คำสอนของประธานศาสนจักร
บทที่ 11: การเลือกดำเนินชีวิตด้วยการเชื่อฟ้ง


บทที่ 11

การเลือกดำเนินชีวิตด้วยการเชื่อฟ้ง

ประธานบริคัม ยังนำการอพยพสิทธิชนหลายพันคนมาสู่ไซอัน ปอยครั้งที่ท่านให้คำแนะ นำในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ เช่น อย่าเอาวัวที่เหนื่อยอ่อนไปเทียมคู่กับวัวที่ยังกระปรี้กระเปร่า อย่างไรก็ตาม ท่านก็กระตุ้นให้สิทธิชนพึ่งพาตนเองด้วยความขะมักเขม้นและ ตัดสินใจอย่างฉลาด ท่านแนะนำว่า “เป็นสิ่งจำเป็นอย่างสมบูรณ์ที่ชาย หญิง และเด็ก ทุกคนผู้ยอมรับงานนี้และรวมกันไปสู่ไซอันจะทำทุกสิ่งที่พวกเขาสามารถทำได้เพื่อผลักตัน งานของพระผู้เป็นเจ้า เสริมสร้างไซอัน และช่วยไถ่ไซอัน…ความกระตือรือร้นในการ ทำงานนี้…มีแนวโน้มที่จะพัฒนาพละกำลังและความสามารถในการพึ่งพาตนเองของสิทธิ ชนซึ่งพวกเขาไม่สามารถมีได้โดยวิธีอื่น หากพวกเขาไม่ถูกบังคับให้พึ่งพาความสามารถ และสติปัญญาของตนเอง” (LL, 220–21) ประธานยังสอนว่า “การเสียสละทุกรูปแบบที่ พระเจ้าทรงขอจากผู้คนของพระองด์คือการทำตามพันธสัญญาของเราเองอย่างเคร่งครัด” (DBY, 225)

คำสอนของบริคัม ยัง

เรามีอำเภอใจที่จะเลือกความดีหรือความชั่ว แต่เราจะเลือก ผลจากการเลือกของเราไปได้

มนุษย์ทุกคนที่มีความสามารถในการใช้เหตุใช้ผลมีอำเภอใจของตนเอง พากเขาจะได้รับ ความรอดหรือถูกสาปแช่งขึ้นอยู่กับการเลือกของพากเขาเอง (DBY, 62)

ผู้คนจะเข้าใจได้หรือไม่ว่า เป็นสิ่งจำเป็นจริงๆ ที่จะต้องมีหลักธรรมตรงกันข้ามวางอยู่ต่อหน้าพากเขา หากไม่เช่นนั้นสถานะแห่งการเป็นอยู่บนโลกนี้จะไม่เป็นสถานที่แห่งการทดลอง และเราจะไม่มีโอกาสผึกใช้อำเภอใจที่ประทานให้เราเลย? พวกเขาจะเข้าใจได้หรือไม่ ว่าเราจะบรรลุถึงชีวิตนิรันดรไม่ได้หากเราไม่รู้และไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้จากประสบการณ์ของเราเองเกี่ยวกับหลักธรรมแห่งความดีกับหลักธรรมแห่งความชั่ว ความสว่างกับความมีด ความจริง คุณธรรม และความบริสุทธิ์–รวมทั้งความเลา ความชั่วร้าย และความเสื่อมทราม? (DBY, 66)

มนุษย์จะถ่อให้เกิดและควบคุมการกระทำของตนเองได้ แต่เขาไม่สามารถคาบคุมผลของ มันได้ (DBY, 63)

ไม่มีสักคนบนแผ่นดินโลกซึ่งภายในตัวเขาเองไม่มีความสามารถที่จะช่วยให้ตนรอดหรือ ทำลายตนเองทุกชนชาติเป็นเช่นนี้ (DBY, 67)

