2017
สงครามดำเนินต่อไป
เมษายน 2017


สงครามดำเนินต่อไป

สงครามที่เริ่มต้นในสวรรค์ดำเนินต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้ อันที่จริง การสู้รบดุเดือดขึ้นขณะที่วิสุทธิชนเตรียมรับการเสด็จกลับของพระผู้ช่วยให้รอด

ภาพ
clouds

ภาพถ่ายโดย คาทารินา สตีฟาโนวิค © iStock/Getty Images; Moment/Getty Images

ใครที่ติดตามข่าวต่างประเทศจะเห็นพ้องว่าเราอยู่ในเวลาของ “สงครามและข่าวลือเรื่องสงคราม” (คพ. 45:26) โชคดีที่ทุกคนบนแผ่นดินโลกเป็นทหารผ่านศึก เราสู้รบกับไพร่พลของความชั่วร้ายในสงครามต่อเนื่องที่เริ่มต้นในโลกก่อนมรรตัยก่อนเราเกิด

เพราะเรายังไม่ได้รับร่างกาย เราจึงทำสงครามในสวรรค์โดยไม่มีดาบ ปืน หรือระเบิด แต่การต่อสู้รุนแรงเท่ากับสงครามปัจจุบัน และมีผู้บาดเจ็บล้มตายหลายพันล้าน

สงครามก่อนมรรตัยต่อสู้ด้วยคำพูด แนวคิด การถกเถียง และการพูดโน้มน้าว (ดู วิวรณ์ 12:7–9, 11) กลยุทธ์ของซาตานคือทำให้ผู้คนหวาดกลัว เขารู้ว่าความกลัวเป็นวิธีทำลายศรัทธาได้ดีที่สุด เขาอาจจะเคยใช้ข้อโต้แย้งอย่างเช่น “มันยากเกินไป” “ทำให้สะอาดเหมือนเดิมไม่ได้หรอก” “มีความเสี่ยงมากเกินไป” “คุณรู้ได้อย่างไรว่าคุณวางใจพระเยซูคริสต์ได้” เขาอิจฉาพระผู้ช่วยให้รอดมาก

ขอบพระทัยที่แผนของพระผู้เป็นเจ้ามีชัยเหนือคำเท็จของซาตาน แผนของพระผู้เป็นเจ้าเกี่ยวข้องกับสิทธิ์เสรีทางศีลธรรมสำหรับมนุษยชาติและการพลีพระชนม์ชีพครั้งสำคัญ พระเยโฮวาห์ผู้ที่เรารู้ว่าคือพระเยซูคริสต์ทรงอาสาเป็นเครื่องบูชา—ทนทุกข์เพื่อบาปทั้งหมดของเรา พระองค์เต็มพระทัยพลีพระชนม์ชีพเพื่อพี่น้องชายหญิงของพระองค์ทั้งนี้เพื่อคนที่กลับใจจะได้กลับมาสะอาดอีกครั้งและเป็นเหมือนพระบิดาบนสวรรค์ของพวกเขาในที่สุด (ดู โมเสส 4:1–4; อับราฮัม 3:27)

ข้อได้เปรียบอีกอย่างหนึ่งที่ช่วยให้พระเยโฮวาห์ชนะใจบุตรธิดาของพระผู้เป็นเจ้าคือประจักษ์พยานอันทรงพลังจากผู้สนับสนุนพระองค์ นำโดยมิคาเอล เทพาดิเทพ (ดู วิวรณ์ 12:7, 11; คพ. 107:54) ในชีวิตก่อนมรรตัย อาดัมมีชื่อว่ามิคาเอล และซาตานมีชื่อว่าลูซิเฟอร์ ซึ่งหมายถึง “ผู้ส่องสว่าง”1 นั่นอาจดูเหมือนเป็นชื่อแปลกสำหรับเจ้าชายแห่งความมืด (ดู โมเสส 7:26) แต่พระคัมภีร์สอนว่าซาตานเป็น “เทพองค์หนึ่งของพระผู้เป็นเจ้าผู้เคยมีสิทธิอำนาจในที่ประทับของพระผู้เป็นเจ้า” ก่อนเขาตก (ดู คพ. 76:25–28)

วิญญาณที่มีความรู้และประสบการณ์มากขนาดนั้นจะตกได้อย่างไร ตกเพราะความจองหองของเขา ลูซิเฟอร์กบฏต่อพระบิดาในสวรรค์เพราะเขาต้องการอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าให้ตนเอง

