การประชุมใหญ่สามัญ
บทเรียนศักดิ์สิทธิ์ในการเป็นบิดามารดา
การประชุมใหญ่สามัญเดือนตุลาคม 2023


บทเรียนศักดิ์สิทธิ์ในการเป็นบิดามารดา

บิดามารดาเข้าสู่การเป็นหุ้นส่วนกับพระบิดาบนสวรรค์เพื่อนำทางลูกๆ ที่ล้ำค่ากลับสวรรค์

ท่านเคยอุ้มทารกแรกเกิดไว้ในอ้อมแขนไหม? มีแสงส่องสว่างจากทารกแรกเกิดทุกคน นำมาซึ่งสายใยรักพิเศษที่ทำให้หัวใจพ่อแม่เปี่ยมปีติ1 นักเขียนชาวเม็กซิกันเขียนไว้ว่า “ผมเรียนรู้ว่าเมื่อทารกแรกเกิดบีบนิ้วมือพ่อด้วยกำปั้นน้อยๆ ของเขา เขาได้กุมหัวใจพ่อไว้ตลอดกาล”2

การเป็นบิดามารดาเป็นหนึ่งในประสบการณ์พิเศษสุดของชีวิต บิดามารดาเข้าสู่การเป็นหุ้นส่วนกับพระบิดาบนสวรรค์เพื่อนำทางลูกๆ ที่ล้ำค่ากลับสวรรค์3 วันนี้ข้าพเจ้าอยากจะแบ่งปันบทเรียนการเป็นบิดามารดาบางบทที่พบในพระคัมภีร์และสอนโดยศาสดาพยากรณ์ที่มีชีวิตอยู่เพื่อช่วยเราฝากมรดกเกี่ยวกับบิดามารดา

ปีนขึ้นที่สูงของวัฒนธรรมพระกิตติคุณ

เราต้องปีนขึ้นที่สูงของวัฒนธรรมพระกิตติคุณกับครอบครัวเรา ประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสันประกาศว่า: “ครอบครัวสมควรได้รับการนำทางจากสวรรค์ บิดามารดาไม่สามารถให้คำปรึกษาลูกๆ ได้มากพอจากประสบการณ์ ความกลัว หรือความเห็นอกเห็นใจส่วนตัว”4

แม้ว่าพื้นเพทางวัฒนธรรม รูปแบบการเป็นบิดามารดา และประสบการณ์ส่วนตัวของเราจะมีค่าสำหรับการเป็นบิดามารดา แต่ความสามารถเหล่านี้ไม่เพียงพอจะช่วยให้ลูกๆ ของเรากลับสวรรค์ เราต้องเข้าถึง “ชุดของค่านิยมและ … การปฏิบัติ”5ที่สูงขึ้น วัฒนธรรมที่มีทั้งความรักและความคาดหวัง ที่เราปฏิสัมพันธ์กับลูกๆ “ในวิธีที่สูงขึ้นและศักดิ์สิทธิ์ขึ้น”6 ประธานดัลลิน เอช. โอ๊คส์พูดถึงวัฒนธรรมพระกิตติคุณว่าเป็น “วิถีชีวิตที่แน่ชัด ชุดของค่านิยม ความคาดหวัง และการปฏิบัติ … วัฒนธรรมพระกิตติคุณนี้มาจากแผนแห่งความรอด พระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า และคำสอนของศาสดาพยากรณ์ที่มีชีวิตอยู่ วัฒนธรรมดังกล่าวชี้นำเราในการเลี้ยงดูครอบครัวและการดำเนินชีวิตส่วนตัวของเรา”7