มีข้อจำกัดในการใช้อำเภอใจ และในทุกสิ่งและในมนุษย์ทุกคน อำเภอใจของเราต้องไม่ ล่วงลํ้ากฎดังกล่าว มนุษย์ต้องเลือกชีวิตหรือความตาย [ดู ฮีลามัน 14:31] และหากเขา เลือกความตายเขาจะพบว่าตนเองถูกบั่นทอนเสรีภาพ และอำเภอใจที่เขาได้รับนั้นถูกมัดไว้ อย่างแน่นเหนียวจนเขาไม่อาจใช้อำเภอใจในทางตรงกันข้ามกับกฎ โดยปราศจากการยอม ตนเพื่อรับการแก้ไขและการลงโทษจากพระผู้ทรงฤทธานุภาพ (DBY, 63)

มนุษย์สามารถขายอำเภอใจหรือสิทธิบุตรหัวปีของเขา ด้งที่เอชาวในสมัยโบราณกระทำ แต่เมื่อขายไปแล้ว เขาจะเอามันกลับคืนอีกไม่ได้ ด้งนั้นเราจึงจำเป็นต้องระมัดระวัง และไม่ ยอมสูญเสียอำเภอใจที่ประทานให้กับเรา ความแตกต่างระหว่างคนชอบธรรมและคนบาป ชีวิตนีรันดร์หรือความตาย ความสุขหรือความเศร้าโศก เป็นดังนี้คือ ผู้ที่ได้รับความสูงล่งไม่ มีสิงผูกมัดหรือข้อจำกัดต่อสิทธิพิเศษของพวกเขา พรของเขาจะดำเนินไปอย่างต่อเนื่องและ สำหรับอาณาจักร บัลลังก์ เขตปกครอง การครอบครอง และอำนาจของพวกเขาจะไม่มีที่ สินสุด มีแต่จะเพิ่มทวีขึ้นตลอดชั่วนิรันดร ขณะที่ผู้ปฏิเสธข้อเสนอ ผู้ที่เหยียดหยามพระ กรุณาธิคุณของพระเจ้าซึ่งเสนอให้เขา และเตรียมต้วที่จะถูกเนรเทศจากที่ประทับของพระ องค์ และกลายเป็นเพื่อนของมาร อำเภอใจของพวกเขาจะถูกเพิกถอนโดยทันที การกระทำ ของพวกเขาจะถูกผูกมัดและถูกจำกัด (DBY, 63–64)

พระเจ้าไม่ทรงบังคับให้ใครยอมรับพระกิตติคุณ และข้าพเจ้าไม่คิดว่าพระองค์จะทรง บังคับให้พวกเขาดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณหลังจากที่พวกเขายอมรับแล้ว (DBY, 64)

พระองค์ประทานสิทธิพิเศษของการเลือกเพื่อตัวเองแก่เรา ไม่ว่าดีหรือชั่ว แต่ผลของการ เลือกยังคงอยู่ในอำนาจของพระองค์ (DBY, 62)

กฎนิรันดร์ซึ่งโดยกฎนั้นพระองค์และคนอื่นๆ ทั้งหมดเป็นอยู่ในความเป็นนิรันดร์ฃอง พวกพระผู้เป็นเจ้า ประกาศิตว่าจะต้องได้รับความเห็นชอบจากสรรพสิ่งที่ถูกสร้าง โดย เฉพาะมนุษย์ก่อนที่พระผู้สร้างจะทรงปกครองได้อย่างลมบูรณ์ (DBY, 65)

ข้าพเจ้าจะไม่บังคับให้ชายหรือหญิงไปสวรรค์ คนส่วนมากคิดว่าพวกเราลามารถใช้แล้ หวดต้อนคนไปสวรรค์ได้ แต่ไม่มีทางทำเช่นนั้น เพราะดวงปัญญาที่อยู่ในเราเป็นอิสระเช่น เดียวกับพวกพระผู้เป็นเจ้า ผู้คนจะถูกบังคับไม่ได้ ท่านจะน่าเอาจิตวิญญาณของลูกหลาน มนุษย์ไปไว้ในที่เล็กๆ เหมือนใส่แมลงเพื่อบังคับให้เข้าไปสวรรค์ไม่ได้ ท่านจะทำได้ก็โดย การลอนเขาด้วยคำเทศนาอันรุนแรงถึงไฟนรก (DBY, 64)