ในถ้อยคำอมตะของประธานเอสรา แทฟท์ เบ็นสัน (1899–1994) เรื่อง “จงระวังความจองหอง” สอนว่าลูซิเฟอร์ “ประสงค์จะรับเกียรติเหนือคนอื่นทั้งหมด” และ “ความปรารถนาที่เต็มไปด้วยความจองหองของเขาคือโค่นบัลลังก์ของพระผู้เป็นเจ้า”2 ท่านได้ยินบ่อยมากว่าซาตานต้องการทำลายสิทธิ์เสรีของมนุษย์ แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลเดียวที่เขาไม่เป็นที่โปรดปราน เขาถูกขับออกจากสวรรค์เพราะกบฏต่อพระบิดาและพระบุตร (ดู คพ. 76:25; โมเสส 4:3)

เหตุใดท่านและข้าพเจ้าจึงต่อสู้กับมาร เราต่อสู้เพราะความจงรักภักดี เรารักและสนับสนุนพระบิดาในสวรรค์ของเรา เราต้องการเป็นเหมือนพระองค์ ลูซิเฟอร์มีเป้าหมายต่างจากเรา เขาต้องการแทนที่พระบิดา (ดู อิสยาห์ 14:12–14; 2 นีไฟ 24:12–14) ลองนึกดูว่าการทรยศของซาตานทำร้ายพระบิดาพระมารดาบนสวรรค์ของเราอย่างไร ในพระคัมภีร์ เราอ่านว่า “สวรรค์ร้องไห้เพราะเขา” (คพ. 76:26)

หลังจากต่อสู้กันอย่างดุเดือด มิคาเอลกับกองทัพของท่านชนะ สองในสามของไพร่พลสวรรค์เลือกติดตามพระบิดา (ดู คพ. 29:36) ซาตานกับผู้ติดตามเขาถูกขับออกจากสวรรค์แต่พวกเขาไม่ถูกส่งไปสู่ความมืดภายนอกทันที พวกเขาถูกส่งมาโลกนี้ก่อน (ดู วิวรณ์ 12:7–9) ที่ซึ่งพระเยซูคริสต์ประสูติและทรงดำเนินการพลีพระชนม์ชีพเพื่อการชดใช้

เหตุใดจึงยอมให้ไพร่พลของซาตานมาแผ่นดินโลก พวกเขามาเพื่อจัดเตรียมการตรงกันข้ามให้คนเหล่านั้นผู้รับการทดสอบที่นี่ (ดู 2 นีไฟ 2:11) สุดท้ายพวกเขาจะถูกขับไปสู่ความมืดภายนอกหรือไม่ ใช่ หลังจากมิลเลเนียม ซาตานกับไพร่พลของเขาจะถูกขับออกไปตลอดกาล

ซาตานรู้ว่าวันของเขาถูกจำกัดไว้ ที่การเสด็จมาครั้งที่สองของพระเยซูคริสต์ ซาตานกับเหล่าเทพของเขาจะถูกมัดเป็นเวลา 1,000 ปี (ดู วิวรณ์ 20:1–3; 1 นีไฟ 22:26; คพ. 101:28) เมื่อใกล้ถึงกำหนด กองกำลังของความชั่วร้ายต่อสู้อย่างสิ้นหวังเพื่อกุมจิตวิญญาณให้มากที่สุด

ยอห์นผู้เปิดเผยเห็นสงครามในสวรรค์ในนิมิตครั้งใหญ่ เขาเห็นว่าซาตานถูกขับลงมาแผ่นดินโลกเพื่อล่อลวงมนุษย์ นี่คือปฏิกิริยาของยอห์น “วิบัติจะมีแก่แผ่นดินโลกและทะเล เพราะว่ามารได้ลงมาหาเจ้าทั้งหลายด้วยความเดือดดาลอย่างยิ่ง เพราะมันรู้ว่าเวลาของมันมีน้อย” (วิวรณ์ 12:12)

ฉะนั้นซาตานใช้วันเวลาของเขาอย่างไรโดยรู้ว่าเขามีเวลาจำกัด อัครสาวกเปโตรเขียนว่า “มาร ดุจสิงโตคำรามเดินวนเวียนเที่ยวเสาะหาคนที่มันจะกัดกินได้” (1 เปโตร 5:8)

