2017
องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอให้นัยน์ตาของข้าพระองค์ทั้งสองหายบอด
November 2017


องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอให้นัยน์ตาของข้าพระองค์หายบอด

เราต้องมองผู้อื่นโดยผ่านสายพระเนตรของพระผู้ช่วยให้รอดของเรา

เดอะไลอ้อนคิง เป็นภาพยนต์อนิเมชั่นอมตะเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับทุ่งหญ้าสะวันนาในแอฟริกา เมื่อราชาสิงโตสิ้นชีวิตขณะเข้าช่วยเหลือลูกชาย เจ้าชายสิงโตตัวน้อยถูกบังคับให้หนีไปขณะที่ผู้ปกครองเผด็จการทำลายความสมดุลของทุ่งหญ้าสะวันนา เจ้าชายสิงโตกลับไปทวงอาณาจักรคืนด้วยความช่วยเหลือของครูพี่เลี้ยง ดวงตาของเขาเปิดไปสู่ความจำเป็นของความสมดุลในวงจรชีวิตอันยิ่งใหญ่แห่งทุ่งหญ้าสะวันนา โดยอ้างสิทธิ์อันชอบธรรมของการเป็นราชา สิงโตหนุ่มทำตามคำแนะนำให้ “มองไกลกว่าที่เห็น”1

ขณะที่เราเรียนรู้ที่จะเป็นผู้รับมรดกของทุกสิ่งที่พระบิดาทรงมี ครูพี่เลี้ยงพระกิตติคุณแนะนำให้เรามองไกลกว่าที่เห็น เพื่อจะมองไกลกว่าที่เห็น เราต้องมองผู้อื่นโดยผ่านสายพระเนตรของพระผู้ช่วยให้รอดของเรา เครือข่ายพระกิตติคุณเต็มไปด้วยผู้คนที่ล้วนมีความหลากหลาย เราไม่สามารถเข้าใจอย่างถ่องแท้ถึงตัวเลือกและพื้นเพทางจิตวิทยาของผู้คนในโลก ในที่ประชุมของศาสนจักร หรือแม้แต่ในครอบครัวของเรา เพราะเราแทบมองไม่เห็นภาพรวมว่าพวกเขาเป็นใคร เราต้องมองข้ามสมมติฐานแบบง่ายๆ หรือการมองแบบเหมารวมและขยายเลนส์กระจิริดที่เป็นประสบการณ์ของตัวเราเอง

ดวงตาข้าพเจ้าเปิดไปสู่การ “มองไกลกว่าที่ข้าพเจ้าเห็น” ขณะข้าพเจ้ารับใช้เป็นประธานคณะเผยแผ่ เมื่อเอ็ลเดอร์หนุ่มคนหนึ่งมาถึงพร้อมกับความหวาดหวั่นในดวงตาของเขา เมื่อเราสนทนากันระหว่างการสัมภาษณ์ เขากล่าวอย่างหมดอาลัยว่า “ผมอยากกลับบ้าน” ข้าพเจ้านึกในใจ “เราแก้ไขปัญหานี้ได้” ข้าพเจ้าแนะนำให้เขาขยันทำงานและสวดอ้อนวอนเกี่ยวกับเรื่องนี้เป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์แล้วค่อยโทรมาหาข้าพเจ้า สัปดาห์ต่อมา แทบจะเป็นเวลาเดียวกัน เขาโทรมา เขายังต้องการจะกลับบ้าน ข้าพเจ้าแนะนำเขาอีกครั้งให้สวดอ้อนวอน ขยันทำงาน แล้วอีกหนึ่งสัปดาห์ค่อยโทรมา ในการสัมภาษณ์ของเราครั้งต่อมา ยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เขายืนกรานว่าจะกลับบ้าน

ข้าพเจ้าจะไม่ยอมให้สิ่งนั้นเกิดขึ้น ข้าพเจ้าเริ่มสอนเขาเกี่ยวกับลักษณะอันศักดิ์สิทธิ์ของการเรียกของเขา ข้าพเจ้าให้กำลังใจเขาให้ “ลืม [นึกถึงตนเอง] และออกไปทำงาน”2 แต่ไม่ว่าข้าพเจ้าจะนำเสนอสูตรใดก็ไม่สามารถเปลี่ยนใจเขาได้ ในที่สุดข้าพเจ้าตระหนักว่า ข้าพเจ้าอาจไม่มีภาพรวมทั้งหมด ขณะนั้นข้าพเจ้ารู้สึกถึงการกระตุ้นเตือนให้ถามเขาว่า “เอ็ลเดอร์ ความยากลำบากของคุณคืออะไร” คำพูดของเขาเสียดแทงใจข้าพเจ้า “ประธานครับ ผมอ่านหนังสือไม่ออก”