พระเยซูคริสต์คือศูนย์กลางของวัฒนธรรมพระกิตติคุณนี้ การนำวัฒนธรรมพระกิตติคุณมาใช้ในครอบครัวเราจำเป็นอย่างยิ่งต่อการสร้างสภาพแวดล้อมอันสมบูรณ์ที่เมล็ดแห่งศรัทธาจะงอกงามได้ ในการปีนขึ้นสูงขึ้น ประธานโอ๊คส์เชื้อเชิญให้เรา “ละทิ้งประเพณีหรือการปฏิบัติส่วนตัวหรือในครอบครัวทุกอย่างที่ขัดกับคำสอนของศาสนจักรของพระเยซูคริสต์”8 บิดามารดาทั้งหลาย ความกลัวการสร้างวัฒนธรรมพระกิตติคุณอาจทำให้ปฏิปักษ์มีที่ยืนอยู่ในบ้านของเรา หรือแย่ยิ่งกว่านั้นคืออยู่ในใจลูกๆ ของเรา

เมื่อเราเลือกทำให้วัฒนธรรมพระกิตติคุณเป็นวัฒนธรรมเด่นในครอบครัว เมื่อนั้นอิทธิพลอันทรงพลังของพระวิญญาณบริสุทธิ์9 จะกลั่นกรอง ปรับแนวทาง ขัดเกลา และยกระดับรูปแบบการเป็นบิดามารดา ประเพณี และวิธีปฏิบัติที่เราทำอยู่ในปัจจุบัน

ทำให้บ้านเป็นศูนย์กลางของการเรียนรู้พระกิตติคุณ

ประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสันสอนว่าบ้านควรเป็น “ศูนย์กลางของการเรียนรู้พระกิตติคุณ”10 จุดประสงค์ของการเรียนรู้พระกิตติคุณคือ “ทำให้การเปลี่ยนใจเลื่อมใสพระบิดาบนสวรรค์และพระเยซูคริสต์ลึกซึ้งขึ้นและช่วยให้เราเป็นเหมือนพระองค์มากขึ้น”11 ขอให้เราพิจารณาหน้าที่รับผิดชอบสำคัญสามอย่างของการเป็นบิดามารดาที่ศาสดาพยากรณ์และอัครสาวกอธิบายไว้ซึ่งจะช่วยให้เราสามารถสร้างวัฒนธรรมพระกิตติคุณในบ้านเราให้สูงขึ้น

หนึ่ง: สอนอย่างเปิดเผย

พระบิดาบนสวรรค์ทรงสอนอาดัมเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์และหลักคำสอนของพระองค์ ทรงสอนเขาให้ “สอนสิ่งเหล่านี้อย่างเปิดเผยแก่ลูกหลาน [ของเขา]”12 หรืออีกนัยหนึ่ง พระบิดาบนสวรรค์ทรงสอนอาดัมให้สอนสิ่งเหล่านี้แบบเปิดกว้าง ด้วยความเผื่อแผ่ และไม่จำกัดไว้13 พระคัมภีร์บอกเราว่า “อาดัมกับเอวาถวายพระพรพระนามของพระผู้เป็นเจ้า, และพวกท่านทำให้เรื่องทั้งปวงเป็นที่รู้แก่บุตรของพวกท่านและธิดาของพวกท่าน”14

เราสอนลูกๆ ด้วยความเผื่อแผ่เมื่อเราใช้เวลาอย่างมีความหมายกับพวกเขา เราสอนแบบไม่จำกัดเมื่อเราสนทนาหัวข้อที่ละเอียดอ่อนเช่นเวลาหน้าจอโดยใช้แหล่งข้อมูลที่ศาสนจักรมีให้15 เราสอนแบบเปิดกว้างเมื่อเราศึกษาพระคัมภีร์กับลูกๆ โดยใช้ จงตามเรามา และปล่อยให้พระวิญญาณทรงเป็นครู

สอง: เป็นสานุศิษย์ต้นแบบ

ในหนังสือยอห์น เราอ่านว่าเมื่อชาวยิวหลายคนสงสัยความประพฤติของพระผู้ช่วยให้รอด พระเยซูทรงเพ่งความสนใจไปที่ต้นแบบของพระองค์ นั่นคือพระบิดา พระองค์สอนว่า “พระบุตรจะทำสิ่งใดตามใจไม่ได้ นอกจากที่ได้เห็นพระบิดาทำ เพราะสิ่งใดที่พระบิดาทำ สิ่งนั้นพระบุตรจะทำเหมือนกัน”16 บิดามารดาทั้งหลาย เราต้องทำอะไรเพื่อเป็นต้นแบบให้แก่ลูกๆ? เป็นสานุศิษย์

