที่มีทักษะและประสบการณ์ ท่านเล่าว่าคำปราศรัยการประชุมใหญ่สามัญครั้งล่าสุด ท่านเขียนแล้วเขียนอีกมากกว่า 40 ครั้ง ตอนนี้เราควรเชื่อว่าโจเซฟ สมิธบอกด้วยตนเองให้จดพระคัมภีร์มอรมอนทั้งเล่มโดยร่างไว้แค่ฉบับเดียว เปลี่ยนแปลงเฉพาะหลักไวยากรณ์เพียงเล็กน้อยหลังจากนั้นหรือ

เอ็มมา ภรรยาของโจเซฟ ยืนยันความสำเร็จที่ไม่น่าเป็นไปได้นี้ว่า “โจเซฟ สมิธ [ขณะเป็นชายหนุ่ม] ไม่สามารถเขียนหรือบอกให้เขียนปะติดปะต่อกันด้วยถ้อยคำสละสลวยได้ นับประสาอะไรกับการบอกให้เขียนหนังสืออย่างพระคัมภีร์มอรมอน”2

ในที่สุด ถึงแม้จะมีคนยอมรับข้อโต้แย้งทั้งหมดที่กล่าวมาแล้ว อาจจะมีข้อสงสัยอยู่บ้าง แต่นักวิพากษ์วิจารณ์ยังต้องเผชิญกับอุปสรรคใหญ่หลวงอีกอย่างหนึ่ง โจเซฟอ้างว่าพระคัมภีร์มอรมอนเขียนบนแผ่นจารึกทองคำ คำกล่าวอ้างนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์ไม่หยุดหย่อนในสมัยของท่าน—เพราะ “ทุกคน” รู้ว่าประวัติศาสตร์โบราณเขียนบนแผ่นปาปิรุสหรือแผ่นหนังสัตว์ จนหลายปีต่อมา เมื่อมีการค้นพบงานเขียนโบราณบนแผ่นโลหะ นอกจากนี้ นักวิพากษ์วิจารณ์อ้างว่าการใช้ซีเมนต์ดังที่อธิบายในพระคัมภีร์มอรมอน เกินกว่าความเชี่ยวชาญในเชิงช่างของชาวอเมริกันในยุคต้น—จนกระทั่งมีการค้นพบอาคารที่ก่อสร้างด้วยซีเมนต์ในอเมริกาสมัยโบราณ นักวิพากษ์วิจารณ์ในปัจจุบันจะรับผิดชอบอย่างไรกับเรื่องเหล่านี้รวมทั้งการค้นพบอย่างไม่น่าเชื่อที่คล้ายคลึงกัน ท่านจะเห็นว่าโจเซฟต้องเป็นนักเดาที่โชคดีมากมาก อย่างไรก็ตามถึงแม้ทุกอย่างที่เขาพูดไม่น่าจะถูกต่อต้าน ตรงข้ามกับความรู้ทางวิทยาศาสตร์และวิชาการที่มีอยู่ แต่เขาเดาถูกในขณะที่คนอื่นทั้งหมดเดาผิด

ในที่สุด คนอาจจะสงสัยว่าบางคนเชื่อไปได้อย่างไรว่าปัจจัยและอิทธิพลต่างๆ ที่เสนอโดยนักวิพากษ์วิจารณ์ มารวมกันได้อย่างพอเหมาะในวิธีที่ช่วยให้โจเซฟสามารถเขียนพระคัมภีร์มอรมอนและยังช่วยส่งเสริมเล่ห์เหลี่ยมของซาตาน ทั้งหมดนี้สมเหตุสมผลได้อย่างไร เพื่อเป็นการตอบโต้โดยตรงกับข้อสันนิษฐานดังกล่าว หนังสือเล่มนี้ได้สร้างแรงบันดาลใจให้คนหลายล้านคนปฏิเสธซาตานและดำเนินชีวิตเหมือนพระคริสต์มากขึ้น

