การประชุมใหญ่สามัญ
การเป็นสานุศิษย์ผู้องอาจในยุคสุดท้าย
การประชุมใหญ่สามัญเดือนเมษายน 2022


การเป็นสานุศิษย์ผู้องอาจในยุคสุดท้าย

ขอให้เรามั่นใจ ไม่ขอขมา องอาจ ไม่เขินอาย เปี่ยมศรัทธา ไม่ขลาดกลัวขณะเราชูแสงของพระเจ้าในยุคสุดท้ายนี้

สิทธิ์เสรีทางศีลธรรมเป็นของประทานล้ำค่าของพระผู้เป็นเจ้าสำหรับบุตรธิดาแต่ละคนของพระองค์1 เรามี “อิสระที่จะเลือกเสรีภาพและชีวิตนิรันดร์, โดยผ่านพระผู้เป็นคนกลางที่ยิ่งใหญ่ของมวลมนุษย์, หรือจะเลือกการเป็นเชลยและความตาย, ตามการเป็นเชลยและอำนาจของมาร”2 พระผู้เป็นเจ้า จะไม่ ทรงบังคับเราทำดี และมาร ไม่อาจ บังคับเราทำชั่ว3 แม้บางคนอาจคิดว่าความเป็นมรรตัยคือการขับเคี่ยวกันระหว่างพระผู้เป็นเจ้ากับปฏิปักษ์ พระดำรัสหนึ่งจากพระผู้ช่วยให้รอดคือ “และซาตานเงียบและถูกขับออกไป … คนที่ถูกทดสอบพลัง [คือเรา]—ไม่ใช่พระผู้เป็นเจ้า”4

สุดท้ายแล้วเราจะเกี่ยวสิ่งที่เราเลือกหว่านมาทั้งชีวิต5 ดังนั้นผลรวมของความคิด ความปรารถนา คำพูด และการกระทำของเราบอกอะไรเกี่ยวกับความรักที่เรามีต่อพระผู้ช่วยให้รอด ผู้รับใช้ที่ทรงเลือก และศาสนจักรที่ได้รับการฟื้นฟูของพระองค์? พันธสัญญาบัพติศมา พันธสัญญาฐานะปุโรหิต และพันธสัญญาพระวิหารมีความหมายต่อเรามากกว่าคำสรรเสริญของโลกหรือจำนวนการกด “ถูกใจ” ในโซเชียลมีเดียหรือไม่? เรารักพระเจ้าและพระบัญญัติของพระองค์มากกว่าที่เรารักสิ่งอื่นหรือคนอื่นในชีวิตเราหรือไม่?

ปฏิปักษ์และผู้ติดตามของเขาพยายามทำลายงานของพระคริสต์และศาสดาพยากรณ์ของพระองค์มาโดยตลอด คนมากมายในโลกปัจจุบัน ถ้าไม่เพิกเฉยไปเลย ก็หาเหตุผลมาทำให้พระบัญญัติของพระผู้ช่วยให้รอดไร้ความหมาย ผู้ส่งสารของพระผู้เป็นเจ้าผู้สอนความจริงที่ “ยุ่งยาก” มักถูกละเลย แม้พระผู้ช่วยให้รอดเองยังถูกเรียกว่า “คนตะกละ คนขี้เมา”6 ถูกกล่าวหาว่ารบกวนความรู้สึกส่วนรวมและสร้างความแตกแยก คนที่อ่อนแอและเสแสร้งต่าง “ปรึกษากันหาทางทำให้พระองค์ทรงติดกับดักด้วยคำพูด”7 และ “นิกาย” คริสเตียนยุคแรกของพระองค์ “ถูกต่อต้านทุกแห่ง”8

พระผู้ช่วยให้รอดและผู้ติดตามยุคแรกรับการต่อต้านที่รุนแรงทั้งภายในและภายนอก และเราร่วมชะตากรรมเดียวกันนั้น ทุกวันนี้แทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะดำเนินชีวิตอย่างกล้าหาญตามความเชื่อของเราโดยไม่มีการเยาะเย้ยจากฝ่ายโลกไม่มากก็น้อยทั้งต่อหน้าและทางออนไลน์ การทำตามพระผู้ช่วยให้รอดอย่างมั่นใจมีรางวัล แต่เราอาจตกเป็นเป้าวิจารณ์ของผู้สนับสนุนปรัชญา “จงกิน, จงดื่ม, และจงรื่นเริงเถิด”9 ซึ่งศรัทธาในพระคริสต์ การเชื่อฟัง และการกลับใจถูกแทนที่ด้วยภาพลวงตาที่ว่าพระผู้เป็นเจ้าจะทรงแก้ต่างให้บาปเล็กน้อยเพราะพระองค์ทรงรักเรามาก