ภาพ
family kneeling in prayer

อะไรผลักดันซาตาน เขาจะไม่มีร่างกาย เขาจะไม่มีภรรยาหรือครอบครัว และเขาจะไม่มีความบริบูรณ์แห่งปีติ เขาจึงต้องการทำให้ชายหญิงทุกคน “เศร้าหมองเหมือนตัวเขา” (2 นีไฟ 2:27)

มารเล็งมนุษย์ทุกคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้มีแนวโน้มมากที่สุดว่าจะมีความสุขนิรันดร์ เขาอิจฉาคนที่อยู่บนเส้นทางสู่ความสูงส่งอย่างออกนอกหน้า พระคัมภีร์สอนว่าซาตาน “ทำสงครามกับวิสุทธิชนของพระผู้เป็นเจ้า, และล้อมพวกเขาไว้รอบด้าน” (คพ. 76:29)

สงครามที่เริ่มต้นในสวรรค์ดำเนินต่อเนื่องจนถึงทุกวันนี้ อันที่จริง การสู้รบดุเดือดขึ้นขณะที่วิสุทธิชนเตรียมรับการเสด็จกลับของพระผู้ช่วยให้รอด

ประธานบริคัม ยังก์ (1801–1877) พยากรณ์ “ว่าศาสนจักรจะแพร่หลาย รุ่งเรือง เติบโต และแผ่ขยาย และอำนาจของซาตานจะเพิ่มขึ้นตามสัดส่วนการเผยแพร่พระกิตติคุณในบรรดาประชาชาติต่างๆ ของแผ่นดินโลก”3

ข้าพเจ้าคิดว่าเราทุกคนคงเห็นพ้องว่าคำพยากรณ์นี้กำลังเกิดสัมฤทธิผลเมื่อเราเห็นความชั่วแทรกซึมเข้าไปในสังคมของโลก ประธานยังก์สอนว่าเราต้องศึกษากลยุทธ์ของศัตรูเพื่อปราบเขา ข้าพเจ้าขอแบ่งปันยุทธวิธีสี่อย่างที่ซาตานใช้ได้ผลและแนวคิดบางประการเกี่ยวกับวิธีต้านยุทธวิธีเหล่านั้น

ยุทธวิธีของซาตาน

1. การล่อลวง มารบ้าบิ่นเมื่อต้องนำแนวคิดที่ชั่วร้ายใส่ไว้ในความนึกคิดของเรา พระคัมภีร์มอรมอนสอนว่าซาตานกระซิบความคิดที่ไม่ดี ไม่สะอาด และหว่านความสงสัยในความคิด เขาเซ้าซี้ให้เราทำตามแรงกระตุ้นให้เสพและแฝงไว้ด้วยความเห็นแก่ตัวและความละโมบ เขาไม่ต้องการให้เรารับรู้ว่าความคิดเหล่านี้มาจากไหน เขาจึงกระซิบว่า “ข้าพเจ้ามิใช่มาร, เพราะไม่มีมารเลย” (2 นีไฟ 28:22)

เราจะต่อต้านการล่อลวงโดยตรงนี้ได้อย่างไร เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพมากสุดอย่างหนึ่งคือไล่ซาตานออกไปทันที นั่นคือสิ่งที่พระเยซูจะทรงทำ

เรื่องราวในพันธสัญญาใหม่เกี่ยวกับพระผู้ช่วยให้รอดบนภูเขาแห่งการล่อลวงเป็นเรื่องที่สั่งสอนเรา หลังจากการล่อลวงแต่ละครั้งที่มารนำเสนอ พระเยซูทรงใช้เทคนิคป้องกันตัวสองขั้น ขั้นแรก พระองค์ทรงสั่งให้ซาตานออกไป จากนั้นพระองค์ทรงอ้างพระคัมภีร์

ข้าพเจ้าขอยกตัวอย่าง “จงไปให้พ้น เจ้าซาตาน” พระเยซูทรงบัญชา “เพราะพระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า จงกราบนมัสการองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่าน และปรนนิบัติพระองค์แต่ผู้เดียว” (มัทธิว 4:10) ข้อต่อไปบันทึกว่า “แล้วมารจึงไปจากพระองค์ และมีพวกทูตสวรรค์มาปรนนิบัติพระองค์” (มัทธิว 4:11) วิธีป้องกันของพระผู้ช่วยให้รอดได้ผลมาก!