ในฐานะบิดามารดา เราสามารถสอนความสำคัญของการให้พระผู้เป็นเจ้ามาอันดับแรกเมื่อเราสนทนาเรื่องพระบัญญัติข้อแรก แต่เราเป็นต้นแบบเมื่อเราพักสิ่งบันเทิงใจทางโลกไว้ก่อนและรักษาวันสะบาโตให้ศักดิ์สิทธิ์ทุกสัปดาห์ เราสามารถสอนความสำคัญของพันธสัญญาพระวิหารเมื่อเราพูดถึงหลักคำสอนเรื่องการแต่งงานซีเลสเชียล แต่เราเป็นต้นแบบเมื่อเรารักษาพันธสัญญาของเราโดยปฏิบัติต่อคู่สมรสด้วยการให้เกียรติ

สาม: เชื้อเชิญให้กระทำ

ศรัทธาในพระเยซูคริสต์ควรเป็นแกนหลักของประจักษ์พยานของลูกๆ และประจักษ์พยานเหล่านี้ต้องมาถึงลูกแต่ละคนผ่านการเปิดเผยส่วนตัว17 เพื่อช่วยลูกๆ ของเราสร้างประจักษ์พยานของตนเอง เรากระตุ้นพวกเขาให้ใช้สิทธิ์เสรีเลือกสิ่งที่ถูกต้อง18 และเตรียมพวกเขาให้อยู่บนเส้นทางพันธสัญญาของพระผู้เป็นเจ้าชั่วชีวิต19

เป็นเรื่องฉลาดที่จะกระตุ้นลูกๆ แต่ละคนให้ตอบรับคำเชิญของประธานเนลสันที่จะรับผิดชอบประจักษ์พยานของตนเองเกี่ยวกับพระเยซูคริสต์และพระกิตติคุณของพระองค์—โดยพยายามให้ได้มา บำรุงเลี้ยงให้เติบโต ป้อนความจริงให้ และอย่าให้ปนเปื้อนกับปรัชญาเท็จของชายหญิงที่ไม่เชื่อ20

เป็นบิดามารดาที่ชอบธรรมและตั้งใจ

เราทราบความตั้งพระทัยในการเป็นพระบิดาของพระบิดาบนสวรรค์จากการเปิดเผยที่ประทานแก่โมเสส: “เพราะดูเถิด, นี่คืองานของเราและรัศมีภาพของเรา—คือการทำให้เกิดความเป็นอมตะและชีวิตนิรันดร์ของมนุษย์”21 ประธานเนลสันเสริมว่า “พระผู้เป็นเจ้าจะทรงทำทุกสิ่งที่ทำได้โดยไม่ละเมิดสิทธิ์เสรีของท่านเพื่อช่วยท่านไม่ให้พลาดพรประเสริฐสุดในนิรันดร”22

ในฐานะบิดามารดา เราเป็นตัวแทนของพระผู้เป็นเจ้าในการดูแลลูกๆ ของเรา23 เราต้องทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อจะสร้างสภาพแวดล้อมที่ลูกๆ สามารถรู้สึกถึงอิทธิพลของพระองค์

