ประวัติศาสนจักร
ห่วงว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงคิดอย่างไร


ห่วงว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงคิดอย่างไร

หลังจากเข้าร่วมศาสนจักร อรยุทธ บุตรโทคนขับรถลากในอุบลราชธานีเริ่มสวมเสื้อเชิ้ตสีขาว ผูกเน็กไท และสวมกางเกงขายาวไปทำงาน คนขับรถลากคนอื่นๆ พากันล้อเลียนเพราะเขาเปลี่ยนการแต่งตัวไปโดยสิ้นเชิง เขาเริ่มตั้งคำถามเรื่องการเป็นสมาชิกของตนและหยุดเข้าร่วมการประชุมของศาสนจักรจนกระทั่งวิสุทธิชนสองคนให้คำแนะนำเขา “คุณจะไม่เป็นคนขับรถลากตลอดไปหรอก” พวกเขากล่าว “ไม่ต้องห่วงว่าคนอื่นจะคิดอย่างไร คุณต้องห่วงว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงคิดอย่างไร” เขากลับมาร่วมการประชุมของศาสนจักร

เพราะต้องการให้ภรรยากับลูกๆ ได้สิ่งดีที่สุด อรยุทธจึงสวดอ้อนวอนเรื่องงานทุกวันและจ่ายส่วนสิบเป็นประจำ หลังจากนั้นสองปี เขารับงานเพิ่มด้วยการขายปลาหมึกและไข่ตั้งแต่หกโมงเย็นถึงเที่ยงคืน ภายในสองปีเขามีเงินพอซื้อที่ดินติดกับบ้านประธานสาขา ปีต่อมาเขาหาเงินได้มากขึ้นและเก็บเงินได้มากพอจะเริ่มสร้างบ้าน เขาตั้งเป้าหมายจะสร้างบ้านให้เสร็จภายในห้าปีและสมาชิกกับผู้สอนศาสนาช่วยสร้างจนเกือบเสร็จ

แต่อรยุทธรู้สึกว่าเขาต้องมีชีวิตที่ดีกว่านี้และเพื่อให้มีชีวิตแบบนั้นเขา “ต้องขยันมากขึ้น” เขาเปลี่ยนจากขายปลาหมึกกับไข่ไปทำงานเป็นยามตอนกลางคืน งานนั้นทำให้เขาได้เป็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยของธนาคารแห่งหนึ่ง ซึ่งเงินเดือนที่มากขึ้นทำให้เขาเลิกขับรถลากได้

เขาทำงานรักษาความปลอดภัยที่ธนาคารวันละสิบสองชั่วโมง สัปดาห์ละเจ็ดวัน แต่ก็ยังหาทางปลีกเวลามาร่วมการประชุมและกิจกรรมต่างๆ ของศาสนจักรด้วย เขาเคยเป็นประธานโควรัมเอ็ลเดอร์สามครั้ง ประธานสาขาสามครั้ง และประธานท้องถิ่นสองครั้ง เขาต้องการให้ตนมี “ส่วนในความก้าวหน้าของสมาชิก” เขามีรายได้เพียงพอด้วยและหาเวลาไปพระวิหารมะนิลา ฟิลิปปินส์ได้ห้าครั้งในปี 2003

อรยุทธเลิกเรียนหนังสือหลังจบมัธยมศึกษาปีที่สามเพื่อบวชเป็นพระภิกษุ หลังจากลูกๆ โตหมดแล้ว เขาจึงใช้โอกาสนี้เรียนจนจบมัธยมศึกษาปีที่หกและได้วุฒิมัธยมปลาย เขาเคยอยากเรียนให้จบมัธยมปลายแต่ก่อนหน้านั้นเรียนไม่ได้

วันหนึ่งหลังเกิดการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดนี้แล้ว เขาบังเอิญเจอเพื่อนที่เคยขับรถลากด้วยกัน เขาประหลาดใจมาก “ผมกำลังขับรถกระบะของตัวเอง—ผูกเน็กไทใส่เสื้อเชิ้ตอย่างดี” และ “[พูด] ทักทายเพื่อนๆ ของผม” เพื่อนๆ ถามว่า “โห คุณไปทำอะไรมา?” พวกเขาคิดว่าอรยุทธรวยแล้ว แต่เขารู้ความจริง เขาเป็นพยานในเวลาต่อมาว่า “นั่นคือพรที่ผมได้จากการเชื่อฟังพระบัญญัติมาตลอดหลายปีและจากการทำตามพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า”