เมื่อมีพระดำรัส “ไม่ว่าโดยเสียง [ของพระองค์] เอง หรือโดยเสียงของผู้รับใช้ทั้งหลาย [ของพระองค์]”10 พระผู้ช่วยให้รอดมิได้ตรัสเกี่ยวกับยุคของเราหรือว่า “จะถึงเวลาที่คนจะทนต่อคำสอนที่ถูกต้องไม่ได้ แต่พวกเขาจะรวบรวมบรรดาอาจารย์ไว้สำหรับตน ตามความอยากของตัวเอง” และคนเป็นอันมาก “จะเลิกฟังความจริงและหันไปฟังนิยายต่างๆ”?11 พระองค์มิได้ทรงคร่ำครวญหรือว่า “พวกเขานมัสการเราโดยเปล่าประโยชน์ เพราะเอากฎเกณฑ์ของมนุษย์มาสอน”?12 มิได้ทรงเตือนหรือว่า “และจะมีบางคนในหมู่พวกท่านออกมาบิดเบือนความจริง เพื่อชักชวนสาวกให้หลงตามพวกเขาไป”?13 มิได้ทรงเห็นล่วงหน้าหรือว่า “ความชั่ว [จะถูกเรียกว่า] ความดี, และเรียกความดีว่าความชั่ว”14 และว่า “ผู้ที่อยู่ร่วมบ้านเดียวกันก็จะเป็นศัตรูต่อกัน”?15

แล้วพวกเราเล่า? เราควรจะท้อใจหรือหวั่นกลัวไหม? เราควรดำเนินชีวิตตามศาสนาของเราแบบหลบๆ ซ่อนๆ หรือไม่? แน่นอนว่าไม่! ด้วยศรัทธาในพระคริสต์ เราไม่จำเป็นต้องกลัวคำตำหนิของมนุษย์หรือกลัวคำเสียดสีของพวกเขา16 พระผู้ช่วยให้รอดทรงกุมหางเสือและศาสดาพยากรณ์ที่มีชีวิตนำและบอกทางเรา “ใครจะขัดขวางเราได้?”17 ขอให้เรามั่นใจ ไม่ขอขมา องอาจ ไม่เขินอาย เปี่ยมศรัทธา ไม่ขลาดกลัวขณะเราชูแสงของพระเจ้าในยุคสุดท้ายนี้18

พระผู้ช่วยให้รอดทรงบอกชัดเจนว่า “เพราะฉะนั้นทุกคนที่จะรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราจะรับผู้นั้นเฉพาะพระพักตร์พระบิดาของเรา … แต่ผู้ใดจะไม่ยอมรับเราต่อหน้ามนุษย์ เราก็จะไม่ยอมรับผู้นั้นเฉพาะพระพักตร์พระบิดาของเราด้วย”19

ดังนั้น แม้ว่าบางคนจะชอบพระผู้เป็นเจ้าที่เสด็จมาโดยไม่มีพระบัญญัติ แต่ขอให้เราเป็นพยานอย่างห้าวหาญ ดังถ้อยคำของเอ็ลเดอร์ดี. ทอดด์ คริสทอฟเฟอร์สันที่ว่า “พระผู้เป็นเจ้าผู้ไม่ทรงเรียกร้องสิ่งใดเลยมีค่าเท่ากับพระผู้เป็นเจ้าที่ไม่ทรงมีอยู่จริง”20

ในขณะที่บางคนชอบที่จะเลือกทำตามพระบัญญัติบางข้อ ขอให้เรายินดียอมรับพระดำรัสเชิญของพระผู้ช่วยให้รอดที่จะ “ดำเนินชีวิตตามคำ ทุก คำซึ่งออกจากพระโอษฐ์ของพระผู้เป็นเจ้า”21

แม้ว่าหลายคนที่เชื่อในพระเจ้าและศาสนจักรของพระองค์จะยอมรับการทำ “สิ่งใดก็ตามที่ใจ [เรา] ปรารถนา”22 ขอให้เราประกาศอย่างองอาจว่าเป็นเรื่องผิดที่จะ “ทำชั่วตามอย่างคนหมู่มาก”23 เพราะ “สิ่งใดที่พระผู้เป็นเจ้าทรงประกาศไว้ว่าผิด คนหมู่มากจะทำให้สิ่งนั้นกลายเป็นถูกไม่ได้”24