ท่านจะรู้ว่าท่านได้รับการน่าไปในทางที่ถูกหรือผิด เช่นเดียวกับที่ท่านรู้ทางกลับบ้าน เพราะหลักธรรมทุกประการที่พระผู้เป็นเจ้าทรงเปิดเผยจะได้รับการยืนยันต่อความคิดของ มนุษย์ว่าหลักธรรมนั้นเป็นความจริง ทุกการเรียกของพระผู้เป็นเจ้าที่มีกับมนุษย์บนแผ่นดิน โลกมีหลักฐานที่พิสูจน์ได้ถึงความเป็นจริงของมัน (DBY, 65)

เป็นสิ่งที่มีเหตุผลหรือไม่ที่มนุษย์จะถูกบั่นทอนเสรีภาพเนื่องจากเขามีความปรารถนาที่ จะทำตามพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า? มนุษย์ต้องกล่าวคำหยาบคายเพื่อพิสูจน์ว่าเขามี อำเภอใจเช่นนั้นหรือ? ข้าพเจ้าขอยืนยันว่าไม่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนั้น ทั้งไม่จำเป็นต้อง พิสูจน์โดยการขโมยหรือทำความผิดใดๆ ข้าพเจ้าเป็นพยานต่อสวรรค์และต่อผู้อาศัยของ แผ่นดินโลกว่าข้าพเจ้าเป็นอิสระตั้งแต่กำเนิด และมีเสรีภาพต่อพระพักตร์พระผู้เป็นเจ้าเทพ และมนุษย์ ในขณะที่ข้าพเจ้าคุกเข่าลงลวดอ้อนวอนเช่นเดียวกับที่ข้าพเจ้าออกไปกล่าวคำ หยาบคายอย่างแน่นอน ข้าพเจ้ามีสิทธิ์ที่จะเรียกครอบครัวมารวมกันเพื่อสวดอ้อนวอนและ ข้าพเจ้าเชื่อว่าตามวิถีทางเช่นนี้พิสูจน์ว่าข้าพเจ้าเป็นคนที่มีอำเภอใจเช่นเดียวกันกับที่ข้าพเจ้าจะขโมย กล่าวคำหยาบคาย พูดปด และเมาสุรา (DBY, 65)

เมื่อเราแสดงให้เห็นถึงการเพื่อพังอย่างเคร่งดรัด เราถูกทำให้เป็นเหมือนทาสหรือ? ไม่ เลยมันเป็นวิธีเดียวบนผืนแผ่นดินโลกที่ท่านและข้าพเจ้าจะเป็นอิสระ…การที่พูดว่าเมื่อ ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอน ข้าพเจ้าไม่ได้ทำตามความปรารถนาในใจของข้าพเจ้าอย่างเสรีเช่น เดียวกับเมื่อข้าพเจ้ากล่าวคำหยาบคาย เป็นหลักธรรมที่ผิด…มนุษย์ที่ยอมตนต่อการเชื่อพัง อย่างเคร่งดรัดต่อข้อกำหนดของสวรรค์ กระทำตามความปรารถนาในใจของเขาเองและใช้ เสรีภาพเท่ากับที่เขาตกเป็นทาสแห่งตัณหาราคะ…ทั้งหมดที่พระเจ้าทรงเรียกร้องจากเราคือ การเชื่อฟังกฎแห่งชีวิต การเสียสละทุกรูปแบบที่พระเจ้าทรงขอจากผู้คนของพระองค์คือ การเชื่อฟังพันธสัญญาที่เราทำไว้กับพระผู้เป็นเจ้าอย่างเคร่งดรัด และนั่นคือการรับใช้พระ องค์ด้วยการอุทิศตนอย่างเต็มที่ (DBY, 225)

การเชื่อฟังความจริงจะทำให้เราสามารถอยู่ในที่ประทับ ของพระผู้ทรงฤทธานุภาพได้

การเชื่อฟังคือหลักธรรมที่เรียบง่ายที่สุด ธรรมดาที่สุด และนำไปปฏิบัติได้มากที่สุด หลัก ธรรมหนึ่งเท่าที่ท่านเคยคิดหรือรู้จัก (DBY, 220)

