คำสอนของประธานศาสนจักร
บทที่ 39: การพิพากษานิรันดร


บทที่ 39

การพิพากษานิรันดร

“ข้าพเจ้าได้ข้อสรุป” ประธานบริคัม ยังประกาศ “ว่าเราจะถูกพิพากษาตามการกระทำที่ เราได้ทำไว้ขณะที่เรามีร่างกาย ตามความนึกคิดและเจตนาของใจเรา” (DNW, 17 Aug. 1869, 2; ดู ค.พ. 137:9 ด้วย) ท่านสอนอย่างชัดเจนว่าชายและหญิงทุกคนจะด้องถูกพิพากษา “ดวงปัญญาทุกดวงจะถูกพิพากษา…ตามงาน ศรัทธา ความปรารถนา ความ ซื่อตรงหรือความไม่ซื่อตรงต่อพระพักตร์พระผู้เป็นเจ้า ลักษณะนิสัยทุกอย่างของเขาจะได้ รับคุณความดีหรือความไม่ดี และเขาจะถูกพิพากษาตามกฎแห่งสวรรค์” (DNW, 12 Sept. 1860, 2)

คำสอนของบริคัม ยัง

เราจะถูกพิพากษาตามงาน คำพูด ความคิดของเรา และการตอบสนองความจริง

นี่คือโลกที่เราต้องพิสูจน์ตนเอง ช่วงชีวิตของมนุษย์คือช่วงเวลาแห่งการทดลอง ซึ่งเราต้อง พิสูจน์ต่อพระผู้เป็นเจ้า ในภาวะที่เราขาดความสว่างทางวิญญาณ ในความอ่อนแอของเรา และที่ซึ่งศัตรูครอบครอง ว่าเราจะเป็นเพื่อนกับพระบิดาของเรา เราได้รับความสว่างจาก พระองค์และมีค่าควรต่อการเป็นผู้นําของลูกๆ ของเรา—โดยเฉพาะการเป็นพระเจ้าแห่ง พระเจ้าเป็นจอมกษัตริย์และมีการครอบครองมันสมบูรณ์เหนือส่วนที่เป็นครอบครัวของเรา ซึ่งจะได้รับการสวมมงกุฎด้วยรัศมีภาพ ความเป็นอมตะ และชีวิตนิรันดรั ในอาณาจักรชั้น สูง (DBY, 87)

ข้าพเจ้าทราบว่าวันแห่งการพิพากษาจะมาถึงท่านและข้าพเจ้าในไม่ช้า เป็นเวลานาน ก่อนที่เราจะทิ้งร่างกายนี้และเข้าสู่โลกแห่งวิญญาณ ข้าพเจ้าทราบอย่างแน่นอนว่าเมื่อเรา นอนลงการพิพากษาจะเกิดกับเรา และดังที่พระคัมภีร์เขียนว่า” เมื่อต้นไม้ล้มตรงไหนมันก็ นอนอยู่ตรงนั้น” [ดู ปัญญาจารย์ 11:3] หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ เมื่อเราตายการพิพากษาก็จะเกิดกับเรา (DBY, 382)

ความตายทำให้ผู้มีอำนาจสูงสุดมีฐานะเท่ากับขอทานที่ยากจนที่สุด และทั้งสองจะต้อง ยืนต่อหน้าบัลลังก์พิพากษาของพระคริสต์เพื่อตอบคำถามสําหรับการกระทำที่เราทำได้ขณะ ที่มีร่างกาย (DBY, 445)

ขอให้ทุกคนเชื่อตามที่เขาพอใจและทำตามความเชื่อมั่นในจิตใจของตัวเอง เพราะทุกคนมี เสรีภาพที่จะเลือกหรือปฏิเสธ พวกเขามีเสรีภาพในการรับใช้พระผู้เป็นเจ้าหรือปฏิเสธพระ องค์เรามีพระคัมภีร์ที่มีความจริงอันศักดิ์สิทธิ์ เรามีเสรีภาพที่จะเชื่อหรือปฏิเสธพระคัมภีร์ เหล่านั้นแต่เราจะถูกนำมาสู่การพิพากษาต่อพระพักตร์พระผู้เป็นเจ้าสำหรับสิ่งทั้งหมดนี้ เรา ต้องถวายรายงานแด่พระองค์ผู้ทรงมีสิทธิ์ที่จะเรียกให้เราถวายรายงานการกระทำเมื่อเราอยู่ ในร่างกาย (DBY, 67)

