การประชุมใหญ่สามัญ
อาณาจักรแห่งรัศมีภาพ
การประชุมใหญ่สามัญเดือนตุลาคม 2023


อาณาจักรแห่งรัศมีภาพ

เรามีพระบิดาบนสวรรค์ผู้ทรงรักเรา พระองค์จะทรงช่วยให้เราได้รับพรทุกอย่างและผลประโยชน์ทุกอย่างตามที่ความปรารถนาและการเลือกของเราจะอำนวย

สมาชิกศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายถูกถามบ่อยครั้งว่า “ศาสนจักรของคุณต่างจากคริสเตียนอื่นอย่างไร?” ในบรรดาคำตอบที่เราให้คือความสมบูรณ์ของหลักคำสอนของพระเยซูคริสต์ สำคัญที่สุดในหลักคำสอนนั้นคือข้อเท็จจริงที่ว่าพระบิดาบนสวรรค์ทรงรักลูกทุกคนของพระองค์มากจนทรงต้องการให้เราทุกคนอยู่ในอาณาจักรแห่งรัศมีภาพตลอดไป ยิ่งไปกว่านั้น พระองค์ทรงต้องการให้เราอยู่กับพระองค์และพระเยซูคริสต์พระบุตรของพระองค์ชั่วนิรันดร์ด้วย แผนของพระองค์ให้คำสอนและโอกาสแก่เราที่จะเลือกเพื่อให้เราถึงจุดหมายและได้ชีวิตตามที่เราเลือก

1.

จากการเปิดเผยยุคปัจจุบันเรารู้ว่าจุดหมายสุดท้ายของทุกคนที่อยู่บนโลกไม่ใช่สวรรค์แบบที่รู้จักกันผิวเผินสำหรับคนชอบธรรมและความทุกข์นิรันดร์ในนรกสำหรับคนที่เหลือ แผนอันเปี่ยมด้วยความรักของพระผู้เป็นเจ้าสำหรับลูกๆ ของพระองค์รวมถึงความเป็นจริงนี้ที่พระผู้ช่วยให้รอดพระเยซูคริสต์ทรงสอน: “ในพระนิเวศของพระบิดาเรามีที่อยู่มากมาย”1

หลักคำสอนที่ทรงเปิดเผยให้ศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายที่ได้รับการฟื้นฟูสอนว่า ลูกทุกคนของพระผู้เป็นเจ้า—ด้วยข้อยกเว้นที่จำกัดเกินกว่าจะพิจารณาที่นี่—สุดท้ายแล้วจะได้รับหนึ่งในสามของอาณาจักรแห่งรัศมีภาพเป็นมรดก แม้อาณาจักรที่ต่ำสุดก็ยัง “เกินกว่าความเข้าใจทั้งปวง”2 หลังจากช่วงเวลาหนึ่งที่คนไม่เชื่อฟังทนทุกข์เพราะบาปของตน ซึ่งความทุกข์นั้นเตรียมพวกเขาให้พร้อมรับสิ่งที่จะตามมา ทุกคนจะฟื้นคืนชีวิตและรับการพิพากษาครั้งสุดท้ายจากพระเจ้าพระเยซูคริสต์ ที่นั่น พระผู้ช่วยให้รอดที่ทรงรักเรา ผู้ที่เราได้รับการสอนว่าทรง “สรรเสริญพระบิดา, และช่วยให้งานทุกอย่างในพระหัตถ์ของพระองค์รอด”3 จะทรงส่งลูกทุกคนของพระผู้เป็นเจ้าไปหนึ่งในอาณาจักรแห่งรัศมีภาพเหล่านี้ตามความปรารถนาที่แสดงให้ประจักษ์ผ่านการเลือกของพวกเขา

หลักคำสอนและหลักปฏิบัติพิเศษอีกเรื่องหนึ่งของศาสนจักรที่ได้รับการฟื้นฟูก็คือพระบัญญัติและพันธสัญญาที่ได้รับการเปิดเผย ซึ่งมอบสิทธิพิเศษศักดิ์สิทธิ์ของการมีคุณสมบัติรับรัศมีภาพระดับสูงสุดในอาณาจักรซีเลสเชียลให้ ลูกทุกคนของพระผู้เป็นเจ้า จุดหมายสูงสุดซึ่งคือความสูงส่งในอาณาจักรซีเลสเชียลนั้นเป็นจุดมุ่งหมายหลักของศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้าย

