คำสอนของประธานศาสนจักร
บทที่ 14: ของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์


บทที่ 14

ของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์

“หลังบัพติศมาและการยืนยัน เราจะเป็นเพื่อนของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้จะทรงสอนเราถึงวิถีของพระเจ้า กระตุ้นความคิดของเรา และช่วยเหลือเราให้เข้าใจความจริง”

จากชีวิตของโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ

ประธานโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธสอนว่า สมาชิกศาสนจักรที่ซื่อสัตย์ทุกคน “มีสิทธิ์ได้รับการเปิดเผยที่เป็นประโยชน์และจำเป็นสำหรับการนำทางส่วนตัวของเขา [หรือเธอ]”1 ท่านแสวงหาการนำทางส่วนตัวแบบนี้เสมอ โดยเฉพาะในความพยายามที่จะสอนและปกป้องบุตรธิดาของท่าน เอ็ลเดอร์ฟรานซิส เอ็ม. กิ๊บบอนส์ ซึ่งรับใช้เป็นเลขานุการให้ฝ่ายประธานสูงสุด เล่าถึงประสบการณ์ต่อไปนี้ ตามที่เรย์โนลด์ส (ชื่อเล่น เรยน์) บุตรชายของประธานสมิธเคยเล่าให้ฟัง

เรยน์เผยให้ฟังว่าเขาเคยเอาบุหรี่ใส่ปากเพียงครั้งเดียวในชีวิต เพียงชั่วประเดี๋ยวเท่านั้น มีเหตุการณ์เกิดขึ้นขณะเป็นนักเรียนที่โรงเรียนมัธยมปลายรูสเวลท์ จูเนียร์ ในซอลท์เลค ซิตี้ ทางเข้า [ของโรงเรียน] อยู่ติดกับถนนที่ไม่ค่อยมีรถแล่นผ่าน วันหนึ่ง เรยน์เดินออกประตูทางเข้าด้านหน้าพร้อมกับเพื่อนคนหนึ่งที่สูบบุหรี่และชักชวนเรยน์ดังที่เคยทำบ่อยๆ ให้ “ลองสักมวน” ในครั้งนี้ เขาชวนสำเร็จ เรยน์หยิบบุหรี่มาหนึ่งมวนและจุดไฟ ชั่วอึดใจต่อมา มีคนจอดรถข้างถนน คนในรถคือบิดาของเรยน์ ท่านหมุนกระจกรถลง เอ็ลเดอร์สมิธกล่าวกับลูกชายที่ตะลึงงัน ‘เรย์โนลด์ส พ่อมีเรื่องอยากคุยกับลูกคืนนี้ หลังอาหารค่ำ’ แล้วขับรถออกไป เรยน์เล่าว่า ‘เมื่อคุณพ่อเรียกผมว่า เรย์โนลด์ส ผมรู้ว่าคุณพ่อกำลังเอาการเอางาน’ เอ็ลเดอร์สมิธปล่อยให้เรยน์ไตร่ตรองถึงความผิดของเขาตลอดบ่ายและช่วงมื้อเย็น เมื่อท่านมีเรื่องจะพูดเล็กน้อยอย่างคาดไม่ถึง หลังจากนั้น เขานั่งลงอย่างอึดอัดในห้องอ่านหนังสือของบิดา … เรย์โนลด์สเผชิญหน้ากับการพิพากษา สิ่งที่เขาได้รับเป็นเพียงโอวาทที่เปี่ยมด้วยความรักความกรุณาเกี่ยวกับความชั่วร้ายของ “นิสัยน่ารังเกียจ” และคำเตือนว่าเขาเป็นใครและการปฏิบัติของเขาส่งผลอย่างไรกับทั้งครอบครัว จบด้วยข้อเรียกร้องให้เรย์โนลด์สสัญญาว่าเขาจะไม่คาบบุหรี่อีกต่อไป เรยน์ปฏิญาณว่า ‘สิ่งนี้จะไม่มีวันเกิดขึ้นอีกเลย’ เขากล่าว ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา รวมถึงช่วงเวลาในกองทัพเรือสหรัฐระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่การสูบบุหรี่กำลังแพร่ระบาด เขายังคงให้เกียรติคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้กับบิดา”