เวลาและความสามารถในการทำงานเป็นต้นทุนของมนุษยชาติทั้งมวลในโลก เราทุกคน เป็นหนี้พระผู้เป็นเจ้าสำหรับความสามารถในการใช้เวลาให้เกิดประโยชน์ และพระองค์ทรง เรียกร้องให้เรารับผิดชอบอย่างจริงจังในการใช้ความสามารถของเรา (DBY, 301)

ลูกหลานมนุษย์จะถูกพิพากษาตามงานของเขาไม่ว่าสิ่งนั้นจะดีหรือชั่ว หากวันเวลาของ มนุษย์เต็มไปด้วยงานดี เขาจะได้รับรางวัลตามนั้น ในทางตรงกันข้าม หากวันเวลาของเขา เต็มไปด้วยการทำความชั่ว เขาจะได้รับตามการกระทำของเขา…เมื่อใดที่ผู้คนตระหนักว่านี่ คือช่วงเวลาที่พวกเขาเริ่มวางรากฐานสำหรับความสูงล่งเพื่อกาลเวลาและนิรันดร เมื่อนั้นคือ เวลาที่เขาจะสร้างงานดีจากภายในจิตวิญญาณของเขาซึ่งจะนำเกียรติยศและรัศมีภาพมาสู่ พระผู้เป็นเจ้า ดังที่พระเยซูทรงกระทำ (DNW, 13 Apr. 1854, 1)

[พระผู้เป็นเจ้า] จะไม่ทรงต้องการรายละเอียดเกี่ยวกับการกระทำของเราเท่านั้นแต่คำพูด และความคิดของเราจะถูกนำมาสู่การพิพากษาด้วย (DBY, 301)

ทุกคนที่เชื่อ มีใจชื่อตรง และนำผลแห่งความชอบธรรมออกมา คือผู้ที่ได้รับเลือกของ พระผู้เป็นเจ้า และเป็นทายาทของทุกสิ่ง ทุกคนที่ปฏิเสธไม่ยอมเชื่อพังพระบัญญัติอันคักดิ์ สิทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้าและพิธีการในพระนิเวศน์ของพระองค์จะถูกพิพากษาตามคำพูดจาก ปากของเขา พวกเขาจะกล่าวโทษตนเองดังที่ทำอยู่ขณะนี้ พวกเขาจะถูกพิจารณาว่าไม่มีค่า ควรและจะไม่มีส่วนหรือส่วนแบ่งใดๆ กับผู้ชอบธรรม (DBY, 383–84)

ใครบางคนอาจพูดว่า “ถ้าฉันแน่ใจอย่างมากเลยว่าจะได้รับสถานะแห่งรัศมีภาพมากกว่า ที่เป็นอยู่ตอนนี้ ฉันคิดว่าฉันจะไม่ต้องทำอะไรให้ยุ่งยากเพื่อจะได้รับมากกว่านั้นอีก” ถ้า อย่างนั้นก็จงทำเกิดหากนั้นคือสิ่งที่ท่านต้องการจริงๆ ทุกคนบนแผ่นดินโลกมีสิทธิพิเศษ มี พระกิตติคุณไว้สั่งสอน แต่ บาปกลับแพร่หลาย บางคนตายทางวิญญาณและบางคนก็ต่อ ด้านพระกิตติคุณ—บางคนยอมรับมันและบางคนไม่ยอมรับ แต่นี่คือบาปของผู้คน—พวก เขารู้ความจริงแต่ปฏิเสธ นี่คือบาปของโลก “ความสว่างได้เข้ามาในโลกแล้ว แต่มนุษย์ได้รัก ความมีดมากกว่ารักความสว่าง เพราะกิจการของเขาเลวทราม” [ดู ยอห์น 3:19] พระเยซู ตรัสเช่นนั้นในสมัยของพระองค์ เรากล่าวว่า นี่คือพระกิตติคุณแห่งชีวิตและความรอด ทุก คนที่ยอมรับจะมีรัศมีภาพ เกียรติ ความเป็นอมตะ และชีวิตนิรันดร์เป็นของพวกเขา หาก พวกเขาปฏิเสธมันพวกเขาจะเสี่ยงต่อการได้รับรางวัลที่น้อยกว่า (DBY, 384)