จากการเปิดเผยยุคปัจจุบัน วิสุทธิชนยุคสุดท้ายมีความเข้าใจพิเศษนี้เกี่ยวกับแผนแห่งความสุขของพระผู้เป็นเจ้าสำหรับลูกๆ ของพระองค์ แผนนั้นเริ่มด้วยชีวิตเราตอนเป็นวิญญาณก่อนเราเกิด และเปิดเผยจุดประสงค์กับเงื่อนไขของการเดินทางที่เราเลือกในความเป็นมรรตัยและจุดหมายที่เราปรารถนาหลังจากนั้น

2.

เรารู้จากการเปิดเผยยุคปัจจุบันว่า “อาณาจักรทั้งปวงมีกฎให้ไว้”4 และอาณาจักรแห่งรัศมีภาพที่เราได้รับในการพิพากษาครั้งสุดท้ายจะกำหนดให้ตามกฎที่เราเลือกทำตามในการเดินทางบนโลกนี้ของเรา ภายใต้แผนอันเปี่ยมด้วยความรักนั้น มีอาณาจักรต่างๆ—ปราสาทมากมาย—เพื่อให้ลูกทุกคนของพระผู้เป็นเจ้าได้รับอาณาจักรแห่งรัศมีภาพตามกฎที่พวกเขาสามารถ “ปฏิบัติตาม” อย่างสบายใจ

เมื่อพูดถึงลักษณะและข้อกำหนดของแต่ละแห่งของสามอาณาจักรนั้นในแผนพระบิดา เราเริ่มที่อาณาจักรสูงสุดซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายหลักของพระบัญญัติและศาสนพิธีศักดิ์สิทธิ์ที่พระผู้เป็นเจ้าทรงเปิดเผยผ่านศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้าย ในรัศมีภาพ “ซีเลสเชียล”5 มีสามระดับ6 ระดับสูงสุดคือความสูงส่งในอาณาจักรซีเลสเชียล เป็นที่พำนักของ “ผู้ได้รับความสมบูรณ์แห่งพระองค์, และรัศมีภาพแห่งพระองค์” ดังนั้น “พวกเขาเป็นผู้เป็นเจ้า, แม้บุตร [และธิดา] ของพระผู้เป็นเจ้า”7และ “พำนักในที่ประทับของพระผู้เป็นเจ้าและพระคริสต์ของพระองค์ตลอดกาลและตลอดไป”8 โดยผ่านการเปิดเผย พระผู้เป็นเจ้าทรงเปิดเผยกฎ ศาสนพิธี และพันธสัญญานิรันดร์ที่ต้องถือปฏิบัติเพื่อพัฒนาคุณลักษณะแบบพระผู้เป็นเจ้าอันจำเป็นต่อการทำให้ศักยภาพศักดิ์สิทธิ์นี้เป็นจริง ศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายมุ่งเน้นเรื่องเหล่านี้เพราะจุดประสงค์ของศาสนจักรที่ได้รับการฟื้นฟูแห่งนี้คือเพื่อเตรียมลูกๆ ของพระผู้เป็นเจ้าให้พร้อมรับความรอดในรัศมีภาพซีเลสเชียล และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความสูงส่งในระดับสูงสุดของอาณาจักรนั้น

แผนของพระผู้เป็นเจ้าซึ่งตั้งอยู่บนความจริงนิรันดร์กำหนดว่าเราสามารถบรรลุความสูงส่งผ่านความซื่อสัตย์ต่อพันธสัญญาของการแต่งงานนิรันดร์ระหว่างชายกับหญิงในพระวิหารศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น9 ซึ่งในท้ายที่สุดแล้วการแต่งงานนี้จะมีให้ผู้ซื่อสัตย์ทุกคน นั่นคือสาเหตุที่เราสอนว่า “เพศเป็นลักษณะพิเศษโดยเนื้อแท้อันบ่งบอกถึงอัตลักษณ์และจุดประสงค์ของปัจเจกบุคคลก่อนชีวิตมรรตัย ในชีวิตมรรตัย และในนิรันดร”10