ผู้ที่เชื่อฟังเมื่อพระเจ้าประทานพระบัญชาแก่เขาโดยตรงย่อมเป็นสุข แต่ผู้ที่เชื่อฟังโดยไม่ ต้องได้รับพระบัญชาโดยตรงย่อมเป็นสุขยิ่งกว่า (DBY, 220)

หากเราฟังคำแนะนำ เราจะเป็นผู้คนที่ดีที่สุดในโลก เราจะเป็นแสงสว่างที่ตั้งอยู่บนภูเขา ซึ่งจะปิดบังไว้ไม่ได้ หรือเป็นเหมือนเทียนที่ตั้งอยู่บนเชิงเทียน (DBY, 219)

หากท่านปรารถนาที่จะได้รับและเป็นที่โปรดปรานของพระบิดาบนสวรรค์ จงทำตามพระ ประสงค์ของพระองค์ (DBY, 223)

หากใจของเราเปียมด้วยพระวิญญาณแห่งความจริง พระวิญญาณของพระเจ้า ไม่ สำคัญว่าพระคำแท้จริงจากสวรรค์จะเป็นอะไร เมื่อพระผู้เป็นเจ้าตรัส ไพร่ฟัาช้าแผ่นดินทุก คนของพระองค์ควรร้องตะโกนว่า “ฮาเลลูยา! สรรเสริญพระผู้เป็นเจ้า! เราพร้อมที่จะรับ พระคำเหล่านั่นเพราะนั่นคือความจริง” (DBY, 219)

ข้าพเจ้าปรารถนาเหลือเกินที่จะเห็นสมาชิกของศาสนาจักรพร้อมที่จะยอมรับพระคำแห่ง ความจริงทันทีที่พวกเขาได้ยิน เพราะว่าพระคำเหล่านั่นสอดคล้องกับความรู้สึกของพวกเขา อย่างสมบูรณ์ ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะได้ยินทุกคนร้องว่า “พระคำเหล่านั่นทำให้รู้สึกถึงพระ วิญญาณที่อยู่ในตัวข้าพเจ้า พระคำเหล่านั่นคือความชื่นชมของข้าพเจ้า อาหารและเครื่อง ดื่มของจิตวิญญาณข้าพเจ้า พระคำคือสายธารแห่งชีวิตนิรันดร มันช่างสอดคล้องกับความ รู้สึกของข้าพเจ้าเหลือเกินแทนที่จะเป็นไปในทางตรงกันข้าม (DBY, 219)

หากท่านหยุดบ่อยครั้งและพูดว่า ฉันไม่มือะไรจะแนะนำคุณ ฉันไม่บีคำตอบให้คุณใน เรื่องนี้ เพราะฉันไม่ได้การทรงนำจากพระวิญญาณและท่านเต็มใจที่จะให้ทุกคนในโลกนี้ รู้ ว่าท่านไม่รู้อะไรเลยในเมื่อท่านเป็นเช่นนั่น หากปราศจากพระวิญญาณแห่งการเปิดเผยจะ เป็นการดีกว่าถ้าท่านจะไม่ให้คำแนะนำตามวิจารณญาณของตนเอง (DBY, 219)

ทุกคนในอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าจะให้คำแนะนำเหมือนกันในทุกเรื่อง หากเขาจะ คอยจนกระทั่งเขามีพระดำริของพระคริสต์ในเรื่องนั้น แล้วทุกคนจะมีคำพูดและใจเดียวกัน ทุกคนจะเห็นพ้องกัน (DBY, 219)

ผู้คนเหล่านี้ต้องมีใจเดียวและความคิดเดียว พวกเขาต้องรู้พระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า และทำตามนั้น เพราะการรู้พระประสงคํก็เป็นเรื่องหนึ่ง และการที่จะให้ความปรารถนาของ เรา และนิสัยของเราเป็นไปตามสิ่งที่เราเข้าใจจริงๆ ว่าเป็นพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าก็ เป็นอีกเรื่องหนึ่ง (DBY, 221)