เมื่อความสว่างแห่งความรู้ของพระผู้เป็นเจ้ามาสู่มนุษย์ และเขาปฏิเสธมัน นั่นคือการ กส่าวโทษ (DBY, 383)

หลักธรรมแห่งชีวิตนิรันดร์ที่จัดตั้งไว้ต่อหน้าเรามีเจตนาเพื่อทำให้เราสูงส่งในอำนาจและ สงวนเราไว้จากความเสื่อมทราม หากเราเลือกวิถีที่ตรงกันข้าม ยอมรับและปฏิบัติหลักธรรม ที่นำไปสู่ความตาย ความผิดจะตกอยู่กับตัวเราเอง หากเราล้มเหลาที่จะได้รับความรอดที่ เรากำลังแสวงหา เราจะยอมรับว่าเราได้รับรางวัลทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการกระทำของเรา และยอมรับว่าเราได้ทำตามอำเภอใจอันเป็นอิสระที่ประทานให้เรา เราจะถูกพิพากษาตาม คำพูดจากปากของเรา ไม่ว่าเราจะได้รับการพิสูจน์ว่าถูกต้องหรือถูกกล่าวโทษ (DNW, 17 Aug. 1859, 1)

เราจะถูกพิพากษาตามการดำเนินชีวิต “ตามความสว่าง และความรู้ดีที่สุดเท่าที่ [เรา] มี”

เป็นที่ปรากฏแก่ข้าพเจ้า นับตั้งแต่วัยเยาว์จนถึงวันนี้ว่าเป็นเรื่องที่ไร้สาระสิ้นดี ที่จะพูด เกี่ยวกับผู้อาศัยของแผ่นดินโลกที่จากไปอย่างไม่มีวันกลับมาโดยเฉพาะคุณพ่อ คุณแม่ของ ข้าพเจ้า ของท่าน หรือบรรพบุรุษของเรา ผู้ที่ดำเนินชีวิตอย่างชื่อสัตย์ตามความสว่างและ ความรู้ดีที่สุดเท่าที่พวกเขามี แต่เพราะว่าพวกเขาไม่ได้รับพันธสัญญาอันเป็นนิจและฐานะ ปุโรหิตอันศักดิ์สิทธิ์ในระหว่างมีชีวิต พวกเขาจะต้องไปสู่นรกและเตาไพ่ชั่วนิรันดร นั่นเป็น เรื่องไร้สาระสำหรับข้าพเจ้า มันเป็นเช่นนั่นเสมอมา และก็ยังเป็นเช่นนั้น (DBY, 384)

ชายหรือหญิงต้องรู้วิถีทางของพระผู้เป็นเจ้าก่อนที่พวกเขาจะไม่ยอมรับพระผู้เป็นเจ้า บุคคลอาจเป็นคนบาป อาจเป็นคนไม่ชอบธรรม อาจเป็นคนชั่วร้าย ผู้ไม่เคยได้ยินแผนแห่ง ความรอด ผู้ไม่คุ้นเคยกับประวัติของบุตรมนุษย์ หรือผู้เคยได้ยินพระนามของพระผู้ช่วยให้ รอดและบางทีเคยได้ยินประวัติพระชนม์ชีพของพระองค์ขณะอยู่บนแผ่นดินโลก แต่ถูกสอน ไม่ให้เชื่อเพราะประเพณีและการศึกษาของพวกเขา แต่การไม่ยอมรับพระผู้เป็นเจ้านั่น พวกเขาต้องเข้าใจความเป็นพระผู้เป็นเจ้าระดับหนึ่ง (DBY, 384)

ตราบที่เกี่ยวข้องกับความเป็นมตะ ผู้อาศัยของแผ่นดินโลกหลายล้านคนจะดำเนินชีวิต ตามความสว่างและความรู้ดีที่สุดที่เขาได้รับ—ตามความรู้ดีที่สุดที่เขามีข้าพเจ้าเคยบอกท่าน หลายครั้งแล้วว่าเขาจะได้รับตามงานของเขา และทุกคนที่ดำเนินชีวิตตามหลักธรรมที่ดีที่สุด เท่าที่พวกเขามี หรือเท่าที่พวกเขาเข้าใจ จะได้รับสันติ รัศมีภาพ ความสุขสบาย ความปีติ ยินดีและจะได้รับมงกุฎเกินกว่าที่พวกเขาคาดหวัง พวกเขาจะไม่ตายทางวิญญาณ (DBY, 384)