คำสอนอันทรงคุณค่าอย่างยิ่งที่จะช่วยเราเตรียมรับความสูงส่งคือถ้อยแถลงเรื่องครอบครัวในปี 199511 ถ้อยแถลงนี้ชี้แจงข้อกำหนดที่เตรียมเราให้อยู่กับพระผู้เป็นเจ้าพระบิดาและพระบุตรของพระองค์ พระเยซูคริสต์ คนที่ไม่เข้าใจแผนอันเปี่ยมด้วยความรักของพระบิดาสำหรับลูกๆ ของพระองค์อย่างถ่องแท้อาจคิดว่าถ้อยแถลงเรื่องครอบครัวเป็นเพียงคำแถลงนโยบายที่เปลี่ยนแปลงได้ ในทางตรงกันข้าม เรายืนยันว่าถ้อยแถลงเรื่องครอบครัวซึ่งตั้งอยู่บนหลักคำสอนที่ลบล้างไม่ได้จะนิยามสัมพันธภาพครอบครัวมนุษย์ที่ส่วนสำคัญสูงสุดของพัฒนาการนิรันดร์ของเราสามารถเกิดขึ้นได้

อัครสาวกเปาโลพูดถึงรัศมีภาพสามระดับ โดยเปรียบกับรัศมีภาพของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และดวงดาว12 ท่านตั้งชื่อระดับสูงสุดว่า “ซีเลสเชียล” และระดับที่สองว่า “เทอร์เรสเตรียล”13 ท่านไม่ได้ตั้งชื่อระดับต่ำสุด แต่การเปิดเผยต่อโจเซฟ สมิธเพิ่มชื่อนี้ว่า: “ทีเลสเชียล”14 อีกการเปิดเผยหนึ่งพูดถึงลักษณะของบุคคลที่จะไปอยู่ในอาณาจักรแห่งรัศมีภาพแต่ละระดับด้วย คนที่ไม่เลือก “ปฏิบัติตามกฎของอาณาจักรซีเลสเชียล”15 จะได้รับอาณาจักรแห่งรัศมีภาพอื่นเป็นมรดก ซึ่งต่ำกว่าซีเลสเชียลแต่เหมาะกับกฎที่พวกเขาเลือกและสามารถ “ปฏิบัติตาม” ได้อย่างสบายใจ ในภาษาอังกฤษคำว่า abide ที่แปลว่า ‘ปฏิบัติตาม’ ในพระคัมภีร์ อาจบ่งบอกถึงการ ‘อดทน’ หรือ ‘ต้านทาน’ ได้เช่นกัน16 ตัวอย่างเช่น คนในอาณาจักรเทอร์เรสเตรียล—เทียบได้กับสวรรค์แบบที่คนส่วนมากเข้าใจกัน—“คือคนที่ได้รับพระสิริของพระบุตร, แต่มิได้รับความสมบูรณ์แห่งพระบิดา”17 พวกเขาคือ “คนน่ายกย่องสรรเสริญของแผ่นดินโลก, ผู้ที่มืดบอดโดยเล่ห์กลของมนุษย์”18 แต่ “ไม่องอาจในประจักษ์พยานถึงพระเยซู”19

คำอธิบายซึ่งเผยให้รู้เกี่ยวกับคนที่ได้รับอาณาจักรแห่งรัศมีภาพระดับต่ำสุดหรือทีเลสเชียลคือ “คนที่ปฏิบัติตาม … อาณาจักรเทอร์เรสเตรียลไม่ได้”20 ซึ่งพูดถึงคนที่ปฏิเสธพระผู้ช่วยให้รอดและไม่ประพฤติตามขอบเขตที่พระเจ้าทรงกำหนด นี่คืออาณาจักรที่คนชั่วอยู่หลังจากที่ทนทุกข์เพราะบาปของตนแล้ว ในการเปิดเผยยุคปัจจุบันพูดถึงคนเหล่านี้ว่าเป็น “คนที่หาได้รับพระกิตติคุณของพระคริสต์ไม่, ไม่ทั้งประจักษ์พยานถึงพระเยซู …