สิทธิชนยุคสุดท้ายที่เอาใจใส่พระคำของพระเจ้า ซึ่งประทานให้เขาในเรื่องการเมือง สังคมและการเงิน ข้าพเจ้ากล่าว และจะกล่าวอย่างอาจหาญว่า พวกเขาจะมีปัญญาโดย รวมมากยิ่งกว่าปัญญาของผู้คนของโลกนี้ซึ่งอยู่ในความมืด ข้าพเจ้ารู้สิ่งนี้โดยการเปิดเผย ของพระเจ้าพระเยซูคริสต์ และเป็นผลจากการกระทำของตัวข้าพเจ้าเอง ผู้ที่เอาใจใส่คำแนะ นำที่ให้กับเขาในเรื่องทางโลกก็ได้ปรับปรุงสถานะของตัวเองให้ดีขึ้นอย่างถาวรทั่งทางโลก และทางวิญญาณ (DBY, 219–20)

ทุกคนที่ได้รับชีวิตนิรันดรและความรอดจะได้รับสิ่งนี้ในเงื่อนไขเดียวเท่านั้นคือโดยการ เชื่อในพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้าและทำตามหลักธรรมที่เขาได้รับ เราคิดหาหนทางอื่นและ แผนแห่งความรอดอื่นออกหรือไม่? เราไม่มีทางคิดออก (DBY, 223–24)

วิธีที่ได้ผลมากที่สุดในการสถาปนาศาสนาของสวรรค์คือการดำเนินชีวิตตามนั้น แทนที่ จะยอมตายเพื่อสิ่งนั้น ข้าพเจ้าคิดว่าข้าพเจ้าพูดไม่ผิดหากจะกล่าวว่ามีสิทธิชนหลายคนที่ เต็มใจจะเสิ่ยชีวิตเพื่อศาลนาของตนมากกว่าที่จะดำเนินชีวิตตามนั้นอย่างชื่อสัตย์ ไม่มีการ พิสูจน์ใดที่จะแสดงต่อพระผู้เป็นเจ้า เทพ และมนุษย์ ว่าตนเองดำเนินชีวิตตามศาลนาอย่าง ชื่อสัตย์ ยิ่งไปกว่าการกสับใจอย่างแท้จริงจากบาปของตน เชื่อฟังกฎแห่งบัพคิศมาเพื่อการ ปลดบาป แล้วจากนั้นดำเนินต่อไปในการทำงานแห่งความชอบธรรมวันแล้ววันเล่า (DBY, 221)

ท่านคิดว่าผู้คนจะเชื่อฟังความจริงเพราะว่ามันจริงหรือไม่ หากพวกเขาไม่ได้รักความจริง นั้น? ไม่เลย พวกเขาจะไม่เชื่อฟัง คนเราเชื่อฟังความจริงเมื่อเขารักความจริง การเชื่อฟัง ความจริงอย่างเคร่งครัดเท่านั้นจึงจะทำให้ผู้คนลามารถอยู่ในที่ประทับของพระผู้ทรงฤทธานุภาพได้ (DBY, 220)

มีทักษะพิเศษใดบ้างไหมที่จะทำให้ผู้คนเหล่านี้เชื่อฟัง? มีเพียงอย่างเดียว หากท่านซึ่ง เป็นเอ็ลเดอร์แห่งอิสราเอลมีทักษะแห่งการสอนที่จะนำพระวิญญาณบริสุทธิ์มาสถิตอยู่ในใจ ของผู้คน ท่านก็ทำให้ผู้คนเชื่อฟังได้ นี่คือทักษะเดียวเท่านั้น สอนความจริงแก่ผู้คนลอน หลักธรรมที่ถูกต้องแก่พวกเขาแสดงให้พวกเขาเห็นว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดลำหรับพวกเขาและ ท่านคิดหรือว่าพวกเขาจะไม่เดินตามวิถีนั้น? พวกเขาจะเดินตามแน่นอน (DBY, 226)

เราเรียนรู้ที่จะเชื่อฟังด้วยความเต็มใจและทนรับการตีสอน เมื่อเรายอมรับพระวิญญาณแห่งความจริง