ชีวประวัติของประธานฮีเบอร์ เจ. แกรนท์ (1856–1945) ให้ความเข้าใจอันลึกซึ้งว่าประธานแกรนท์สมัยหนุ่มต่อต้านมารอย่างไร เมื่อประธานแกรนท์รับรู้ว่าซาตานกำลังกระซิบบอกท่าน โดยพยายามหว่านความสงสัยในใจท่าน ท่านพูดออกเสียงทันทีว่า “คุณมาร หุบปาก”4

ท่านมีสิทธิ์บอกซาตานให้ออกไปเมื่อท่านเผชิญกับการล่อลวง พระคัมภีร์สอนว่า “จงต่อสู้กับมาร แล้วมันจะหนีท่านไป” (ยากอบ 4:7)

วิธีป้องกันอีกส่วนหนึ่งของพระผู้ช่วยให้รอดคืออ้างพระคัมภีร์ มีพลังยิ่งใหญ่ในการท่องจำพระคัมภีร์เฉกเช่นพระเยซูทรงทำ ข้อพระคัมภีร์สามารถเป็นคลังสรรพาวุธของวิธีตอบโต้ทางวิญญาณ

เมื่อท่านถูกล่อลวง ท่านสามารถท่องพระบัญญัติเช่น “จงระลึกถึงวันสะบาโต ถือเป็นวันบริสุทธิ์” “จงรักศัตรูของท่าน” หรือ “ให้คุณธรรมประดับความนึกคิดของท่านไม่เสื่อมคลาย” (อพยพ 20:8; ลูกา 6:27; คพ. 121:45) พลังพระคัมภีร์ไม่เพียงทำให้ซาตานกลัว แต่นำพระวิญญาณเข้ามาในใจท่าน ขจัดความหวาดระแวง และทำให้ท่านมีพลังต้านการล่อลวงด้วย

2. ความเท็จและการหลอกลวง พระคัมภีร์เปิดเผยว่าซาตานเป็น “บิดาแห่งความเท็จ” (2 นีไฟ 9:9) อย่าเชื่อเขาเมื่อเขากระซิบข่าวสารเช่น “คุณไม่มีวันทำสิ่งถูกต้อง” “คุณทำบาปเกินกว่าจะให้อภัย” “คุณจะไม่มีวันเปลี่ยน” “ไม่มีใครสนใจคุณหรอก” และ “คุณไม่มีพรสวรรค์”

ความเท็จอีกประการหนึ่งที่เขาใช้บ่อยคือ “คุณต้องลองทุกอย่างสักครั้ง—แค่รับประสบการณ์ ครั้งเดียวไม่เสียหายหรอก” ความลับอันไม่น่าพึงใจที่เขาไม่ต้องการให้ท่านรู้คือบาปทำให้ติด

ความเท็จที่ได้ผลอีกอย่างหนึ่งที่ซาตานจะลองใจท่านคือ “ใครๆ เขาก็ทำ ไม่เป็นไรหรอก” เป็นสิ! ฉะนั้นจงบอกมารว่าท่านไม่ต้องการไปอาณาจักรทีเลสเชียล—แม้ทุกคนจะไปที่นั่นก็ตาม

ภาพ
father teaching his family

ถึงแม้ซาตานจะโกหกท่าน แต่ท่านพึ่งพระวิญญาณให้บอกความจริงท่านได้ นั่นคือสาเหตุที่ของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์จำเป็นอย่างยิ่ง

มารได้ชื่อว่าเป็น “นักหลอกลวงตัวยง”5 เขาพยายามปลอมหลักธรรมแท้จริงทุกข้อที่พระเจ้าทรงเสนอ

จำไว้ว่าสิ่งปลอมแปลงของเขาไม่เหมือนสิ่งตรงข้าม สิ่งตรงข้ามกับขาวคือดำ แต่สิ่งปลอมแปลงสำหรับขาวอาจจะเป็นขาวนวลหรือเทา สิ่งปลอมแปลงแสดงตัวคล้ายของจริงเพื่อหลอกคนพาซื่อ สิ่งปลอมแปลงเป็นรูปแบบที่บิดเบือนจากสิ่งดี แค่เหมือนเงินปลอม คือไร้ค่า ข้าพเจ้าขออธิบาย

สิ่งปลอมแปลงศรัทธาอย่างหนึ่งของซาตานคือความเชื่อถือโชคลาง สิ่งปลอมแปลงความรักของเขาคือตัณหา เขาปลอมแปลงฐานะปุโรหิตโดยนำการฉ้อฉลในอำนาจปุโรหิตมาใช้ และเขาเลียนแบบปาฏิหาริย์ของพระผู้เป็นเจ้าโดยใช้วิทยาคม