“คนเหล่านี้คือผู้ที่เป็นคนกล่าวเท็จ, และนักวิทยาคม, และผู้ล่วงประเวณี, และผู้ผิดประเวณี, และผู้ใดก็ตามที่รักและกล่าวคำเท็จ”21

ขณะพูดถึงอาณาจักรแห่งรัศมีภาพสามระดับตามนิมิตของศาสดาพยากรณ์ ประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสันเขียนเมื่อเร็วๆ นี้ว่า “ช่วงชีวิตมรรตัยแทบจะเป็นนาโนวินาทีเมื่อเทียบกับนิรันดร แต่นาโนวินาทีสำคัญอย่างยิ่ง! ลองพิจารณาให้ดีว่ามันเป็นอย่างไร: ในช่วงชีวิตนี้ท่านต้องเลือกว่าท่านเต็มใจเชื่อฟังกฎใด—กฎของอาณาจักรซีเลสเชียล หรือเทอร์เรสเตรียล หรือทีเลสเชียล—และท่านจะอยู่ชั่วนิรันดร์ในอาณาจักรแห่งรัศมีภาพอาณาจักรใด ช่างเป็นแผนที่ยิ่งใหญ่! เป็นแผนที่ให้เกียรติสิทธิ์เสรี ของท่าน โดยสมบูรณ์”22

3.

อัครสาวกเปาโลสอนว่าคำสอนและพระบัญญัติของพระเจ้าประทานให้เพื่อเราทุกคนจะได้ “​โต​เต็ม​ถึง​ขนาด​ความ​บริ‌บูรณ์​ของ​พระ‍คริสต์”23 กระบวนการนั้นเรียกร้องมากยิ่งกว่าการได้มาซึ่งความรู้ แม้แต่การ เชื่อมั่น ในพระกิตติคุณก็ไม่เพียงพอด้วยซ้ำ เราต้องกระทำจนเรา เปลี่ยนใจเลื่อมใส โดยพระกิตติคุณ ในทางตรงข้ามกับคำสั่งสอนอื่นที่สอนให้เรา รู้ บางอย่าง พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ท้าทายให้เรา เป็น บางอย่าง

จากคำสอนที่ว่ามา เราสรุปว่าการพิพากษาครั้งสุดท้ายไม่ได้เป็นเพียงการประเมินการดีและการชั่วทั้งหมดหรือสิ่งที่เราเคย ทำ เท่านั้น แต่ขึ้นอยู่กับผลสุดท้ายจากการกระทำและความคิดของเรา หรือสิ่งที่เรา เป็น ด้วย เรามีคุณสมบัติรับชีวิตนิรันดร์ผ่านกระบวนการ เปลี่ยนใจเลื่อมใส ตามที่ใช้ตรงนี้ คำที่มีหลายความหมายนี้หมายถึงการเปลี่ยนแปลงอันลึกซึ้งของนิสัย จึงไม่เพียงพอที่ใครจะทำแบบไม่ตั้งใจ พระบัญญัติ ศาสนพิธี และพันธสัญญาแห่งพระกิตติคุณไม่ใช่รายการเงินฝากที่ต้องฝากไว้ในบัญชีสวรรค์ พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์คือแผนซึ่งแสดงให้เราเห็นวิธีเป็นแบบที่พระบิดาบนสวรรค์ทรงปรารถนาให้เราเป็น24

4.