เมื่อนึกถึงประสบการณ์ดังกล่าว เอ็ลเดอร์กิ๊บบอนส์ตั้งข้อสังเกตว่า “เป็นเรื่องประหลาดที่โจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธปรากฎตัวขึ้นที่ถนนซึ่งไม่ใช่ทางผ่าน ขณะที่บุตรชายวัยหนุ่มของท่านจุดบุหรี่มวนแรกและมวนสุดท้าย ถึงแม้ว่าท่านจะไม่ได้พูดอะไรเลย แต่อากัปกิริยาและน้ำเสียงของเรยน์แสดงให้เห็นว่าเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เขารู้สึกถึงความล้ำลึกและพลังพิเศษของความละเอียดอ่อนทางวิญญาณของบิดา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสิ่งนี้เกี่ยวข้องกับความผาสุกของครอบครัวท่าน”2

คำสอนของโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ

1

พระพันธกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์คือการกล่าวคำพยานถึงพระบิดาและพระบุตร และความจริงทุกเรื่อง

พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นสมาชิกองค์ที่สามในพระผู้เป็นเจ้าสามพระองค์ พระองค์ทรงเป็นวิญญาณในรูปกายมนุษย์ พระบิดาและพระบุตรทรงเป็นพระอติรูปที่มีร่างกาย ทั้งสองพระองค์ทรงมีพระวรกายเป็นเนื้อหนังและกระดูก พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงมีรูปกายเป็นวิญญาณและทรงมีพระวรกายเป็นวิญญาณเท่านั้น [ดู คพ. 130:22] พระพันธกิจของพระองค์คือกล่าวคำพยานถึงพระบิดาและพระบุตรและความจริงทุกเรื่อง [ดู 2 นีไฟ 31:18; โมโรไน 10:5]3

พระองค์ทรงมีส่วนร่วมในงานของพระบิดาและพระบุตร ทรงเปิดเผยทั้งสองพระองค์ให้แก่คนที่รับใช้พระเจ้าด้วยความซื่อสัตย์ โดยผ่านคำสอนแห่งการปลอบโยน หรือพระวิญญาณบริสุทธิ์ ว่าสิ่งที่อัครสาวกกล่าวถึงเป็นคำสอนของพระเยซูคริสต์ [ดู ยอห์น 14:26] และการพยากรณ์มาถึงโดยผ่านคำสอนของพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ [ดู 2 เปโตร 1:21]4

พระวิญญาณพระผู้เป็นเจ้าที่ตรัสกับวิญญาณมนุษย์มีพลังในการประทานความจริงด้วยความเข้าใจและอิทธิพลมากกว่าความจริงที่มาจากการสัมผัสส่วนตัว แม้แต่กับสัตภาวะแห่งสวรรค์ โดยผ่านพระวิญญาณบริสุทธิ์ ความจริงแผ่ซ่านเข้าสู่ทุกเส้นใยและกล้ามเนื้อของร่างกายเพื่อจะไม่ลืมเลือนไปได้5

2

พระวิญญาณบริสุทธิ์แสดงความจริงให้ประจักษ์แก่คนซื่อสัตย์ทุกหนแห่ง

เราเชื่อว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์คือพระผู้เปิดเผย และพระองค์จะทรงเแสดงประจักษ์พยานต่อคนที่ซื่อสัตย์ทุกหนแห่ง ว่าพระเยซูคริสต์คือพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า โจเซฟ สมิธคือศาสดาพยากรณ์ และศาสนจักรแห่งนี้เป็น “ศาสนจักรที่แท้จริงและดำรงอยู่แห่งเดียวตลอดทั้งพื้นพิภพ” (คพ. 1:30)

ไม่จำเป็นที่ใครก็ตามต้องอยู่แต่ในความมืด แสงสว่างของพระกิตติคุณอันเป็นนิจอยู่ที่นี่ ผู้สนใจที่จริงใจทุกคนบนแผ่นดินโลกจะได้รับพยานส่วนตัวจากพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ถึงความจริงและธรรมชาติแห่งสวรรค์ในงานของพระเจ้า

เปโตรกล่าวว่า “… พระเจ้าไม่ทรงลำเอียง ทุกคนในทุกชนชาติที่เกรงกลัวพระองค์ และประพฤติตามทางชอบธรรมก็เป็นที่ชอบพระทัย” พระองค์ (กิจการ 10:34–35) ซึ่งหมายความว่าพระเจ้าจะทรงเทพระวิญญาณของพระองค์มาให้คนที่ซื่อสัตย์เพื่อพวกเขาจะทราบด้วยตนเองถึงความจริงของศาสนานี้6

พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงแสดงองค์ให้ประจักษ์กับใครก็ตามที่ทูลถามความจริง ดังที่ทรงทำกับโครเนลิอัส [ดูกิจการ 10] เรามีถ้อยคำเช่นนี้ในพระคัมภีร์มอรมอนโดยโมโรไน เมื่อท่านเขียนถ้อยคำทิ้งท้ายบันทึกของท่านใน บทที่ 10 ข้อ 4

“และเมื่อท่านจะได้รับเรื่องเหล่านี้, ข้าพเจ้าจะแนะนำท่านให้ทูลถามพระผู้เป็นเจ้า, พระบิดานิรันดร์, ในพระนามของพระคริสต์, ว่าเรื่องเหล่านี้จริงหรือไม่; และหากท่านจะทูลถามด้วยใจจริง, ด้วยเจตนาแท้จริง, โดยมีศรัทธาในพระคริสต์, พระองค์จะทรงแสดงความจริงของเรื่องให้ประจักษ์แก่ท่าน, โดยอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์”

มนุษย์ทุกคนสามารถได้รับปรากฏการณ์ของพระวิญญาณบริสุทธิ์ แม้เขาจะไม่ได้เป็นสมาชิกศาสนจักร หากเขาแสวงหาความสว่างและความจริงอย่างตั้งใจจริง พระวิญญาณบริสุทธิ์จะเสด็จมาประทานประจักษ์พยานแก่ผู้ที่กำลังแสวงหาและจากไป7

3

หลังจากบัพติศมา จะมอบของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้โดยการวางมือ

สัญญาที่ทำไว้ในสมัยเริ่มแรกของศาสนจักรของพระเยซูคริสต์ ว่าทุกคนที่จะกลับใจ รับบัพติศมาเพื่อการปลดบาปและซื่อสัตย์ ควรรับของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์โดยการวางมือ สัญญาเดียวกันนั้นได้ทำไว้กับทุกคนที่จะยอมรับพระกิตติคุณในสมัยการประทานนี้ด้วย เพราะพระเจ้าตรัสว่า

“และผู้ใดที่มีศรัทธา เจ้าจะยืนยันในศาสนจักรของเรา, โดยการวางมือ, และเราจะประสาทของประทานแห่งพระวิญญาญบริสุทธิ์แก่พวกเขา” [คพ. 33:15]8

ภาพ
Paiting of the Apostle Paul conferring the Gift of the Holy Ghost .

“เมื่อเปาโลวางมือบนตัวพวกเขาแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ก็เสด็จลงมาสถิตกับพวกเขา” (กิจการ 19:6)

ท่านไม่สามารถรับของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์โดยการสวดอ้อนวอนทูลขอ โดยการจ่ายส่วนสิบของท่าน โดยการรักษาพระคำแห่งปัญญา—หรือแม้แต่โดยการรับบัพติศมาเพื่อการปลดบาป ท่านต้องทำให้บัพติศมาสมบูรณ์ด้วยการบัพติศมาจากพระวิญญาณ ศาสดาพยากรณ์กล่าวในโอกาสหนึ่งว่าเหมือนกับท่านให้บัพติศมาถุงทราย หากไม่ได้ยืนยันเขาและมอบของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้เขาโดยการวางมือ ท่านไม่สามารถรับได้โดยวิธีอื่น9

ข้าพเจ้าเชื่อในหลักคำสอนของการวางมือเพื่อรับของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งนำเรามาสู่การติดต่อกับพระบิดาในสวรรค์และเรียนรู้วิถีของพระองค์ เพื่อเราจะเดินอยู่ในทางของพระองค์10

4

โดยผ่านของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ สมาชิกศาสนจักรสามารถมีพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นเพื่อนที่ยั่งยืน

พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นพระผู้ส่งสาร หรือพระผู้ปลอบโยน ซึ่งพระผู้ช่วยให้รอดทรงสัญญาไว้ว่าจะทรงส่งมาให้เหล่าสานุศิษย์หลังทรงถูกตรึงกางเขน พระผู้ปลอบโยนองค์นี้ โดยอิทธิพลของพระองค์ ทรงเป็นเพื่อนที่ยั่งยืนกับคนที่รับบัพติศมาแล้วทุกคน และทรงดูแลสมาชิกของศาสนจักรโดยการเปิดเผยและการนำทาง ประทานความรู้เกี่ยวกับความจริง เพื่อพวกเขาจะเดินในความสว่างนั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงจุดประกายความคิดของสมาชิกที่รับบัพติศมาแล้วอย่างแท้จริง โดยผ่านพระองค์ การเปิดเผยส่วนตัวมาถึง และแสงสว่างแห่งความจริงได้รับการสถาปนาในใจเรา11

หลังจากรับบัพติศมา เราได้รับการยืนยัน การยืนยันมีไว้เพื่ออะไร เพื่อทำให้เราเป็นเพื่อนกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ เพื่อมอบสิทธิพิเศษของการนำทางจากสมาชิกองค์ที่สามในพระผู้เป็นเจ้าสามพระองค์—ความเป็นเพื่อน เพื่อจุดประกายความคิดของเรา เพื่อเราจะได้รับการกระตุ้นโดยพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ในการแสวงหาความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับความสูงส่งของเรา12

หลังจากบัพติศมาและการยืนยัน เราจะกลายเป็นเพื่อนกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผู้จะทรงสอนเราถึงวิถีของพระเจ้า กระตุ้นความนึกคิดของเรา และทรงช่วยเราเข้าใจความจริง13

เราได้รับสัญญาว่าเมื่อเรารับบัพติศมา หากเราแน่วแน่และซื่อสัตย์ เราจะมีการนำทางของพระวิญญาณบริสุทธิ์ อะไรคือจุดประสงค์ของการนี้ เพื่อสอนเรา เพื่อกำกับดูแลเรา เพื่อเป็นพยานกับเราถึงหลักธรรมแห่งความรอดในพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ เด็กทุกคนที่อายุมากพอจะรับบัพติศมา และคนที่รับบัพติศมา มีสิทธิ์ได้รับการนำทางจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ ข้าพเจ้าได้ยินผู้คนกล่าวว่าเด็กเล็กๆ วัยแปดขวบไม่อาจเข้าใจได้ ข้าพเจ้าทราบดีกว่านั้น ข้าพเจ้ามีประจักษ์พยานถึงความจริงนี้ เมื่อข้าพเจ้าอายุแปดขวบ ซึ่งมาโดยผ่านพระวิญญาณบริสุทธิ์ ข้าพเจ้าได้รับสิ่งนี้นับแต่นั้นมา14

ช่างเป็นสิทธิพิเศษอันล้ำเลิศที่จะได้รับการนำทางอย่างยั่งยืนจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ และได้รับการแสดงให้ประจักษ์ถึงความล้ำลึกแห่งอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า15

5

ความเป็นเพื่อนของพระวิญญาณบริสุทธิ์มีให้เฉพาะคนที่เตรียมตัวรับเท่านั้น

นี่เป็นการตัดสินของข้าพเจ้าว่ามีสมาชิกศาสนจักรนี้หลายคนที่รับบัพติศมาเพื่อการปลดบาปแล้ว และผู้ที่ได้รับการวางมือบนศีรษะเพื่อรับของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว แต่ยังไม่เคยได้รับของประทานนั้น—นั่นคือ การแสดงให้ประจักษ์ถึงสิ่งนั้น เพราะเหตุใดหรือ เพราะพวกเขาไม่เคยเตรียมตัวรับการแสดงให้ประจักษ์เหล่านี้เลย พวกเขาไม่เคยนอบน้อมถ่อมตน พวกเขาไม่เคยเข้าสู่ขั้นตอนการเตรียมรับความเป็นเพื่อนของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงดำเนินชีวิตโดยปราศจากความรู้ พวกเขาขาดความเข้าใจ เมื่อคนฉลาดแกมโกงและเจ้าเล่ห์ในคราบของความหลอกลวงมาหาพวกเขา วิพากษ์วิจารณ์สิทธิอำนาจและหลักคำสอนของศาสนจักร สมาชิกที่อ่อนแอเหล่านี้จึงไม่มีความเข้าใจพอ ไม่มีข้อมูลพอ และไม่มีการนำทางพอจากพระพระวิญญาณของพระเจ้า เพื่อต่อต้านหลักคำสอนและคำสอนผิดๆ พวกเขาฟังและคิดเอาว่าตนเองอาจทำผิดพลาด และสิ่งแรกอย่างที่ท่านทราบ พวกเขาหาทางออกจากศาสนจักร เพราะพวกเขาไม่มีความเข้าใจ16