การแต่งงานระหว่างชายหญิงได้รับแต่งตั้งจากพระผู้เป็นเจ้า แต่การแต่งงานกับเพศเดียวกันเป็นเพียงสิ่งปลอมแปลง ไม่ทำให้เกิดลูกหลานทั้งไม่ได้ความสูงส่ง ถึงแม้การเลียนแบบของเขาหลอกคนได้มากมาย แต่นั่นไม่ใช่เรื่องจริง ไม่สามารถทำให้เกิดความสุขอันยั่งยืน

พระผู้เป็นเจ้าทรงเตือนเราเรื่องสิ่งปลอมแปลงในพระคัมภีร์หลักคำสอนและพันธสัญญา พระองค์ตรัสว่า “สิ่งซึ่งไม่จรรโลงใจมิได้มาจากพระผู้เป็นเจ้า, และเป็นความมืด” (คพ. 50:23)

3. ความขัดแย้ง ซาตานเป็นบิดาของความขัดแย้ง พระผู้ช่วยให้รอดทรงสอนว่า “เขายั่วยุใจมนุษย์ให้ขัดแย้งด้วยความโกรธ, ต่อกัน” (3 นีไฟ 11:29)

มารเรียนรู้จากประสบการณ์หลายศตวรรษว่าที่ใดมีความขัดแย้ง พระวิญญาณพระเจ้าจะจากไป ตั้งแต่ซาตานชักจูงคาอินให้ฆ่าอาเบล เขาโน้มน้าวให้พี่น้องทะเลาะกัน เขายั่วยุให้เกิดปัญหาในชีวิตแต่งงาน ในหมู่สมาชิกวอร์ด และระหว่างคู่ผู้สอนศาสนาด้วย เขาดีใจที่เห็นคนดีโต้เถียงกัน เขาพยายามทำให้ครอบครัวโต้เถียงกันก่อนไปโบสถ์ในวันอาทิตย์ ก่อนการสังสรรค์ในครอบครัวคืนวันจันทร์ และเมื่อใดก็ตามที่คู่สามีภรรยาวางแผนเข้าพระวิหาร การเลือกเวลาของเขาพอจะทำนายได้

เมื่อมีความขัดแย้งในบ้านหรือที่ทำงาน จงหยุดทันทีไม่ว่าท่านทำอะไรอยู่และพยายามสร้างสันติ ไม่สำคัญว่าใครเริ่มก่อน

ความขัดแย้งมักเริ่มจากการจับผิด โจเซฟ สมิธสอนว่า “มารป้อยอเราว่าเราเป็นคนชอบธรรมมากเมื่อเรากำลังจ้องจับผิดผู้อื่น”6 เมื่อท่านตรองเรื่องนี้ การคิดว่าตนเองชอบธรรมกว่าคนอื่นเป็นแค่สิ่งปลอมแปลงสำหรับความชอบธรรมจริงๆ

ซาตานชอบแพร่ความขัดแย้งในศาสนจักร เขาเชี่ยวชาญการชี้ความผิดของผู้นำศาสนจักร โจเซฟ สมิธเตือนวิสุทธิชนว่าขั้นแรกของการละทิ้งความเชื่อคือขาดความเชื่อมั่นในผู้นำของศาสนจักร7

วรรณกรรมต่อต้านมอรมอนแทบทั้งหมดมีพื้นฐานบนความเท็จเกี่ยวกับอุปนิสัยของโจเซฟ สมิธ ศัตรูทำงานหนักเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของโจเซฟเพราะข่าวสารแห่งการฟื้นฟูขึ้นอยู่กับเรื่องราวของท่านศาสดาพยากรณ์เกี่ยวกับสิ่งที่เกิดขึ้นในป่าศักดิ์สิทธิ์ ปัจจุบันมารทำงานหนักมากกว่าแต่ก่อนเพื่อทำให้สมาชิกสงสัยประจักษ์พยานของตนเกี่ยวกับการฟื้นฟู