ขณะที่บางคนอาจเลือกเชื่อการให้เหตุผลของนักวิพากษ์วิจารณ์ แต่สำหรับข้าพเจ้า นั่นคือทางตันทางวิญญาณและเชาว์ปัญญา ในการเชื่อเช่นนั้น ข้าพเจ้าต้องยอมรับสมมติฐานที่พิสูจน์ไม่ได้ข้อแล้วข้อเล่า นอกจากนี้ข้าพเจ้ายังต้องไม่ใส่ใจประจักษ์พยานของพยาน 11 คนทุกคน3 ถึงแม้ว่าทุกคนจะยังคงแน่วแน่ต่อประจักษ์พยานของพวกเขาตราบวาระสุดท้ายของชีวิตข้าพเจ้าต้องปฏิเสธหลักคำสอนจากสวรรค์ที่มีอยู่หน้าแล้วหน้าเล่าของหนังสือศักดิ์สิทธิ์เล่มนี้ซึ่งมีความจริงอันสูงสุด ข้าพเจ้าต้องเพิกเฉยต่อข้อเท็จจริงที่ว่า มีฝูงชนรวมถึงตัวข้าพเจ้าได้เข้าใกล้กับพระผู้เป็นเจ้ามากขึ้นโดยการอ่านหนังสือเล่มนี้มากกว่าหนังสือเล่มอื่น เหนือสิ่งอื่นใดข้าพเจ้าต้องปฏิเสธเสียงกระซิบยืนยันของพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ นี่จะเป็นการขัดแย้งกับทุกสิ่งที่ข้าพเจ้ารู้ว่าจริง

เพื่อนที่ดีและฉลาดคนหนึ่งของข้าพเจ้าออกจากศาสนจักรไประยะหนึ่ง เมื่อเร็วๆ นี้เขาเขียนมาหาข้าพเจ้าเล่าถึงการกลับมา “ในตอนแรก ผมอยากให้มีการพิสูจน์พระคัมภีร์มอรมอนทางประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์ ภาษาศาสตร์ และวัฒนธรรม แต่เมื่อผมเปลี่ยนจุดสนใจไปยังสิ่งที่พระคัมภีร์สอนเกี่ยวกับพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์และพระพันธกิจที่ช่วยให้รอดของพระองค์ ผมเริ่มมีประจักษ์พยานถึงความจริงของพระคัมภีร์ วันหนึ่งขณะอ่านพระคัมภีร์มอรมอนในห้อง ผมหยุดอ่านและคุกเข่าสวดอ้อนวอนอย่างสุดใจ ผมรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าพระบิดาบนสวรรค์ทรงกระซิบต่อวิญญาณของผมว่าศาสนจักรและพระคัมภีร์มอรมอนจริงแท้แน่นอน ช่วงเวลาสามปีครึ่งที่ผมเรียนรู้เกี่ยวกับศาสนจักรอีกครั้งนำผมกลับมาสู่ความจริงโดยเชื่ออย่างสุดใจ”

ถ้าคนหนึ่งจะใช้เวลาอ่านและไตร่ตรองพระคัมภีร์มอรมอนอย่างอ่อนน้อมถ่อมตนเหมือนกับเพื่อนข้าพเจ้า และฟังสุรเสียงอันไพเราะของพระวิญญาณ เขาจะได้รับพยานที่ปรารถนาไว้ในที่สุด

พระคัมภีร์มอรมอนเป็นของประทานอันล้ำค่าของพระผู้เป็นเจ้าที่มีให้กับเรา พระคัมภีร์เป็นทั้งดาบและโล่—ส่งพระคำของพระผู้เป็นเจ้าออกไปสู้แทนใจของคนเที่ยงธรรมและรับใช้เป็นผู้อารักขาที่สำคัญที่สุดของความจริง ในฐานะวิสุทธิชน เราไม่เพียงมีสิทธิพิเศษในการอารักขาพระคัมภีร์มอรมอนเท่านั้น แต่เรามีโอกาสเป็นฝ่ายรุกเช่นกัน—คือการสั่งสอนด้วยพลังอำนาจถึงหลักคำสอนอันศักดิ์สิทธิ์และแสดงประจักษ์พยานถึงพยานอันสูงสุดของพระเยซูคริสต์

ข้าพเจ้าแสดงประจักษ์พยานอันศักดิ์สิทธิ์ว่าพระคัมภีร์มอรมอนแปลโดยของประทานและเดชานุภาพของพระผู้เป็นเจ้านี่คือพยานอันทรงพลังของพระผู้เป็นเจ้าถึงความเป็นพระเจ้าของพระเยซูคริสต์ การเรียกโจเซฟ สมิธเป็นศาสดาพยากรณ์ และความจริงแท้แน่นอนของศาสนจักรนี้ ขอให้พระคัมภีร์เป็นศิลาหลักแห่งประจักษ์พยานของเรา เพื่อที่พระคัมภีร์จะกล่าวถึงเราดังที่กล่าวถึงชาวเลมันผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสว่า พวกเขา “ไม่เคยตกเลย” (แอลมา 23:6) ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน

อ้างอิง

  1. Emma Smith, ใน “Last Testimony of Sister Emma,” Saints’ Herald, Oct. 1, 1879, 289, 290.

  2. Emma Smith, in “Last Testimony of Sister Emma,” 290.

  3. ดู “ประจักษ์พยานของพยานสามคน” และ “ประจักษ์พยานของพยานแปดคน,” พระคัมภีร์มอรมอน.