นี่เป็นพระบัญชาจากพระเจ้าว่าสมาชิกศาสนจักรควรขยันหมั่นเพียรในกิจกรรมของพวกเขา และศึกษาความจริงอันเป็นพื้นฐานของพระกิตติคุณดังที่เปิดเผยไว้ พระวิญญาณของพระเจ้าจะไม่ทรงพยายามต่อไปกับผู้ที่ไม่ใยดี ถือทิฐิ และคนกบฏ ผู้ล้มเหลวต่อการดำเนินชีวิตในความสว่างของความจริงจากเบื้องบน นี่เป็นสิทธิพิเศษของผู้รับบัพติศมาทุกคนที่จะมีประจักษ์พยานมั่นคงถึงการฟื้นฟูพระกิตติคุณ แต่ประจักษ์พยานนี้จะริบหรี่และมลายหายไปในที่สุด เว้นแต่เราจะได้รับความดีทางวิญญาณอย่างสม่ำเสมอโดยผ่านการศึกษา การเชื่อฟัง และการแสวงหาด้วยความขยันหมั่นเพียรที่จะรู้และเข้าใจความจริง17

ภาพ
A man sitting at a table with his scriptures open looking out the window.

“นี่เป็นพระบัญชาจากพระเจ้าว่าสมาชิกศาสนจักรควรขยันหมั่นเพียรในกิจกรรมของพวกเขาและศึกษาความจริงอันเป็นพื้นฐานของพระกิตติคุณ”

เรามีสิทธิ์ได้รับการนำทางจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่เราจะมีไม่ได้หากเราจงใจปฏิเสธที่จะพิจารณาการเปิดเผยที่ประทานแก่เรา เพื่อช่วยให้เราเข้าใจและนำทางเราในความสว่างและในความจริงของพระกิตติคุณอันเป็นนิจ เราไม่อาจหวังที่จะมีการนำทางเช่นนั้น เมื่อเราไม่ยอมพิจารณาการเปิดเผยที่สำคัญยิ่งเหล่านี้ ซึ่งมีความหมายมากมายต่อเราทั้งทางโลกและทางวิญญาณ บัดนี้ หากเราพบว่าตนเองตกอยู่ในสภาพของความไม่เชื่อหรือความไม่เต็มใจที่จะแสวงหาความสว่างและความรู้ที่พระเจ้าประทานเราไว้แค่เอื้อม เราก็กำลังเสี่ยงหรือตกอยู่ในอันตรายของการถูกวิญญาณร้ายหลอกลวง หลักคำสอนของเหล่ามาร และคำสอนของมนุษย์ [ดู คพ. 46:7] และเมื่ออิทธิพลผิดๆ เหล่านี้ถูกนำเสนอตรงหน้าเรา เราจะไม่มีความเข้าใจในการแยกแยะและทราบได้ว่านั่นไม่ได้มาจากพระเจ้า เราอาจกลายเป็นเหยื่อให้แก่พวกอาธรรม์ คนชั่วร้าย คนฉลาดแกมโกง และความฉ้อฉลของมนุษย์18

พระวิญญาณของพระเจ้าจะไม่ทรงสถิตในวิหารที่ไม่สะอาด และเมื่อบุคคลคนหนึ่งหันจากความจริงไปสู่ความชั่วร้าย พระวิญญาณนั้นไม่ทรงติดตามเขาแต่จะจากเขาไป และสิ่งที่เข้ามาแทนที่คือวิญญาณของความผิดพลาด วิญญาณของการไม่เชื่อฟัง วิญญาณของความชั่วร้าย วิญญาณของความพินาศนิรันดร์19

6

หากเรายังคงซื่อสัตย์ พระวิญญาณบริสุทธิ์จะประทานการเปิดเผยแก่เรา เพื่อนำและกำกับดูแลเราตลอดชีวิต

พระเจ้าทรงสัญญากับคนทั้งปวงที่จะกลับใจและยังคงซื่อสัตย์ ใช้วิญญาณของความอ่อนน้อมถ่อมตน และความขยันหมั่นเพียร ว่าพวกเขาจะมีสิทธิ์ได้รับการนำทางจากพระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้า พระวิญญาณองค์นี้จะทรงนำพวกเขาและทรงกำกับดูแลพวกเขาตลอดชีวิต20

สมาชิกศาสนจักรทุกคนได้รับการวางมือบนศีรษะเพื่อรับของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ เขามีสิทธิ์รับการเปิดเผยที่เป็นประโยชน์และจำเป็นต่อการนำทางส่วนตัว ไม่ใช่สำหรับศาสนจักร แต่สำหรับตัวเขาเอง เขามีสิทธิ์โดยการเชื่อฟังและความอ่อนน้อมถ่อมตนของเขา ที่จะรับความสว่างและความจริงดังที่เปิดเผยโดยผ่านพระวิญญาณแห่งความจริง คนที่จะสดับฟังพระวิญญาณนั้นและแสวงหาของประทานแห่งพระวิญญาณด้วยความนอบน้อมและศรัทธาจะไม่มีวันถูกหลอก21

ชีวิตเราต้องดำเนินชีวิตในความบริสุทธิ์ในความสว่างและในความจริงด้วยความเข้าใจที่ถูกต้อง ซึ่งมาโดยผ่านของประทานและอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งสัญญาไว้กับคนทั้งปวงที่จะเชื่อการกลับใจและรับพระวจนะแห่งชีวิตนิรันดร์ หากเราอยู่ในความเป็นเพื่อนกับพระวิญญาณองค์นี้ เราจะดำเนินชีวิตในความสว่างและมีความเป็นเพื่อนกับพระผู้เป็นเจ้า22

นับเป็นสิทธิพิเศษของสมาชิกศาสนจักรทุกคนที่จะรู้จักความจริง พูดโดยความจริง มีการดลใจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ นี่เป็นเอกสิทธิ์ของเรา โดยส่วนตัว … ที่จะรับความสว่างและดำเนินชีวิตในความสว่าง และหากเราดำเนินอยู่กับพระผู้เป็นเจ้าต่อไป ซึ่งคือ รักษาพระบัญญัติทุกข้อของพระองค์ เราจะได้รับความสว่างมากขึ้นจนในที่สุดวันที่สมบูรณ์ด้วยความรู้จะมาถึงเรา [ดู คพ. 50:24]23

เรากลับมายังที่ประทับของพระผู้เป็นเจ้าพระบิดาของเราได้ ในที่สุด โดยผ่านการนำทางของพระวิญญาณบริสุทธิ์24

ข้อเสนอแนะสำหรับศึกษาและสอน

คำถาม

  • เรื่องราวใน “จากชีวิตของโจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ” สอนอะไรบ้างเกี่ยวกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระวิญญาณทรงกระตุ้นเตือนท่านให้ช่วยเหลือคนบางคนเมื่อไร

  • ประธานสมิธกล่าวถึง “พระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้าตรัสกับวิญญาณของมนุษย์” (หัวข้อที่ 1) การสื่อสารกับวิญญาณของเราแตกต่างจากการสื่อสารกับหูหรือตาของเราในทางใดบ้าง การสื่อสารดังกล่าวมีพลังมากกว่ากันอย่างไร

  • ความแตกต่างบางอย่างระหว่างการได้รับปรากฏการณ์ของพระวิญญาณ ดังโครเนลิอัส กับการได้รับของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์คืออะไร (ดู หัวข้อที่ 2)

  • ประธานสมิธสอนว่าการบัพติศมาจะไม่สมบูรณ์หากปราศจากของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ (ดู หัวข้อที่ 3) ชีวิตของท่านจะไม่สมบูรณ์ในทางใดบ้างหากไม่มีของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์

  • ไตร่ตรองคำสอนของประธานสมิธในหัวข้อที่ 4 เกี่ยวกับความหมายของการมีพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นเพื่อนที่ยั่งยืน ท่านได้รับพรโดยผ่านความเป็นเพื่อนนี้ในทางใดบ้าง

  • เราสามารถทำอะไรได้บ้างเพื่อเตรียมรับความเป็นเพื่อนของพระวิญญาณบริสุทธิ์ (ตัวอย่างบางเรื่อง ดู หัวข้อที่ 5)