คำแนะนำอันชาญฉลาดที่ข้าพเจ้าคิดว่าสำคัญมากที่เขาควรได้ยินไม่เกี่ยวข้องกับความจำเป็นของเขาเลย สิ่งที่เขาต้องการที่สุดคือให้ข้าพเจ้ามองข้ามการประเมินอันฉาบฉวยและยอมให้พระวิญญาณทรงช่วยข้าพเจ้าเข้าใจความคิดของเอ็ลเดอร์คนนี้อย่างแท้จริง เขาต้องการให้ข้าพเจ้ามองเขาอย่างถูกต้องและเสนอเหตุผลที่ให้ความหวัง แต่ในทางกลับกัน ข้าพเจ้ากลับทำตัวเหมือนลูกตุ้มยักษ์ที่พร้อมจะถล่ม เอ็ลเดอร์ผู้องอาจคนนี้หัดอ่านหนังสือ และกลายเป็นสานุศิษย์ที่แท้จริงของพระเยซูคริสต์ เขาเปิดตาข้าพเจ้าไปสู่พระคำของพระเจ้าที่ว่า “เพราะมนุษย์ดูที่รูปร่างภายนอก แต่พระยาเวห์ทอดพระเนตรที่จิตใจ” (1 ซามูเอล 16:7)

ช่างเป็นพรอย่างยิ่งเมื่อพระวิญญาณของพระเจ้าทรงขยายกว้างทรรศนะของเรา ท่านจำศาสดาพยากรณ์เอลีชาที่ตื่นขึ้นมาพบว่ากองทัพของซีเรียกำลังล้อมเมืองของเขาพร้อมด้วยม้าและรถรบได้ไหม ผู้รับใช้ของท่านหวาดหวั่นและถามเอลีชาว่าพวกเขาควรทำอะไรเพื่อจะสู้ตาย เอลีชาบอกพวกเขาไม่ให้วิตก ด้วยคำพูดอันน่าจดจำว่า “อย่ากลัวเลย เพราะฝ่ายเรามีมากกว่าฝ่ายเขา” (2 พงศ์กษัตริย์ 6:16) ผู้รับใช้ของเขาไม่รู้เลยว่าศาสดาพยากรณ์กำลังพูดถึงอะไร เขาไม่สามารถมองไกลกว่าที่เห็น อย่างไรก็ตาม เอลีชาเห็นไพร่พลของเหล่าทูตสวรรค์ที่พร้อมรบเพื่อผู้คนของศาสดาพยากรณ์ เอลีชาจึงสวดอ้อนวอนพระเจ้าเพื่อให้ทรงเปิดตาชายหนุ่มคนนั้น “และเขาก็มองและเห็นภูเขาเต็มไปด้วยม้า และรถรบเพลิงรอบเอลีชา” (2 พงศ์กษัตริย์ 6:17).

ภาพ
เอลีชากับกองทัพสวรรค์

เรามักจะแยกตัวเราเองออกจากผู้อื่นเพราะความแตกต่างในสิ่งที่เรามองเห็น เรารู้สึกอุ่นใจเมื่ออยู่กับคนที่คิด พูด แต่งกาย และกระทำเหมือนกับที่เราทำ เรารู้สึกอึดอัดเมื่ออยู่กับคนที่มาจากสภาวการณ์หรือพื้นเพที่ต่างออกไป ในความเป็นจริง เราทุกคนมาจากประเทศที่แตกต่าง และพูดภาษาที่แตกต่างกันมิใช่หรือ เราต่างมองโลกผ่านข้อจำกัดอันมโหฬารจากประสบการณ์ชีวิตของเราเองมิใช่หรือ สำหรับบางคนสามารถมองและพูดด้วยสายตาทางวิญญาณดังเช่นศาสดาพยากรณ์เอลีชา และบางคนทำได้แค่มองและสื่อสารด้วยสายตาทางโลกเหมือนกับที่ข้าพเจ้าเคยมองผู้สอนศาสนาที่ไม่รู้หนังสือ

เราอยู่ในโลกที่ถูกปรนเปรอด้วยการเปรียบเทียบ การตราหน้า และการวิพากษ์วิจารณ์ แทนที่จะมองผ่านเลนส์ของสื่อสังคมออนไลน์ เราต้องมองเข้าไปข้างในเพื่อดูคุณลักษณะของพระผู้เป็นเจ้าที่เราแต่ละคนอ้างได้ คุณลักษณะของพระผู้เป็นเจ้าหรือความปรารถนาที่จะเป็นเช่นนั้น ไม่สามารถโพสต์ในพินเทอเรสต์หรืออินสตาแกรมได้