เพราะพระเยซูคริสต์และการชดใช้ของพระองค์ เมื่อเราขาดตกบกพร่องในชีวิตนี้ เราจึงสามารถกลับใจและกลับสู่เส้นทางพันธสัญญาซึ่งนำไปสู่สิ่งที่พระบิดาบนสวรรค์ทรงปรารถนาสำหรับเรา

พระคัมภีร์มอรมอนสอนว่า “ชีวิตนี้เป็นเวลาสำหรับ [เรา] ที่จะเตรียมพบพระผู้เป็นเจ้า”25 แต่ข้อจำกัดที่ท้าทายของ “ชีวิตนี้” มีคำอรรถาธิบายที่ให้ความหวัง (อย่างน้อยก็ระดับหนึ่งสำหรับบางคน) จากสิ่งที่พระเจ้าทรงเปิดเผยต่อประธานโจเซฟ เอฟ. สมิธ ซึ่งปัจจุบันบันทึกไว้ใน หลักคำสอนและพันธสัญญาภาค 138 “ข้าพเจ้าเห็น” ศาสดาพยากรณ์เขียน “ว่าเอ็ลเดอร์ที่ซื่อสัตย์ของสมัยการประทานนี้, เมื่อพวกเขาออกไปจากชีวิตมรรตัย, ทำงานของพวกเขาต่อไปในการสั่งสอนพระกิตติคุณแห่งการกลับใจและการไถ่, โดยผ่านการพลีพระชนม์ชีพของพระบุตรองค์เดียวที่ถือกำเนิดของพระผู้เป็นเจ้า, ในบรรดาคนเหล่านั้นผู้อยู่ในความมืดและภายใต้พันธนาการแห่งบาปในโลกอันไพศาลแห่งวิญญาณของคนตาย.

“คนตายผู้ที่กลับใจจะได้รับการไถ่, โดยการเชื่อฟังศาสนพิธีแห่งพระนิเวศน์ของพระผู้เป็นเจ้า,

“และหลังจากพวกเขารับโทษของการล่วงละเมิดของพวกเขา, และได้รับการชำระล้างให้สะอาดแล้ว, จะได้รับรางวัลตามงานของพวกเขา, เพราะพวกเขาเป็นทายาทแห่งความรอด”26

นอกจากนี้ เรารู้ด้วยว่ามิลเลเนียม หรือหนึ่งพันปีหลังการเสด็จมาครั้งที่สองของพระผู้ช่วยให้รอด จะเป็นเวลาทำศาสนพิธีที่จำเป็นให้แก่คนที่ไม่เคยได้รับในชีวิตมรรตัย27

มีมากมายที่เราไม่รู้เกี่ยวกับช่วงเวลาสำคัญสามช่วงในแผนแห่งความรอดและความสัมพันธ์กันของทั้งสามช่วงนั้น: (1) โลกวิญญาณก่อนเกิด (2) ความเป็นมรรตัย และ (3) ชีวิตหน้า แต่เรารู้ความจริงนิรันดร์เหล่านี้ว่า: “ความรอดเป็นเรื่องเฉพาะคน แต่ความสูงส่งเป็นเรื่องครอบครัว”28 เรามีพระบิดาบนสวรรค์ผู้ทรงรักเรา พระองค์จะทรงช่วยให้เราได้รับพรทุกอย่างและผลประโยชน์ทุกอย่างตามที่ความปรารถนาและการเลือกของเราจะอำนวย เรารู้เช่นกันว่าพระองค์จะไม่ทรงบังคับใครเข้าสู่ความสัมพันธ์ของการผนึกหากเขาหรือเธอไม่ประสงค์ พรของความสัมพันธ์ที่ผนึกแล้วรับประกันให้สำหรับทุกคนที่รักษาพันธสัญญา แต่จะไม่มีวันเกิดขึ้นจากการยัดเยียดความสัมพันธ์ที่ผนึกแล้วให้กับอีกฝ่ายที่ไม่มีค่าควรหรือไม่เต็มใจ

พี่น้องที่รัก ข้าพเจ้าเป็นพยานถึงความจริงของเรื่องเหล่านี้ และเป็นพยานถึงพระเจ้าพระเยซูคริสต์ “พระผู้ทรงลิขิตและพระผู้ทรงประสิทธิ์ศรัทธาของเรา”29 ผู้ซึ่งการชดใช้ของพระองค์ภายใต้แผนของพระบิดาในสวรรค์ทำให้ทั้งหมดเกิดขึ้นได้ ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน