2017
แสวงหาพระคริสต์ในช่วงเทศกาลคริสต์มาส
December 2017


ข่าวสารจากฝ่ายประธานสูงสุด

แสวงหาพระคริสต์ในช่วงเทศกาลคริสต์มาส

ภาพ
Nativity scene

วันแห่งปีติและความเมตตา สร้างสรรค์โดยซารา วัดดูพส์ มอร์แกน เอื้อเฟื้อโดยพิพิธภัณฑ์ประวัติศาสนจักร

ถึงทุกท่านผู้ประสงค์จะเข้าใจว่าเราเป็นใครในฐานะสมาชิกศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้าย ข้าพเจ้าขอเสนอจุดเริ่มต้นโดยใช้คำสามคำนี้คือ เราแสวงหาพระคริสต์

เราแสวงหาเพื่อเรียนรู้จากพระองค์ เพื่อติดตามพระองค์ เพื่อจะเป็นเหมือนพระองค์มากขึ้น

เราแสวงหาพระองค์ทุกวันตลอดปี แต่แสวงหาเป็นพิเศษในช่วงเวลานี้ของปี—เทศกาลคริสต์มาส เมื่อเราเฉลิมฉลองการประสูติของพระผู้ช่วยให้รอดที่รักของเรา—ใจเราเอนเอียงไปหาพระองค์มากขึ้น

เพื่อเป็นส่วนหนึ่งของการเตรียมเฉลิมฉลองคริสต์มาส ขอให้เราพิจารณาว่าคนที่มีชีวิตเมื่อสองพันปีก่อนเตรียมพร้อมต้อนรับการมาถึงของพระผู้ช่วยให้รอดอย่างไร

คนเลี้ยงแกะ

เรารู้ไม่มากนักเกี่ยวกับคนเลี้ยงแกะ รู้เพียงว่าพวกเขา “อยู่กลางทุ่งกำลังเฝ้าฝูงแกะของเขาในเวลากลางคืน”1 คนเลี้ยงแกะน่าจะเหมือนสามัญชนทั่วไป เหมือนคนน่ายกย่องสรรเสริญทั้งหลายที่ออกไปทำมาหาเลี้ยงชีพตอนกลางวัน

พวกเขาอาจจะเป็นตัวแทนของคนที่ครั้งหนึ่งอาจไม่ขวนขวายแสวงหาพระคริสต์ แต่ใจพวกเขาเปลี่ยนเมื่อฟ้าสวรรค์เปิดและประกาศเรื่องพระคริสต์ต่อพวกเขา

พวกเขาคือคนที่ไปเบธเลเฮมทันทีหลังจากได้ยินเสียงของผู้ส่งสารจากสวรรค์ พวกเขาอยากไปดู2

พวกนักปราชญ์

พวกนักปราชญ์คือนักวิชาการที่ศึกษาเรื่องการเสด็จมาของพระเมสสิยาห์ พระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า โดยผ่านการเรียนรู้ของพวกเขา พวกเขาค้นพบเครื่องหมายบ่งบอกการประสูติของพระองค์ เมื่อพวกเขาค้นพบ พวกเขาออกจากบ้านและเดินทางไปเยรูซาเล็มพลางถามว่า “พระกุมารผู้ที่ทรงบังเกิดมาเป็นกษัตริย์ของชนชาติยิวนั้นอยู่ที่ไหน?”3

ความรู้เรื่องพระคริสต์ของพวกเขาไม่เพียงเป็นแค่หลักวิชาการเท่านั้น ทันทีที่เห็นเครื่องหมายการประสูติของพระองค์ พวกเขาดำเนินการ พวกเขาเริ่มหาพระคริสต์

พวกนักปราชญ์อาจจะเป็นตัวแทนของคนที่แสวงหาพระคริสต์ผ่านการเรียนรู้และการศึกษาด้านวิชาการ การยึดมั่นความจริงของพวกเขานำพวกเขาไปหาพระคริสต์ในที่สุดและนมัสการพระองค์ในฐานะพระมหากษัตริย์เหนือกษัตริย์ทั้งหลาย พระผู้ช่วยให้รอดของมนุษยชาติ4