ในยุคแรกของสมัยการประทานของเรา น่าเสียดายที่พี่น้องชายที่ดำรงฐานะปุโรหิตหลายคนไม่ภักดีต่อท่านศาสดาพยากรณ์ หนึ่งในนั้นคือไลมัน อี. จอห์นสันผู้ถูกขับออกจากศาสนจักรเพราะความประพฤติมิชอบ ต่อมาเขาคร่ำครวญเรื่องการออกจากศาสนจักรว่า “ผมจะยอมให้ตัดมือขวา ถ้าผมได้เชื่ออีกครั้ง ช่วงนั้นผมเปี่ยมด้วยปีติและความยินดี ความฝันของผมน่าพอใจ เมื่อตื่นนอนตอนเช้าจิตใจผมแช่มชื่น ผมมีความสุขทั้งวันคืน เปี่ยมด้วยสันติสุข ปีติ และความขอบคุณ แต่ตอนนี้เป็นความมืด ความเจ็บปวด โทมนัส ความเศร้าหมองสุดขีด ผมไม่เคยมีความสุขเลยนับแต่นั้น”8

ลองนึกถึงคำพูดเหล่านั้น นั่นเป็นคำเตือนถึงสมาชิกทุกคนของศาสนจักร

ข้าพเจ้าเป็นผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสศาสนจักร ข้าพเจ้ารับบัพติศมาเมื่อเป็นหนุ่มโสดอายุ 23 ปีกำลังเรียนโรงเรียนแพทย์ในรัฐแอริโซนา สหรัฐอเมริกา ข้าพเจ้ารู้ด้วยตนเองว่าซาตานทำงานกับผู้สนใจเพื่อทำให้พวกเขาสับสนและท้อแท้เมื่อพวกเขากำลังแสวงหาความจริง

ตลอดช่วงวัยเยาว์ ข้าพเจ้าเฝ้าดูแบบอย่างของเพื่อนวิสุทธิชนยุคสุดท้าย ข้าพเจ้าประทับใจกับวิธีดำเนินชีวิตของพวกเขา ข้าพเจ้าตัดสินใจจะเรียนรู้มากขึ้นเกี่ยวกับศาสนจักร แต่ไม่ต้องการบอกใครว่ากำลังศึกษาความเชื่อของชาวมอรมอน เพื่อหลีกเลี่ยงแรงกดดันจากเพื่อนๆ ข้าพเจ้าตัดสินใจค้นหาด้วยตนเอง

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นก่อนอินเทอร์เน็ตหลายปี ข้าพเจ้าจึงไปห้องสมุดสาธารณะ ข้าพเจ้าพบหนังสือพระคัมภีร์มอรมอนและหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ ปาฏิหาริย์และสิ่งอัศจรรย์ โดยเอ็ลเดอร์เลอร์แกรนด์ ริชาร์ดส์ (1886–1983) แห่งโควรัมอัครสาวกสิบสอง ข้าพเจ้าเริ่มอ่านหนังสือเหล่านี้ด้วยความปรารถนาแรงกล้า และพบแรงบันดาลใจ

แม้จิตใจข้าพเจ้าปรารถนาจะเรียนรู้มากขึ้น แต่ซาตานเริ่มกระซิบใส่หูข้าพเจ้า เขาบอกว่าเพื่อไม่ให้เกิดความลำเอียง ข้าพเจ้าต้องอ่านสิ่งที่นักวิจารณ์ศาสนจักรเขียนด้วย ข้าพเจ้ากลับไปห้องสมุดสาธารณะและเริ่มค้นหา ข้าพเจ้าพบเล่มหนึ่งที่ทำลายความน่าเชื่อถือของศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธ

การอ่านหนังสือต่อต้านมอรมอนทำให้ข้าพเจ้าสับสน ข้าพเจ้าสูญเสียวิญญาณและอิทธิพลอันหอมหวานนั้นที่ชี้นำการค้นหาความจริงของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเริ่มท้อแท้และกำลังจะเลิกแสวงหาความจริง ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนขอคำตอบขณะอ่านวรรณกรรมต่อต้านมอรมอน!

ยังความประหลาดใจแก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนมัธยมปลายที่กำลังเรียนมหาวิทยาลัยบริคัม ยังก์ เธอชวนข้าพเจ้ามาเยี่ยมเธอในยูทาห์โดยสัญญาว่าข้าพเจ้าจะชอบทิวทัศน์ที่นั่น เธอไม่ทราบว่าข้าพเจ้าแอบศึกษาศาสนจักรของเธอ

ข้าพเจ้ายอมรับคำชวน เพื่อนเสนอให้เราไปซอลท์เลคซิตี้เพื่อเยี่ยมชมเทมเปิลสแควร์ เธอประหลาดใจกับการตอบรับอย่างกระตือรือร้นของข้าพเจ้า เธอไม่ทราบว่าข้าพเจ้าสนใจจะเรียนรู้ความจริงเกี่ยวกับโจเซฟ สมิธและการฟื้นฟู