“โอ้จงจำไว้, จงจำไว้ … ว่าพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้าเคร่งครัดเพียงใด [แม้จะให้อิสระก็ตาม].”25 การสอนพระบัญญัติอย่างชัดเจนบางครั้งอาจดูเหมือนเป็นการกระทำที่ขาดขันติธรรม ดังนั้นขอให้เราแสดงออกด้วยความเคารพว่าการรักลูกพระผู้เป็นเจ้าที่น้อมรับความเชื่อต่างจากเราไม่เพียงเป็นเรื่องที่เป็นไปได้แต่ยังเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่ง

เรายอมรับและเคารพผู้อื่นได้โดยไม่ต้องเห็นด้วยกับความเชื่อหรือการกระทำที่ไม่สอดคล้องกับพระประสงค์ของพระเจ้า ไม่จำเป็นต้องพลีบูชาความจริงบนแท่นบูชาแห่งความเห็นพ้องต้องกันและความต้องการของสังคม

ไซอันกับบาบิโลนเข้ากันไม่ได้ “ไม่มีใครเป็นข้าสองเจ้า บ่าวสองนายได้”26 ขอให้เราทุกคนจดจำคำถามที่เสียดแทงใจของพระผู้ช่วยให้รอด “ทำไมพวกท่านเรียกเราว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า’ แต่ ไม่ ทำตามสิ่งที่เราบอกนั้น?”27

ขอให้เราแสดงความรักต่อพระเจ้าด้วยการเชื่อฟังอย่างหมดใจด้วยความสมัครใจ

หากท่านรู้สึกลังเลระหว่างการเป็นสานุศิษย์กับโลก โปรดจำไว้ว่าพระผู้ช่วยให้รอดผู้ทรงรักท่าน “ทรงส่งคำเชิญมา … เพราะพระพาหุแห่งพระเมตตายื่นมา [ให้ท่าน], และพระองค์ตรัส: จงกลับใจ, และเราจะรับเจ้าไว้.”28

ประธานรัสเซ็ลล์ เอ็ม. เนลสันสอนว่าพระเยซูคริสต์ “จะทรงทำงานยิ่งใหญ่ที่สุดบางอย่างระหว่างเวลานี้จนถึงเมื่อพระองค์เสด็จมาอีกครั้ง”29 แต่ท่านยังสอนอีกว่า “คนที่เลือกทางของพระเจ้ามีแนวโน้มจะต้องอดทนต่อการข่มเหง”30 การเป็นคนที่ “มีค่าสมควรได้รับการหลู่เกียรติเพราะพระนามนั้น”31 อาจเป็นภาระในบางครั้งเมื่อเรา “ยอมให้สุรเสียงของพระองค์มาก่อนเสียงอื่น”32

“ใคร ไม่มี เหตุสะดุดในตัวเรา” พระผู้ช่วยให้รอดตรัส “คนนั้นก็เป็นสุข”33 ในที่อื่นเราเรียนรู้ว่า “บรรดาผู้ที่ รัก ธรรมบัญญัติของพระองค์มีความสมบูรณ์พูนสุขอย่างมาก ไม่มีสิ่งใด ทำให้พวกเขาสะดุดได้”34 ไม่มีสิ่งใด! ดังนั้นจงถามตัวเราเอง “ฉันอดทนได้ระยะหนึ่ง แต่เมื่อความยากลำบากหรือการข่มเหงเกิดขึ้นเพราะพระวจนะนั้น ไม่ช้าไม่นานฉันก็สะดุดหรือไม่?35 ฉันตั้งมั่นอยู่บนศิลาของพระเยซูคริสต์และผู้รับใช้ของพระองค์หรือไม่?”

นักศีลธรรมเชิงสัมพัทธ์สนับสนุนว่าความจริงเป็นเพียงโครงสร้างทางสังคม ไม่มีศีลธรรมแบบสัมบูรณ์ จริงๆ แล้วพวกเขากำลังพูดว่าไม่มีบาป36 และว่า “อะไรก็ตามที่มนุษย์ [ทำไป] ย่อมไม่เป็นความผิด”37 นั่นคือปรัชญาที่ปฏิปักษ์กำลังอ้างด้วยความภาคภูมิใจว่าเป็นผู้เขียนขึ้นมา! ดังนั้นขอให้พวกเราระวังหมาป่าในคราบของแกะที่เข้ามาชักจูงคนอยู่เสมอและ “[มักจะใช้] ข้อสงสัยทางปัญญามากลบเกลื่อนพฤติกรรมพลาดพลั้ง [ของตนเอง]”38

หากเราต้องการเป็นสานุศิษย์ผู้องอาจของพระคริสต์จริงๆ เราจะหาหนทาง ไม่เช่นนั้นแล้ว ปฏิปักษ์จะเสนอทางเลือกที่ลวงให้หลง แต่ในฐานะสานุศิษย์ผู้ซื่อสัตย์ “เราไม่จำเป็นต้องขอขมาในความเชื่อของเรา ทั้งไม่ต้องถอยร่นจากสิ่งที่เรารู้ว่าเป็นความจริง”39