สิทธิชนที่ดำเนินชีวิตตามศาสนาจะได้รับการทำให้สูงส่ง เพราะพวกเขาจะไม่มีวันปฏิเสธ การเปิดเผยซึ่งพระเจ้าประทานให้หรือจะประทานให้ แม้ว่าคำสอนที่ได้รับนั้น พวกเขาจะ เข้าใจอย่างสมบูรณ์ไม่ได้ พวกเขาก็จะกล่าวว่า “พระเจ้าประทานคำสอนนี้แก่ข้าพเจ้าและ ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนขอให้พระองค์ทรงช่วยและป้องกันมีให้ข้าพเจ้าปฏิเสธสิ่งที่มาจากพระ องค์ และประทานความอดทนให้แก่ข้าพเจ้าเพื่อจะคอยจนกว่าข้าพเจ้าจะเข้าใจสิ่งนั้นได้ ด้วยตนเอง” (DBY, 224)

บุคคลเช่นนั้นจะไม่มีวันปฏิเสธ แต่จะยอมให้เรื่องต่างๆ ที่พวกเขาไม่เข้าใจคงอยู่เช่นนั้น จนกว่าวิสัยทัศน์ในความคิดของพวกเขาจะเปิดขึ้น นี่คือวิถีทางที่ข้าพเจ้าดำเนินตามโดยไม่หันเหไปทางอื่น และหากมีสิ่งใดมาถึงโดยที่ข้าพเจ้ามีอาจเข้าใจได้ ข้าพเจ้าจะสวดอ้อนวอน จนกว่าข้าพเจ้าจะเข้าใจ (DBY, 224)

อย่าปฏิเสธสิ่งใดเพราะเห็นว่ามันใหม่หรือแปลก และอย่าหัวเราะเยาะหรือเย้ยหยันสิ่งที่ มาจากพระเจ้า เพราะหากเราทำเช่นนั้น เราก็ทำให้ความรอดของเราอยู่ในอันตราย (DBY, 224)

ข้าพเจ้าเชื่อว่ามีนรกที่เกินจะทนได้สำหรับผู้คน สำหรับครอบครัวและคนโสด ที่พยายาม ยึดความจริงไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง และยึดความเท็จไว้ด้วยมืออีกข้างหนึ่ง ผู้ที่ประกาศว่าจะดำ เนินในการเชื่อฟังพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า และในขณะเดียวกันก็เข้าร่วมกับคนชั่วร้าย ด้วยจิตใจและด้วยการกระทำ (DBY, 223)

พระเจ้าประทานกฎ พระบัญญัติ และวิธีการของพระองค์ให้ลูกหลานมนุษย์ และกำหนด ให้พวกเขาเชื่อฟังอย่างเคร่งดรัด เราไม่ปรารถนาจะล่วงละเมิดกฎเหล่านั้นแต่เราจะรักษา กฎดังกล่าว เราไม่ปรารถนาจะเปลี่ยนแปลงพิธีการของพระองค์แต่เราจะปฏิบ้ดิตาม เราไม่ปรารถนาจะฝ่าฟืนพันธสัญญาอันเป็นนิจ แต่เราจะรักษาพันธสัญญานั้นร่วมกับบรรพบุรุษ ของเรา ร่วมกับพระเยซู ร่วมกับพระบิดาบนสวรรค์ของเรา ร่วมกับเหล่าเทพผู้ปริลุทธิ์และ เราจะดำเนินชีวิตตามพันธสัญญาเหล่านั้น (DBY, 220)

เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเรากำลังเชื่อฟังพระองค์?มีเพียงวิธีเดียวเท่านั้นที่เราจะรู้ได้วิธีนั้นก็ คือโดยการดลใจจากพระวิญญาณของพระเจ้าซึ่งเป็นพยานต่อวิญญาณของเราว่าเราเป็น ของพระองค์ เรารักพระองค์ และพระองค์ทรงรักเรา โดยวิญญาณแห่งการเปิดเผยเราจึงรู้ สิ่งนี้ เราไม่อาจมีพยานจากภายในตัวเราหากปราศจากวิญญาณแห่งการเปิดเผย เราไม่มี พยานจากภายนอกนอกจากโดยการเชื่อฟังพิธีการเท่านั้น (DBY, 224)