ซิสเตอร์ผู้สอนศาสนาที่เทมเปิลสแควร์ช่วยได้มาก พวกเธอตอบคำถามหลายข้อของข้าพเจ้าโดยไม่รู้ตัว ประจักษ์พยานของพวกเขาส่งผลให้ข้าพเจ้า “สงสัยความสงสัย [ของตน]”9 และศรัทธาของข้าพเจ้าเริ่มเติบโต เราจะดูแคลนพลังของประจักษ์พยานที่มาจากใจไม่ได้

เพื่อนข้าพเจ้าแบ่งปันประจักษ์พยานของเธอกับข้าพเจ้าและเชื้อเชิญให้ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนและทูลถามพระผู้เป็นเจ้าว่าศาสนจักรจริงหรือไม่ ระหว่างขับรถทางไกลกลับมาแอริโซนา ข้าพเจ้าเริ่มสวดอ้อนวอนด้วยศรัทธา—“ด้วยใจจริง, ด้วยเจตนาแท้จริง” (โมโรไน 10:4) เป็นครั้งแรก ณ จุดหนึ่งระหว่างการเดินทางครั้งนั้น ดูเหมือนรถทั้งคันสว่างไสว ข้าพเจ้าเรียนรู้ด้วยตนเองว่าความสว่างสามารถขับความมืดออกไปได้

หลังจากตัดสินใจรับบัพติศมา มารลงมือครั้งสุดท้าย เขาทำงานกับครอบครัวข้าพเจ้าผู้ทำทุกอย่างในอำนาจของพวกเขาเพื่อให้ข้าพเจ้าท้อใจและพวกเขาไม่ยอมเข้าร่วมพิธีบัพติศมาของข้าพเจ้า

แต่ข้าพเจ้าก็รับบัพติศมา และใจพวกเขาอ่อนลงทีละนิด พวกเขาเริ่มช่วยข้าพเจ้าค้นคว้าประวัติครอบครัว ไม่กี่ปีต่อมา ข้าพเจ้าให้บัพติศมาน้องชาย เพื่อนที่ชวนข้าพเจ้าไปเยี่ยมเธอในยูทาห์เวลานี้เป็นภรรยาของข้าพเจ้า

4. ความท้อใจ ซาตานใช้วิธีนี้ได้ผลกับวิสุทธิชนที่ซื่อสัตย์ส่วนใหญ่เมื่อวิธีอื่นล้มเหลว สำหรับข้าพเจ้าแล้วเมื่อข้าพเจ้าเริ่มรู้สึกท้อใจ นั่นช่วยให้ข้าพเจ้ารู้ตัวว่าใครกำลังพยายามทำให้ข้าพเจ้าล้ม นี่ทำให้ข้าพเจ้าบ้าพอจะฮึกเหิม—แค่เย้ยมาร

หลายปีก่อน ประธานเบ็นสันกล่าวปราศรัยเรื่อง “อย่าสิ้นหวัง” ในคำพูดที่เต็มไปด้วยข้อคิดนั้น ท่านเตือนว่า “ซาตานพยายามมากขึ้นทุกวันเพื่อเอาชนะวิสุทธิชนด้วยความสิ้นหวัง ความท้อใจ ความหมดหวัง และความหดหู่”10 ประธานเบ็นสันกระตุ้นสมาชิกศาสนจักรให้ระวัง ท่านให้คำแนะนำที่ปฏิบัติได้จริง 12 ข้อไว้สู้กับความท้อใจ

ภาพ
family walking on Boston Massachusetts Temple grounds

คำแนะนำของท่านได้แก่ รับใช้ผู้อื่น ทำงานขยันขันแข็งและหลีกเลี่ยงความเกียจคร้าน ฝึกนิสัยให้มีสุขภาพดี ซึ่งรวมถึงการออกกำลังกายและกินอาหารในสภาพธรรมชาติ ขอพรฐานะปุโรหิต ฟังเพลงที่สร้างแรงบันดาลใจ นับพรของท่าน และตั้งเป้าหมาย และเหนือสิ่งอื่นใด ดังที่พระคัมภีร์สอน เราพึงสวดอ้อนวอนเสมอเพื่อเราจะชนะซาตาน (ดู คพ. 10:5).11