สุดท้ายนี้ ขอกล่าวถึงผู้รับใช้ของพระผู้เป็นเจ้า 15 ท่านด้านหลังข้าพเจ้า ในขณะที่โลก “กล่าวกับผู้ทำนายว่า ‘อย่าเห็นเลย’ และกล่าวกับผู้พยากรณ์ว่า ‘อย่าพยากรณ์’”40 คนที่ซื่อสัตย์จะได้ “สวมมงกุฎด้วยพรจากเบื้องบน …, แท้จริงแล้ว, และด้วยบัญญัติไม่น้อย, และด้วยการเปิดเผยเมื่อถึงเวลา.”41

ไม่แปลกที่ชายเหล่านี้จะกลายเป็นสายล่อฟ้าสำหรับคนที่ไม่พอใจกับพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้าที่ศาสดาพยากรณ์ประกาศไว้ ผู้ที่ปฏิเสธศาสดาพยากรณ์ไม่ได้ตระหนักว่า “ผู้หนึ่งผู้ใด [จะ] ตีความหมายคำของผู้เผยพระวจนะในพระคัมภีร์เอาเองไม่ได้” หรือตีความตามความต้องการของมนุษย์ไม่ได้ “แต่มนุษย์ผู้บริสุทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้าเหล่านั้น [กล่าวในเวลานี้ตามคำที่] พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงดลใจเขา”42

เช่นเดียวกับเปาโล ชายเหล่านี้ของพระผู้เป็นเจ้า “ไม่ … อับอายที่เป็นพยานของพระเจ้าของเรา” และเป็น “นักโทษ” ของพระองค์43 ในแง่ที่ว่าพวกท่านไม่ได้สอนหลักคำสอนของตนเอง แต่ของพระองค์ผู้ทรงเรียกพวกท่านมา เช่นเดียวกับเปโตร พวกท่าน “ไม่สามารถหยุดพูดในสิ่งที่ [พวกท่าน] ได้เห็นและได้ยิน”44 ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าฝ่ายประธานสูงสุดและโควรัมอัครสาวกสิบสองเป็นคนดีและซื่อสัตย์ที่รักพระผู้เป็นเจ้าและบุตรธิดาของพระองค์ และพระองค์ทรงรักท่านเหล่านี้ เราควรรับถ้อยคำของพวกท่านราวกับมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้าเอง “ด้วยความอดทนอย่างที่สุดและศรัทธา. เพราะโดยทำสิ่งเหล่านี้ประตูแห่งนรกจะเอาชนะ [เรา] ไม่ได้; … และพระเจ้า พระผู้เป็นเจ้าจะทรงทำให้พลังแห่งความมืดกระจายไปต่อหน้า [เรา].”45

“มือที่ไม่สะอาดไม่สามารถหยุดยั้งความก้าวหน้าของงานนี้ได้”46 งานนี้จะรุดหน้าต่อไปด้วยชัยชนะโดยที่มีหรือไม่มีท่านหรือข้าพเจ้า ฉะนั้น “จงเลือกเสียในวันนี้ว่าท่านจะปรนนิบัติใคร”47 อย่าถูกหลอกหรือหวั่นกลัวเพราะเสียงกวนใจของปฏิปักษ์ที่ดังออกมาจากอาคารใหญ่และกว้าง ความดังของเสียงที่สิ้นหวังเหล่านั้นไม่อาจเทียบได้กับอิทธิพลอันเงียบสงบของเสียงสงบแผ่วเบาที่มีต่อใจที่ชอกช้ำและวิญญาณที่สำนึกผิด

ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าพระคริสต์ทรงพระชนม์ พระองค์คือพระผู้ช่วยให้รอดและพระผู้ไถ่ของเรา และพระองค์ทรงนำศาสนจักรของพระองค์ผ่านฝ่ายประธานสูงสุดกับโควรัมอัครสาวกสิบสอง ดังนั้นจึงแน่ใจได้ว่าเราจะไม่ “ถูกซัดไปซัดมาและพัดไปพัดมาด้วยลมคำสั่งสอนทุกอย่าง”48

“สานุศิษย์ที่แท้จริงของพระเยซูคริสต์” ประธานเนลสันสอน “เต็มใจยืนหยัด กล้าพูด และแตกต่างจากผู้คนของโลก พวกเขาไม่หวั่นเกรงสิ่งใด อุทิศตน และกล้าหาญ”49

พี่น้องทั้งหลาย นี่เป็นวันดีที่จะทำตัวดี! ในพระนามอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูคริสต์ เอเมน