หาก [ผู้คน] มีกฎ ไม่ว่าใครจะตั้งมันขึ้นมา และเขาทำดีที่สุดเท่าที่พวกเขารู้ว่าจะทำ อย่างไรพวกเขาจะได้รับรัศมีภาพเกินกว่าจินตนาการของท่าน จากคำบรรยายใดๆ ที่ข้าพเจ้า อาจให้กับท่าน ท่านไม่สามารถเข้าใจได้แม้เพียงส่วนเล็กน้อยที่สุดเกี่ยวกับรัศมีภาพของพระ ผู้เป็นเจ้าที่ทรงเตรียมไว้สำหรับมนุษย์ อันเป็นงานแห่งพระหัตถ์ของพระองค์ (DBY, 385)

ข้าพเจ้ากล่าวกับปุโรหิตทุกคนบนผืนแผ่นดินโลก ข้าพเจ้าไม่สนใจว่าพวกเขาจะเป็นชาว คริสต์ เพกัน หรือ [อิสลาม] ท่านจะดำเนินชีวิตตามความสว่างของความรู้ที่ดีที่สุด เท่าที่ ท่านมี และถ้าท่านทำท่านจะได้รับรัศมีภาพทั้งหมดตามที่ท่านเคยคาดหวัง (DBY, 384–85)

ในที่สุด ทุกคนจะได้รับอาณาจักรแห่งรัศมีภาพยกเว้นบรรดาบุตรแห่งหายนะ

สานุศิษย์ของพระเยซูจะได้อยู่กับพระองค์แล้วที่เหลือจะไปไหน? ไปสู่อาณาจักรที่เตรียม ไว้ให้ ชึ่งที่นั่นพวกเขาจะอยู่และยืนยง พระเยซูจะทรงนำบุตรและธิดาทุกคนของอาอัมออก มาโดยการไถ่ของพระองค์เอง ยกเว้นบุตรแห่งหายนะซึ่งจะถูกขับไปอยู่ในนรก คนอื่นจะ ต้องทนรับพระพีโรธของพระผู้เป็นเจ้า—คือจะต้องทนรับทุกสิ่งที่พระเจ้าทรงเรียกร้องจาก มือของพวกเขาหรือความยุติธรรมเรียกร้องจากพวกเขา และเมื่อพวกเขาทนรับพระพีโรธ ของพระผู้เป็นเจ้าจนกระทั่งได้จ่ายทุกบาททุกสตางค์แล้ว พวกเขาจะถูกนำออกมาจากคุก นี่ คือคำสอนอันนำกลัวที่สอนกันหรือ? บางคนอาจพิจารณาว่ามันเป็นคำสอนที่นำกลัว แต่มัน เป็นความจริงที่ว่าทุกคนที่ไม่กระทำบาปในวันแห่งพระคุณ และกลับกลายมาเป็นเทพแทน ที่จะเป็นมาร จะถูกนำมาสู่การได้รับอาณาจักรแห่งรัศมีภาพ (DBY, 382, 2)

คนจำนวนมากจะพิสูจน์ตนว่ามีความชื่อสัตย์มากกว่าจะละทิ้งความเชื่อ ระดับหนึ่งของผู้ คนเหล่านี้จะไปยังอาณาจักรชั้นสูง ขณะที่คนอื่นๆ ไม่สามารถเข้าไปได้ เพราะว่าเขาไม่สา มารถอยู่ในกฎชั้นสูงได้ แต่เขาจะได้รับอาณาจักรดีที่สุดดังที่เขาปรารถนาและอาศัยอยู่ได้ (DBY, 383)

รัศมีภาพที่แตกต่างกันเหล่านี้ทั้งหมดได้รับการจัดวางไว้เพื่อให้เหมาะสมกับความสามารถ และสภาพของมนุษย์ (DNW, 13 Aug, 1862)