พระบิดาบนสวรรค์ไม่ทรงมุ่งหมายให้เราผู้เป็นบิดามารดานั่งสังเกตการณ์อยู่ข้างๆ คอยดูชีวิตทางวิญญาณของลูกค่อยๆ ปรากฏให้เห็น ข้าพเจ้าขออธิบายแนวคิดนี้ของการเป็นบิดามารดาที่ตั้งใจโดยใช้ประสบการณ์ส่วนตัว สมัยข้าพเจ้าเรียนปฐมวัยในสาขาเล็กๆ ในกัวเตมาลา คุณพ่อคุณแม่เริ่มสอนข้าพเจ้าเรื่องคุณค่าของปิตุพร คุณแม่ใช้เวลาแบ่งปันประสบการณ์ของการได้รับปิตุพรที่ล้ำค่าของท่าน ท่านสอนหลักคำสอนที่เกี่ยวข้องกับปิตุพร และเป็นพยานถึงพรที่สัญญาไว้ การเป็นแม่ที่ตั้งใจของท่านเป็นแรงบันดาลใจให้ข้าพเจ้าปรารถนาจะรับปิตุพรของตนเอง

เมื่อข้าพเจ้าอายุ 12 ปี คุณพ่อคุณแม่ช่วยข้าพเจ้าค้นหาผู้ประสาทพร เรื่องนี้จำเป็นเพราะไม่มีผู้ประสาทพรในท้องถิ่นที่เราอยู่ ข้าพเจ้าเดินทางไปหาผู้ประสาทพรที่อยู่ในสเตคห่างออกไป 156 กิโลเมตร (97 ไมล์) และจำได้ชัดเจนเมื่อผู้ประสาทพรวางมือให้พรบนศีรษะข้าพเจ้า ข้าพเจ้ารู้จากการยืนยันทางวิญญาณอันทรงพลังโดยไม่สงสัยว่าพระบิดาบนสวรรค์ทรงรู้จักข้าพเจ้า

สำหรับเด็กชายวัย 12 ปีจากเมืองเล็กๆ นั่นมีความหมายทุกอย่างสำหรับข้าพเจ้า ใจข้าพเจ้าหันมาหาพระบิดาบนสวรรค์วันนั้นเพราะการเป็นบิดามารดาที่ตั้งใจของคุณพ่อคุณแม่ และข้าพเจ้าจะสำนึกคุณต่อพวกท่านตลอดกาล

ซิสเตอร์จอย ดี. โจนส์ อดีตประธานปฐมวัยสามัญสอนว่า: “เราจะรอให้การเปลี่ยนใจเลื่อมใสเกิดขึ้นกับเด็กเองไม่ได้ การเปลี่ยนใจเลื่อมใสโดยบังเอิญ ไม่ใช่ หลักธรรมพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์”24 ความรักและคำเชื้อเชิญที่ได้รับการดลใจของเราสามารถสร้างความแตกต่างในวิธีที่ลูกๆ ใช้สิทธิ์เสรีของพวกเขา ประธานเนลสันเน้นย้ำว่า “ไม่มีงานอื่นใดอยู่เหนือกว่าการเป็นบิดามารดาที่ชอบธรรมและตั้งใจ!”25

สรุป

บิดามารดาทั้งหลาย โลกนี้เต็มไปด้วยปรัชญา วัฒนธรรม และแนวคิดที่แย่งความสนใจจากลูกๆ ของเรา อาคารใหญ่และกว้างโฆษณารับสมาชิกทุกวันโดยใช้ช่องทางสื่อส่วนใหญ่ในปัจจุบัน “แต่ในของประทานแห่งพระบุตรของพระองค์” ศาสดาพยากรณ์โมโรไนสอน “พระผู้เป็นเจ้าทรงเตรียมทางที่ประเสริฐยิ่งกว่า”26

เมื่อเราเป็นหุ้นส่วนกับพระผู้เป็นเจ้าผ่านพันธสัญญาและกลายเป็นตัวแทนของพระองค์ในการดูแลลูกๆ ของเรา พระองค์จะทรงชำระความตั้งใจของเราให้บริสุทธิ์ ดลใจการสอนของเรา และเสริมคำเชื้อเชิญของเราเพื่อ “ลูกหลานของเราจะรู้ว่าพวกเขาจะมองหาแหล่งใดเพื่อการปลดบาปของพวกเขา”27 ในพระนามของพระเยซูคริสต์ เอเมน