เมื่อเรายอมรับหรือรักผู้อื่น ไม่ได้แปลว่าเราต้องน้อมรับความคิดของพวกเขา แน่นอนว่า ความจริงบัญญัติความจงรักภักดีสูงสุดของเรา แต่สิ่งนี้ไม่ควรเป็นเครื่องกีดขวางความเมตตากรุณา การรักผู้อื่นอย่างแท้จริงเรียกร้องการปฏิบัติอย่างต่อเนื่องในการยอมรับความพยายามสุดความสามารถของผู้อื่น ซึ่งพวกเขาอาจมีประสบการณ์ชีวิตและข้อจำกัดที่เราไม่อาจรู้ได้อย่างถ่องแท้ การมองไกลกว่าที่เห็นเรียกร้องการเพ่งมองไปที่พระผู้ช่วยให้รอด

ภาพ
รถจักรยานยนต์วิบาก

วันที่ 28 พฤษภาคม ปี 2016 โบ ริชชี อายุ 16 ปีและออสติน เพื่อนของเขาอยู่ที่ไร่ของครอบครัวในโคโลราโด โบกับออสตินปีนขึ้นไปบนรถจักรยานยนต์วิบากของพวกเขาด้วยความมุ่งหวังถึงการผจญภัยในวันนั้น พวกเขาไปได้ไม่ไกลนักเมื่อพวกเขาเผชิญกับสถานการณ์เสี่ยงภัย อันนำมาซึ่งเหตุสลดใจ รถคันที่โบกำลังขี่อยู่พลิกคว่ำอย่างกะทันหัน เหวี่ยงร่างของโบเข้าไปอยู่ใต้กองเหล็กกล้าหนัก 180 กิโลกรัม เมื่อออสติน เพื่อนของโบมาถึง เขาเห็นว่าโบกำลังดิ้นรนเอาชีวิตรอด ด้วยกำลังทั้งหมดที่มี เขาพยายามดึงรถออกจากเพื่อนของเขา แต่มันไม่ขยับเขยื้อน เขาสวดอ้อนวอนให้โบ และลนลานไปขอความช่วยเหลือ ในที่สุดเจ้าหน้าที่กู้ภัยมาถึง แต่ไม่กี่ชั่วโมงต่อมาโบเสียชีวิต เขาได้รับการปลดปล่อยจากชีวิตมรรตัย

พ่อแม่ที่ใจสลายของเขามาถึง ขณะพวกเขายืนอยู่ในโรงพยาบาลเล็กๆ พร้อมกับเพื่อนรักที่สุดของโบและครอบครัว เจ้าหน้าที่ตำรวจคนหนึ่งเข้ามาในห้องและยื่นโทรศัพท์มือถือของโบให้แม่ของเขา ขณะเธอถือโทรศัพท์ไว้ เสียงปลุกดังขึ้น เธอเปิดโทรศัพท์และเห็นว่าเป็นเสียงปลุกประจำวันของโบ เธออ่านออกเสียงข้อความของลูกชายซึ่งรักความสนุกสนานและเป็นวัยรุ่นที่ชอบผจญภัยอย่างมาก เขาตั้งข้อความไว้อ่านทุกวัน ข้อความอ่านว่า “จำไว้ว่า จงให้พระเยซูคริสต์เป็นศูนย์กลางชีวิตคุณวันนี้”

การที่โบจดจ่ออยู่กับพระผู้ไถ่ของเขาไม่ได้คลายความเศร้าของคนที่เขารัก แต่ก็ให้ความหวังและความหมายที่ยิ่งใหญ่ต่อครอบครัวของโบและการเลือกในชีวิต ทั้งยังช่วยให้ครอบครัวและเพื่อนของเขามองข้ามความโศกเศร้าของความตายก่อนวัยอันควรไปยังความจริงอันน่าปีติยินดีของชีวิตหน้า นี่เป็นพระเมตตาอันละเอียดอ่อนสำหรับพ่อแม่ของโบ ที่จะมองผ่านสายตาของลูกชาย ไปยังสิ่งที่เขาให้คุณค่ามากที่สุด