เราอ่านในพระคัมภีร์ไบเบิลว่ารัศมีภาพของดวงอาทิตย์ก็อย่างหนึ่ง รัศมีภาพของดวง จันทร์ก็อย่างหนึ่ง และรัศมีภาพของดวงดาวก็อย่างหนึ่ง [ดู 1 โครีนธ์ 15:40–42] ในคำสอน และพันธสัญญา [ดู ค.พ. 76] เรียกรัศมีภาพเหล่านี้ว่าชั้นด้น ชั้นกลาง และชั้นสูงซึ่งเป็น รัศมีภาพชั้นสูงสุด สิ่งเหล่านี้คือบรรดาโลก ซึ่งเป็นระดับชั้นหรือปราสาทที่แตกต่างกันใน พระนิเวศน์ของพระนิดาของเรา บัดนี้ชายหรือหญิงเหล่านี้ ผู้ที่ไม่รู้เกี่ยวกับอำนาจของพระผู้ เป็นเจ้าและอิทธิพลของพระวิญญาณบริสุทธิ์มากไปกว่าการ “ปล่อยให้ผู้อื่นนำไป โดยไม่ ต้องมีความเข้าใจส่วนตัวเลย หรือพึ่งพาศรัทธาของผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา จะไม่มีทางเข้าไปใน รัศมีภาพชั้นสูงเพื่อรับการสวมมงกุฎดังที่พวกเขาคาดหวังได้เลย พวกเขาจะไม่มีทางได้เป็น พวกพระผู้เป็นเจ้า พวกเขาจะปกครองตนเองไม่ได้ ไม่ต้องพูดถึงเรื่องการปกครองผู้อื่น พวกเขาต้องได้รับคำสั่งแมัในเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหมือนกับเด็กๆ พวกเขาควบคุมตนเองไม่ได้ แม้แต่น้อย แต่เจมส์ ปีเตอร์ หรือคนอื่นจะต้องควบคุมพวกเขา พวกเขาจะไม่มีทางเป็นพระ ผู้เป็นเจ้าได้ ทั้งจะไม่ได้รับการสวมมงกุฎด้วยรัศมีภาพ ความเป็นอมตะ และชีวิตนิรันดรั พวกเขาจะไม่มีวันได้ครอบครองรัศมีภาพ ความยิ่งใหญ่ และอำนาจในอาณาจักรชั้นสูงใคร จะได้? ผู้ที่เป็นอัศวิน และได้รับการดลใจด้วยอิสระแท้จริงของสวรรค์ ผู้จะออกไปอย่างกล้า หาญในการรับใช้พระผู้เป็นเจ้าของเขา ปล่อยให้ผู้อื่นทำสิ่งที่พวกเขาพอใจ มีความเด็ดเดี่ยว ในการทำสิ่งที่ถูกต้อง แม้ว่ามนุษย์ทั้งปวงจะเลือกวิถีทางตรงกันข้าม (DBY, 382–83)

หากคนชั่วร้ายซึ่งยังคงอยู่ในบาปภายใต้ความจำเป็นได้อยู่ในที่ประทับของพระบิดาและ พระบุตรพร้อมกับคนที่เชื่อว่าทุกคนจะรอดและพระเยซูจะไม่ทรงละทิ้งผู้ใด สภาพของคน เหล่านั้นก็จะทนทุกข์ทรมานและสุดจะทนได้ยิ่งกว่าอยู่ในทะเลเพลิงและกำมะถันเสียอีกคำ สอนที่ว่าใครรับบัพติศมาเท่านั้นที่จะรอดและสอนว่าเด็กทารกที่ยังไม่ได้รับบัพติศมาจะอยู่ ในนรก ขณะที่คนเป็นชู้ หมอเวทมนตร์ ขโมย คนโกหก คนสาบานเท็จ ฆาตกร และคนที่ น่าชิงชังอื่นๆ เพียงแต่กลับใจก่อนโดนประหารหรือก่อนตายจะได้รับการผลักดันให้เข้าในที่ ประทับของพระบิดาและพระบุตรตามคำสอนเดียวกันนั้นซึ่งถ้าหากพวกเขาเข้าไปได้จริงๆ มันจะเป็นนรกสําหรับพวกเขา (DBY, 385)

การลงโทษของพระผู้เป็นเจ้าจะเป็นแบบพระผู้เป็นเจ้า มันจะคงอยู่ตลอดไป เพราะว่าจะ ไม่มีเวลาใดที่คนเราไม่ถูกกล่าวโทษ และจะต้องมีนรกสําหรับล่งพวกเขาไปเสมอ การสาป แช่งในนรกยาวนานเพียงใดในนรกข้าพเจ้าหาทราบไม่ ทั้งระดับความทุกข์ทรมานที่พวกเขา ต้องทนก็ไม่ทราบเช่นกันหากเราสามารถคำนวณด้วยวิธีใดก็ตามว่าพวกเขารู้สึกผิดเกี่ยวกับ ความชั่วร้ายมากเพียงใด ก็เป็นไปได้ที่จะรู้ถึงปริมาณความทนทุกข์ที่พวกเขาจะได้รับ พวก เขาจะได้รับตามการกระทำของพวกเขาขณะที่ยังมีร่างกายการลงโทษของพระผู้เป็นเจ้าเป็น นิรันดร์ แต่นั้นไม่ได้หมายความว่าคนชั่วร้ายจะคงอยู่ในสภาพแห่งการลงโทษชั่วนิรันดร์ (DBY, 383)

ข้อแนะนำสำหรับการศึกษา

เราจะถูกพิพากษาตามงาน คำพูด ความคิดของเรา และการตอบสนองความจริง

  • ประธานยังสอนว่า “ช่วงชีวิตของมนุษย์คือช่วงเวลาแห่งการทดลอง” อะไรที่เราต้อง “พิสูจน์ต่อพระผู้เป็นเจ้า” ระหว่างความเป็นอยู่ในชีวิตมตะของเรา?

  • เราจะต้องรับผิดชอบอะไรบ้างในวันแห่งการพิพากษา? (ดู แอลมา 12:14; 41:3)

  • ใครคือผู้ที่พระผู้เป็นเจ้าทรงเลือก?

  • ประธานยังกล่าวว่าเราจะ “ถูกพิพากษาตามคำพูดจากปากของเราเอง” เราตั้งใจว่า “จะ ได้รับการพิสูจน์ว่าถูกต้องหรือถูกกล่าวโทษ” อย่างไร?

  • ประธานยังสอนว่าเราจะถูกพิพากษาตามการใช้เวลาของเรา ทำไมการใช้เวลาของเราจึง เป็นสิ่งสำคัญยิ่ง? ท่านจะพิพากษาวิธีที่ท่านใช้เวลาของท่านขณะนี้อย่างไร? ท่านเรียนรู้ จากสมาชิกคนอื่นๆ ของศาสนาจักร เพื่อนๆ และเพื่อนบ้านเกี่ยวกับการใช้เวลาของ พวกเขาให้ดีอย่างไรบ้าง?

เราจะถูกพิพากษาตามการดำเนินชีวิต “ตามความสว่าง และความรู้ดีที่สุดเท่าที่ [เรา] มี”

  • สภาพแวดล้อมหรือสภาพใดในชีวิตของผู้คนที่จะทำให้การพิพากษาของพระเจ้าเกี่ยวกับ ตัวพวกเขาเป็นเรื่องง่าย? เราจะประยุกต์หลักธรรมนี้กับวิธีที่เราให้ความเคารพผู้ที่มีความ เชื่อแตกต่างจากเราอย่างไร?

  • ตามคำพูดของประธานยังด้วยเงื่อนไขใดที่ มนุษย์จะได้รับ “สันติ รัศมีภาพ ความสุข สบาย…เกินกว่าที่พวกเขาคาดหวังไว้” หลังจากชีวิตนี้?

ในที่สุด ทุกคนจะได้รับอาณาจักรแท่งรัศมีภาพยกเว้นบรรดาบุตรแท่งหายนะ

  • ทำไมคนชั่วร้ายที่ตายในบาปจึงไม่สามารถทนต่อการอยู่กับพระบิดาและพระบุตรได้? (ดู มอรมอน 9:3–4; ค.พ. 88:22)

  • ประธานยังกล่าวว่าลูก ๆ ของพระบิดาบนสวรรค์ “จะได้รับอาณาจักรดีที่สุดคังที่พวกเขา ปรารถนาและอาศัยอยู่ได้” เราจะตัดสินใจได้อย่างไรว่าเราจะมีค่าควรต่อการได้รับอาณาจักรที่ปรารถนา?

  • ประธานยังสอนว่า ในที่สุดทุกคนจะได้รับอาณาจักรแห่งรัศมีภาพยกเว้นบรรดาบุตรแห่ง หายนะ สิ่งนี้สอนท่านเกี่ยวกับการอุทิศของพระบิดาแห่งสวรรค์เพื่อความยุติธรรมและ ความเมตตาอย่างไร? สิ่งนี้สอนท่านเกี่ยวกับความรักของพระองค์ที่มีต่อลูกๆ ของพระองค์อย่างไร?