สิเมโอนกับอันนา

สิเมโอนกับอันนาอาจจะเป็นตัวแทนของคนที่แสวงหาพระคริสต์ผ่านพระวิญญาณ คนที่ยอดเยี่ยมเหล่านี้เลื่อมใสศาสนาและรอวันเสด็จมาของพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้าอย่างใจจดใจจ่อผ่านการอดอาหารและการสวดอ้อนวอน และโดยดำเนินชีวิตด้วยความภักดีและการเชื่อฟัง

เพราะความจงรักภักดี ความอ่อนน้อมถ่อมตน และศรัทธาพวกเขาจึงเฝ้ารอการเสด็จมาของพระผู้ช่วยให้รอดอย่างอดทน

ในที่สุด พวกเขาได้รับผลตอบแทนความซื่อสัตย์ของตนเมื่อมารีย์กับโยเซฟมอบทารกน้อยให้พวกเขา ทารกผู้จะรับบาปของมนุษยชาติไว้กับพระองค์ในวันหน้า5

ผู้เชื่อในหมู่ชาวนีไฟและชาวเลมัน

เรื่องราวสะเทือนอารมณ์เกี่ยวกับผู้เชื่อในโลกใหม่เฝ้ารอเครื่องหมายการประสูติของพระผู้ช่วยให้รอดพบอยู่ในพระคัมภีร์มอรมอน

ท่านคงจำได้ว่าผู้มีศรัทธาในพระคริสต์ถูกเย้ยหยันและถูกข่มเหง คนรอบรู้สมัยนั้นกล่าวหาผู้เชื่อว่ายึดติดความเชื่องมงายโง่เขลา อันที่จริง ผู้ไม่เชื่อกล่าววาจาเย้ยหยันจนพวกเขาก่อ “ความวุ่นวายครั้งใหญ่” ในแผ่นดิน (3 นีไฟ 1:7) พวกเขาหัวเราะเยาะคนที่เชื่อว่าพระผู้ช่วยให้รอดจะประสูติ

ความโกรธและความเดือดดาลของพวกเขารุนแรงมากจนพวกเขาคิดจะปิดปากทุกคนที่เชื่อในพระผู้ช่วยให้รอด พระคัมภีร์มอรมอนบันทึกความเด็ดเดี่ยวอันน่าทึ่ง6

ผู้เชื่อที่มีชีวิตอยู่ในสมัยนี้อาจจะเป็นตัวแทนของคนที่แสวงหาพระคริสต์แม้เมื่อผู้อื่นหัวเราะ เยาะเย้ย และเหยียดหยาม พวกเขาแสวงหาพระคริสต์แม้เมื่อผู้อื่นพยายามล้อเลียนพวกเขาว่าหัวทึบ อ่อนต่อโลก หรือเชื่อคนง่าย

แต่การดูถูกเหยียดหยามของผู้อื่นไม่ได้ทำให้ผู้เชื่อที่แท้จริงท้อใจจนไม่แสวงหาพระคริสต์

เราแสวงหาพระคริสต์

ตลอดปีนี้ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเทศกาลคริสต์มาสนี้ การถามอีกครั้งว่า “ฉันกำลังแสวงหาพระคริสต์อย่างไร” น่าจะเป็นผลดีต่อเรา

ในช่วงเวลายุ่งยากของชีวิต กษัตริย์ดาวิดผู้ยิ่งใหญ่เขียนว่า “ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าของข้าพระองค์ ข้าพระองค์จะแสวงหาพระองค์ จิตใจของข้าพระองค์กระหายหาพระองค์ เนื้อหนังของข้าพระองค์กระเสือกกระสนหาพระองค์”7

บางทีเจตคติของการแสวงหาพระผู้เป็นเจ้าเช่นนี้น่าจะเป็นเหตุผลหนึ่งให้พูดถึงดาวิดว่าเขาเป็นคนชอบและไม่ชอบสิ่งต่างๆ เหมือนกับที่พระผู้เป็นเจ้าทรงชอบและไม่ชอบ8

ในช่วงเทศกาลคริสต์มาสนี้และตลอดปี ขอให้เราแสวงหาพระผู้ช่วยให้รอดที่รักของเรา เจ้าชายแห่งสันติ และพระผู้บริสุทธิ์แห่งอิสราเอลด้วยใจและจิตวิญญาณของเรา ส่วนใหญ่แล้วความปรารถนานี้ไม่เพียงนิยามว่าเราเป็นใครในฐานะสมาชิกศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายเท่านั้น แต่นิยามว่าจริงๆ แล้วเราเป็นใครในฐานะสานุศิษย์ของพระคริสต์