สิ่งใดที่ไม่บริสุทธิ์จะต้องพินาศสิ้นไปไม่ข้าก็เร็ว ไม่สำคัญว่าสิ่งนั้นจะเป็นอยู่ในศรัทธา และการปฏิบัติของบุคคล เมือง ประเทศ หรือรัฐบาล อาณาจักร นคร อำนาจ หรือบุคคล ที่ไม่ถกควบคุมโดยหลักธรรมที่บริลุทํธิ้และศักดิ์สิทํธิ้จะต้องล1มลลายและพินาศไปในที่สุด (DBY, 227)

เมื่อมีความรอดมาถึงข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะปฏิเสธหรือยอมรับมีนก็ได้ ในการยอมรับ ข้าพเจ้าเชื่อฟังอย่างไม่มีข้อสงลัยและยอมตนต่อพระผู้ทรงสร้างแผนดังกล่าวตลอดชีวิดของ ข้าพเจ้า พร้อมทั้งเชื่อฟังผู้ที่พระองค์ทรงแต่งตั้งให้ลอนข้าพเจ้า ในการปฏิเสธ ข้าพเจ้า เลือกทำตามการชี้นำของความปรารถนาของตัวเองมากกว่าที่จะท่าตามพระประสงค์ของพระ ผู้สร้าง (DBY, 390)

พระผู้เป็นเจ้าทรงบรรลุความปรารถนาไว้ในตัวเรา และเราควรพึงพอใจที่จะให้ความ ปรารถนานั้นถกควบคุมโดยพระประสงค์ของพระผู้ทรงฤทธานุภาพ (DBY, 264)

ในฐานะมนุษย์คนหนึ่งเราจะถูกตีลอนจนกว่าเราจะยอมตนอย่างเต็มที่ต่อพระเจ้าและ เป็นสิทธิชนที่แท้จริง (DBY, 226)

ข้าพเจ้ารู้ว่าเป็นเรื่องยากที่จะยอมรับการตีลอน เพราะไม่มีการตีลอนใดเป็นที่ชื่นใจแต่ เป็นเรื่องเศร้าใจ [ดู ฮีบรู 12:11] แต่หากบุคคลจะยอมรับการตีลอนและลวดอ้อนวอนขอให้ พระวิญญาณอันศักดิ์สิทธิ์สถิตอยู่กับเขา เพื่อเขาจะมีพระวิญญาณแห่งความจริงในใจของ เขา และแนบสนิทกับสิ่งที่พระเจ้าทรงพอพระทัย พระเจ้าจะประทานพระคุณแก่เขาเพื่อเขา จะลามารถอคทนต่อการตีลอนได้ และเขาจะยอมตนและยอมรับมีน โดยรู้ว่ามีนเป็นไปเพื่อ ความตีของเขา (DBY, 227)

ข้อแนะนำสำหรับการศึกษา

เรามีอำเภอใจที่จะเลือกความดีและความชั่ว แต่เราจะเลือก ผลจากการเลือกของเราไม่ได้

  • ทำไมจึง “เป็นสิ่งจำเป็นจริงๆ ที่จะต้องมีหลักธรรมตรงกันข้ามวางอยู่ต่อหน้า” ลูกๆ ของ พระผู้เป็นเจ้า และพวกเขาจำเป็นต้องมี “อำเภอใจของตนเอง”?

  • ประธานยังสอนว่า “มนุษย์จะก่อให้เกิดและควบคุมการกระทำของตนได้แต่เขาไม่ลามารถควบคุมผลของมันได้” (ดู ค.พ. 101:78 ด้วย) ในลักษณะใดบ้างที่คนบางคนเรียก ร้องเสริภาพในการเลือกขณะที่พยายามหลีกเลี่ยงผลของการเลือก?