ซาตานตัวสั่นเมื่อเขาเห็น

วิสุทธิชนที่อ่อนแอที่สุดคุกเข่า12

สำคัญที่ต้องรู้ว่าอำนาจของมารมีขีดจำกัด พระผู้เป็นเจ้าสามพระองค์ทรงกำหนดขีดจำกัดเหล่านั้น และซาตานไม่ได้รับอนุญาตให้ล้ำเส้น ตัวอย่างเช่น พระคัมภีร์รับรองกับเราว่า “มิได้ให้อำนาจซาตานล่อลวงเด็กเล็ก” (คพ. 29:47)

ขีดจำกัดสำคัญอีกอย่างหนึ่งคือซาตานไม่รู้ความคิดของเราเว้นแต่เราจะบอกเขา พระเจ้าทรงอธิบายว่า “ไม่มีใครอีกเลยนอกจากพระผู้เป็นเจ้าที่ทรงรู้ความนึกคิดเจ้าและเจตนาของใจเจ้า” (คพ. 6:16)

บางทีนี่อาจเป็นสาเหตุให้พระเจ้าประทานพระบัญญัติเช่น “อย่าพร่ำบ่น” (คพ. 9:6) และ “เจ้าจะไม่พูดให้ร้ายเพื่อนบ้านเจ้า” (คพ. 42:27) หากท่านสามารถฝึกควบคุมลิ้นได้ (ดู ยากอบ 1:26) ท่านจะไม่จบลงด้วยการให้ข้อมูลแก่มารมากเกินไป เมื่อเขาได้ยินคำพร่ำบ่นและคำวิพากษ์วิจารณ์ เขาจะจดอย่างละเอียด คำพูดลบๆ ของท่านเผยให้ศัตรูเห็นความอ่อนแอของท่าน

ข้าพเจ้ามีข่าวดีสำหรับท่าน กองทัพของพระผู้เป็นเจ้าใหญ่กว่ากองทัพของลูซิเฟอร์ ท่านอาจมองไปรอบๆ และนึกในใจว่า “โลกชั่วร้ายขึ้นทุกวัน ซาตานต้องชนะสงครามแน่” อย่าถูกหลอก ความจริงคือเรามีจำนวนมากกว่าศัตรู จำไว้ว่าบุตรธิดาสองในสามของพระผู้เป็นเจ้าเลือกแผนของพระบิดา

พี่น้องทั้งหลาย พึงแน่ใจว่าท่านกำลังสู้อยู่ในฝ่ายพระเจ้า พึงแน่ใจว่าท่านกำลังถือดาบแห่งพระวิญญาณ

ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนขอให้บั้นปลายชีวิตท่าน ท่านสามารถพูดพร้อมกับอัครสาวกเปาโลได้ว่า “ข้าพเจ้าได้ต่อสู้อย่างเต็มกำลัง ข้าพเจ้าได้วิ่งแข่งจนครบถ้วน ข้าพเจ้าได้รักษาความเชื่อไว้แล้ว” (2 ทิโมธี 4:7)

อ้างอิง

  1. คู่มือพระคัมภีร์, “ลูซิเฟอร์,” scriptures.lds.org.

  2. เอสรา แทฟท์ เบ็นสัน, “Beware of Pride,” Ensign, May 1989, 5.

  3. Discourses of Brigham Young, sel. John A. Widtsoe (1954), 72.

  4. ดู ฟรานซิส เอ็ม. กิบบอนส์, (1979), 35–36.

  5. ดู ตัวอย่างใน ดีเทอร์ เอฟ. อุคท์ดอร์ฟ, “ท่านสำคัญต่อพระองค์,” เลียโฮนา, พ.ย. 2011, 23; กอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์ “ยุคสมัยที่เราอยู่,” เลียโฮนา, ม.ค. 2002, 97.

  6. คำสอนของประธานศาสนาจักร: โจเซฟ สมิธ,(2007), 488.

  7. ดู คำสอน: โจเซฟ สมิธ, 343.

  8. ไลมัน อี. จอห์นสัน, ใน Brigham Young, Deseret News, Aug. 15, 1877, 484.

  9. ดีเทอร์ เอฟ. อุคท์ดอร์ฟ, “เชิญมาร่วมกับเรา,” เลียโฮนา, พ.ย. 2013, 23.

  10. เอสรา แทฟท์ เบ็นสัน, “Do Not Despair,” Ensign, Nov. 1974, 65.

  11. ดู เอสรา แทฟท์ เบ็นสัน, “Do Not Despair,” 65–67.

  12. วิลเลียม คาวเพอร์, ใน Robert Andrews, comp., The Concise Columbia Dictionary of Quotations (1987), 78.