  • ขณะทบทวนหัวข้อที่ 6 ให้เอาใจใส่ต่อการนำทางที่เราสามารถได้รับโดยผ่านพระวิญญาณบริสุทธิ์ บิดามารดาจะช่วยให้บุตรธิดาของพวกเขาตระหนักและรับการนำทางนี้ได้อย่างไร

ข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง

ยอห์น 16:13; กิจการ 19:1–6; 1 โครินธ์ 12:3; 1 นีไฟ 10:17–19; 2 นีไฟ 31:15–20; 3 นีไฟ 19:9; คพ. 46:13; หลักแห่งความเชื่อ 1:4

ความช่วยเหลือด้านการสอน

“อย่ารู้สึกกังวลถ้าผู้เรียนเงียบไปสองสามนาทีหลังจากที่ท่านตั้งคำถาม อย่าตอบคำถามเสียเอง ให้เวลาผู้เรียนได้คิดหาคำตอบ อย่างไรก็ดี ความเงียบที่ยาวนานอาจชี้ให้เห็นว่าพวกเขาไม่เข้าใจคำถามและท่านจำเป็นต้องเรียบเรียงคำพูดเพื่อถามใหม่” (ไม่มีการเรียกใด ยิ่งใหญ่กว่าการสอน [1999] หน้า 69)

อ้างอิง

  1. ใน Conference Report, เม.ย. 1940 หน้า 96

  2. ฟรานซิส เอ็ม. กิ๊บบอนส์, Joseph Fielding Smith: Gospel Scholar, Prophet of God (1992), ⅹⅳ–ⅹⅴ

  3. จดหมายส่วนตัว, อ้างอิงใน Doctrines of Salvation, เรียบเรียงโดย บรูซ อาร์. แมคคองกี, ฉบับที่ 3 (1954–1956), 1:38; ปรับตัวเอนจากต้นฉบับ

  4. จดหมายส่วนตัว, อ้างอิงใน Doctrines of Salvation, 1:38

  5. “The Sin against the Holy Ghost,” Instructor, ต.ค. 1935, 431; ดู Doctrines of Salvation, 1:47–48 ด้วย

  6. “Out of the Darkness,” Ensign, มิถุนายน 1971 หน้า 4

  7. “Address by Elder Joseph Fielding Smith before Seminary Teachers,” Deseret News, 27 เม.ย. 1935, หัวข้อข่าวศาสนจักร, 7; ดู Doctrines of Salvation, 1:42 ด้วย

  8. “Avoid Needless Speculations,” Improvement Era, Dec. 1933, 866; ดู Doctrines of Salvation, 1:38–39 ด้วย

  9. “Address by Elder Joseph Fielding Smith before Seminary Teachers,” 7; ดู Doctrines of Salvation, 1:41; คำสอนของประธานศาสนาจักร: โจเซฟ สมิธ (2007) หน้า 102 ด้วย

  10. ใน Conference Report, เม.ย. 1915 หน้า 118

  11. Answers to Gospel Questions, รวบรวมโดย โจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ จูเนียร์, ฉบับที่ 5 (1957–1966), 2:149–150

  12. “Seek Ye Earnestly the Best Gifts,” Ensign, มิถุนายน ค.ศ. 1972 หน้า 2

  13. จดหมายส่วนตัว, อ้างอิงใน Doctrines of Salvation, 1:42

  14. ใน Conference Report, ต.ค. 1959 หน้า 19

  15. คำตอบของคำถามพระกิตติคุณ 4:90

  16. “จงแสวงหาของประทานที่ดีที่สุดอย่างตั้งใจจริง” หน้า 3

  17. ใน Conference Report, ต.ค. 1963 หน้า 22

  18. ใน Conference Report, ต.ค. 1952 หน้า 59–60; ดู Doctrines of Salvation, 1:43 ด้วย

  19. ใน Conference Report, เม.ย. 1962 หน้า 45

  20. ใน Conference Report, เม.ย. 1931 หน้า 68

  21. ใน Conference Report, เม.ย. 1940 หน้า 96

  22. ใน Conference Report, เม.ย. 1916 หน้า 74; ดู Doctrines of Salvation, 3:290 ด้วย

  23. “What a Prophet Means to Latter-day Saints,” Relief Society Magazine, ม.ค. 1941 หน้า 7

  24. ใน Conference Report, เม.ย. 1955 หน้า 51