  • ประธานยังจำกัดความไว้อย่างไรถึง “ความแตกต่างระหว่างคนชอบธรรมและคนบาป” เราจำกัดหรือเพิกถอนอำเภอใจของเราอย่างไร? ประธานยังสอนว่า “ผู้ที่ได้รับความสูงส่ง” “ไม่มีสิ่งผูกมัดหรือข้อจำกัดต่อสิทธิพิเศษของเขา” แท้จริงแล้วการเชื่อฟังอย่าง เคร่งครัดเพิ่มเสรีภาพของเราอย่างไร?

  • ทำไมพระผู้เป็นเจ้าจึง “ไม่ทรงบังคับให้ใครยอมรับพระกิตติคุณ…หรือดำเนินชีวิตตาม พระกิตติคุณหลังจากที่พวกเขายอมรับแล้ว”? (ดู ค.พ. 88:22–25, 32 ด้วย)

  • ทำไมประธานยังจึงเน้นว่าการเชื่อฟังเป็นการใช้อำเภอใจมากเท่ากับการไม่เชื่อฟัง? ทำไม “การเชื่อฟังอย่างเคร่งครัด…จึงเป็นวิธีเดียวบนผืนแผ่นดินโลกที่ท่านและข้าพเจ้าจะเป็น อิสระ”? (ดู โมไชยา 2:22–24 ด้วย)

การเชื่อฟังความจริงจะทำให้เราสามารถอยู่ในที่ประทับ ของพระผู้ทรงฤทธานุภาพได้

  • ทำไมการเชื่อฟังจึงเป็น “หลักธรรมที่เรียบง่ายที่สุด ธรรมดาที่สุด และนำไปปฎิบัติได้มาก ที่สุดหลักธรรมหนึ่ง” ? ทำไมการเชื่อฟังจึงทำให้เรา “ได้รับการโปรดปรานจากพระบิดา บนสวรรค์ของเรา”?

  • การมี “ใจเดียวและความคิดเดียว” หมายความว่าอย่างไร? การเชื่อฟังช่วยให้เราเป็น เช่นนั้นได้อย่างไร?

เราเรียนรู้ที่จะเชื่อฟังด้วยความเต็มใจและทนรับการตีสอน เมื่อเรายอมรับพระวิญญาณแห่งความจริง

  • จากคำพูดของประธานยัง อะไรคือพันธะของเราเมื่อเราไม่เข้าใจคำลอนหรือการเปิดเผย? (ดู ปัญญาจารย์ 12:13; ยอห์น 7:17; อีเธอร์ 12:6; ค.พ. 11:20 ด้วย)

  • เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเมื่อใดที่เรากำลังเชื่อฟังพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าและเราจะ สอนเรื่องการเชื่อฟังได้อย่างไร?

  • ความเต็มใจยินยอมให้ความปรารถนาของเราเป็นไปตามพระประสงค์ของพระผู้ทรง ฤทธานุภาพช่วยให้เราเป็นเหมือนพระผู้ช่วยให้รอดมากขึ้นได้อย่างไร? “การยอมตน อย่างเต็มที่ต่อพระเจ้า” หมายความว่าอย่างไร?

  • การตีสอนคือการแก้ไขให้ถูกต้องและการทำให้มริสุทธิ์ ทำไมการตีสอนจึงเป็นเรื่องยากที่ จะยอมรับ? (ดู ฮีบรู 12:11 ด้วย) ประธานยังสอนว่าเราจะทนรับการตีสอนได้อย่างไร? ผลของการตีสอนได้แก่อะไรบ้าง?

ภาพ
pioneers traveling by wagon

ผู้บุกเบิกในยุคต้นๆ เชื่อฝ้งการเรียกไหไปรวมกันที่ไซอัน ซึ่งบ่อยครั้งต้องเดินทางต้วยเกวียนที่ปกปิดมิดชิด

ภาพ
pioneers traveling

ภาพสิทธิชนในยุคต้นๆ แสดงถึงการเชื่อฟังของพวกเขาโดยยอมรับการเรียกของ ศาสดาที่ให้ตั้งถิ่นฐานในบิกฮอรันเบซิน รัฐไวโอมิง ในปี 1900