ในฐานะสมาชิกของศาสนจักร เราได้รับของขวัญที่มีเสียงปลุกทางวิญญาณซึ่งเตือนเราเมื่อเรากำลังมองด้วยสายตาของความเป็นมรรตัยที่ไกลห่างจากความรอด ศีลระลึกเป็นเครื่องเตือนใจเราทุกสัปดาห์ให้ใจเรามุ่งไปที่พระเยซูคริสต์เสมอ เพื่อเราจะระลึกถึงพระองค์ตลอดเวลาและจะมีพระวิญญาณของพระองค์อยู่กับเราตลอดเวลา (ดู คพ. 20:77) แต่บางครั้งเราละเลยความรู้สึกถึงเครื่องเตือนใจและเสียงปลุกนี้ เมื่อเรามีพระเยซูคริสต์เป็นศูนย์กลางชีวิตเรา พระองค์จะทรงทำให้ดวงตาเราเปิดสู่ความเป็นไปได้ที่กว้างกว่าเราจะทำได้เพียงลำพัง

ข้าพเจ้าได้รับจดหมายที่น่าสนใจมากๆ จากสตรีที่ซื่อสัตย์ท่านหนึ่งเกี่ยวกับประสบการณ์จากเสียงปลุกเพื่อป้องกัน เธอเล่าว่าด้วยความตั้งใจที่จะช่วยให้สามีของเธอเข้าใจว่าเธอรู้สึกอย่างไร เธอเริ่มบันทึกรายการในโทรศัพท์ของเธอถึงสิ่งที่เขาทำหรือพูดให้เธอขุ่นเคือง เธอให้เหตุผลว่า เมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม เธอจะรวบรวมสิ่งที่เธอจดไว้ทั้งหมดไปให้เขาดูเพื่อจะทำให้เขาต้องการเปลี่ยนแปลงตัวเอง อย่างไรก็ตาม ในวันอาทิตย์หนึ่งขณะเธอกำลังรับส่วนศีลระลึกด้วยใจที่มุ่งไปยังการชดใช้ของพระผู้ช่วยให้รอด เธอตระหนักว่าการบันทึกความรู้สึกด้านลบเกี่ยวกับสามีของเธอเป็นการผลักดันพระวิญญาณให้ออกไปจากเธอและจะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงเขาได้

เสียงปลุกทางวิญญาณดังขึ้นในใจของเธอว่า “ปล่อยเขาเถิด ปล่อยเขาเถิด ลบบันทึกนั้น สิ่งเหล่านี้ไม่ช่วยอะไร” จากนั้นเธอเขียนต่อดังนี้: “ดิฉันใช้เวลาพักใหญ่ในการกด ‘เลือกทั้งหมด’ และใช้เวลานานกว่าในการกด ‘ลบ’” แต่เมื่อดิฉันทำเช่นนั้น ความรู้สึกด้านลบหายไปจนหมดสิ้น หัวใจของดิฉันเปี่ยมด้วยความรัก—ความรักที่มีต่อสามีและความรักที่มีต่อพระเจ้า เช่นเดียวกับเซาโลบนถนนสู่ดามัสกัส เธอทำให้วิสัยทัศน์ของเธอเปลี่ยน สะเก็ดแห่งการบิดเบือนหลุดจากดวงตาเธอ

บ่อยครั้ง พระผู้ช่วยให้รอดของเราทรงเปิดตาของผู้ที่ตาบอดทั้งทางโลกและทางวิญญาณ การเปิดตาของเราไปยังความจริงจากสวรรค์ ทั้งทำจริงตามตัวอักษรและภาพพจน์ ต่างเตรียมเราให้พร้อมที่จะหายจากอาการสายตาสั้นทางโลก เมื่อเราใส่ใจ “เสียงปลุก” ทางวิญญาณที่ส่งสัญญาณให้มีการแก้ไขหรือขยายมุมมองนิรันดร์ให้กว้างขึ้น เรารับสัญญาจากการรับส่วนศีลระลึกเพื่อให้มีพระวิญญาณของพระองค์อยู่กับเรา สิ่งนี้เกิดขึ้นกับโจเซฟ สมิธและออลิเวอร์ คาวเดอรีในพระวิหารเคิร์ทแลนด์เมื่อความจริงอันจับใจสอนโดยพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงให้สัญญาว่า “ม่าน” แห่งข้อจำกัดในความเป็นมรรตัยจะถูก “นำออกไปจากจิตใจ[พวกเขา], และทรงเปิดดวงตาแห่งความเข้าใจ[ของพวกเขา]” (ค.พ.110:1).

ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าโดยผ่านเดชานุภาพของพระเยซูคริสต์ เราจะสามารถมองทางวิญญาณได้ไกลเกินกว่าสิ่งที่เรามองเห็นจริงๆเมื่อเราระลึกถึงพระองค์และมีพระวิญญาณของพระองค์อยู่กับเรา ดวงตาแห่งความเข้าใจของเราจะเปิดออก จากนั้นความจริงอันยิ่งใหญ่แห่งความเป็นพระเจ้าในตัวเราทุกคนจะประทับบนใจเราอย่างมีพลังมากกว่าเดิม ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน