2020
อัครสาวกแบ่งปันข่าวสารแห่งความหวัง
ตุลาคม 2020


อัครสาวกแบ่งปัน ข่าวสารแห่งความหวัง

ผู้นำศาสนจักรให้ข้อคิดลึกซึ้งเกี่ยวกับการอยู่ใกล้ชิดพระผู้เป็นเจ้า การปฏิบัติศาสนกิจด้วยความรัก และการเดินหน้าต่อไปอย่างอดทนในช่วงเกิดโรคระบาด

ภาพ
women holding out their arms

ภาพถ่ายจาก Getty Images

ในการตอบสนองไวรัสที่แพร่ระบาดไปทั่วโลก เจ้าหน้าที่ห้ามการชุมนุมสาธารณะและดำเนินแผนการกักตัว สถานศึกษาปิด ผู้นำทางศาสนายกเลิกการประชุมที่โบสถ์ และผู้ออกนอกเคหสถานต้องสวมหน้ากากป้องกัน

ไข้หวัดใหญ่ที่เริ่มระบาดรุนแรงมากในปีก่อนปี 1919 ทำให้มีผู้เสียชีวิตหลายสิบล้านคน1 ประธานฮีเบอร์ เจ. แกรนท์ (1856–1945) ศาสดาพยากรณ์คนใหม่ของศาสนจักรได้รับการวางมือมอบหน้าที่ในเดือนพฤศจิกายนปี 1918 แต่ไม่ได้รับการสนับสนุนจนถึงเดือนมิถุนายนปี 1919 เพราะศาสนจักรเลื่อนการประชุมใหญ่สามัญเดือนเมษายนออกไป

ระหว่างการปฏิบัติศาสนกิจของประธานแกรนท์หลังช่วงวันท้าทายเหล่านั้นและวันอื่นๆ ท่านให้คำแนะนำที่เหมาะกับสมัยของเราเมื่อท่านกล่าวว่า “เรามาโลกนี้เพื่อรับความรู้ ปัญญา และประสบการณ์ เพื่อเรียนรู้บทเรียน รับความเจ็บปวด อดทนกับการล่อลวง และมีชัยเหนือชีวิตที่ตายได้” จากความรู้ที่ท่านได้รับผ่านการทดสอบอันหนักหน่วงของประสบการณ์ส่วนตัว ท่านเสริมว่า “ข้าพเจ้า … รู้ว่าในช่วงเวลาแห่งความยากลำบาก วิสุทธิชนยุคสุดท้ายจะได้รับการปลอบโยน พร และการปลอบขวัญอย่างที่คนอื่นไม่ได้รับ!”2

ใน “ช่วงเวลาแห่งความยากลำบาก” ณ ปัจจุบันของเราที่มีไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ เราดึงการปลอบโยนและการปลอบขวัญมาจากพระกิตติคุณที่ได้รับการฟื้นฟูของพระเยซูคริสต์ ความรู้ของเราที่ว่าพระบิดาบนสวรรค์ทรงรักบุตรธิดาของพระองค์และว่าพระองค์ทรงเรียกศาสดาพยากรณ์และอัครสาวกในสมัยของเราให้นำทางเราผ่านมรสุมของความเป็นมรรตัยนับเป็นพรใหญ่หลวง

จากคำแนะนำที่ให้ระหว่างการสัมภาษณ์เมื่อเร็วๆ นี้ สมาชิกโควรัมอัครสาวกสิบสองหลายท่านเตือนใจเราว่าเราสามารถรู้สึกปีติและนึกถึงอนาคตด้วยความหวังไม่ว่ารอบตัวเราจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม3

ภาพ
couple on computer

ภาพถ่ายโดย เวลเด็น ซี. แอนเดอร์เซ็น

งานเจริญก้าวหน้า

เอ็ลเดอร์บรูซ อาร์. แมคคองกี (1915–1985) เคยเปรียบศาสนจักรกับ “กองคาราวานกองใหญ่” ที่เคลื่อนไปข้างหน้าแม้มีการต่อต้าน4 เอ็ลเดอร์เดวิด เอ. เบดนาร์ถือว่ากองคาราวานขับเคลื่อนไปข้างหน้าอย่างมั่นคงเพราะการเตรียมพร้อมที่ได้รับการดลใจของศาสนจักรและประวัติกับความยากลำบากของศาสนจักร

“‘มือที่ไม่สะอาดไม่สามารถหยุดยั้งความก้าวหน้าของงานนี้ได้’5 และไม่มีโรคระบาดใดจะหยุดยั้งความก้าวหน้าของงานนี้ได้เช่นกัน” ท่านกล่าว “ท่ามกลางความท้าทายทั้งหมดที่เราประสบเวลานี้เกี่ยวกับไวรัสดังกล่าว งานเจริญก้าวหน้า … เราไม่ทราบว่าจะใช้เวลานานเท่าใด แต่เราจะเอาชนะ และเราอาจมีรูปแบบชีวิตอย่างที่เรารู้ไม่เหมือนเดิมอีก แต่การปรับตัวและการเปลี่ยนแปลงมากมายเหล่านั้นจะเอื้อประโยชน์อย่างยิ่ง”

เอ็ลเดอร์เควนทิน แอล. คุกกล่าวว่าการเตรียมพร้อมที่ได้รับการดลใจของศาสนจักรวมถึงตัวอย่างที่มาทันท่วงทีเช่น การเน้นให้ถือปฏิบัติวันสะบาโต การเสริมสร้างความเข้มแข็งให้โควรัมฐานะปุโรหิตแห่งเมลคีเซเดคและสมาคมสงเคราะห์ การเปลี่ยนเป็นการปฏิบัติศาสนกิจ การแนะนำให้ใช้ จงตามเรามา วีดิทัศน์พระคัมภีร์มอรมอน และโปรแกรมเด็กและเยาวชน

“เราจะมองย้อนกลับไปและเห็นว่านี่เป็นเวลาพื้นฐานของการเตรียมพร้อม ไม่ใช่แค่สิ่งที่เราต้องอดทน” ท่านกล่าว

ประธานเอ็ม. รัสเซลล์ บัลลาร์ด รักษาการประธานโควรัมอัครสาวกสิบสองเห็นด้วย แม้จะปิดพระวิหารและอาคารประชุมชั่วคราว แต่สมาชิกศาสนจักรมีเครื่องมือทางวิญญาณที่พวกเขาจำเป็นต้องใช้เพื่อจะยังเดินหน้าต่อไป

ประธานบัลลาร์ดจำได้ว่าท่านรู้สึกอย่างไรตอนกลับจากโบสถ์มาบ้านวันที่ 7 ธันวาคม ค.ศ. 1941 และทราบว่าเพิร์ลฮาร์เบอร์ถูกโจมตีและสหรัฐกำลังจะถูกดึงเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สอง เหมือนคนมากมายในปัจจุบัน ท่านกังวลกับอนาคตและสงสัยว่าท่านจะหมดอนาคตหรือไม่

“แต่นั่นไม่เกิดขึ้น” ท่านกล่าว เสรีชนของโลกชนะสงครามครั้งนั้นฉันใด โลกจะชนะสงครามกับไวรัสโคโรนาฉันนั้น “ทุกอย่างจะดีเมื่อเราหันใจไปหาพระบิดาในสวรรค์ของเรา มองพระองค์และพระผู้ช่วยให้รอดในฐานะพระผู้ไถ่ของมวลมนุษย์” ท่านกล่าว

อีกวิธีหนึ่งที่ศาสนจักรเดินหน้าต่อไปคือผ่านงานเผยแผ่ศาสนา ซึ่งกำลังขานรับสภาพของโลกที่เปลี่ยนแปลง เอ็ลเดอร์ดีเทอร์ เอฟ. อุคท์ดอร์ฟกล่าวว่าผู้นำศาสนจักรศึกษาวิธีแบ่งปันพระกิตติคุณวิธีใหม่มาตลอดก่อนโควิดเริ่มทำให้งานเผยแผ่ศาสนาหยุดชะงักด้วยซ้ำ การหยุดชะงักนั้นรวมถึงการส่งผู้สอนศาสนาหลายพันคนกลับประเทศบ้านเกิด การปลดบางคนก่อนกำหนด และการมอบหมายใหม่ให้บางคน

“โควิด-19 เร่งให้เราคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้เร็วขึ้นมากและเปิดตาเรา” ท่านกล่าว ด้วยเหตุนี้ เทคโนโลยีและสื่อสังคมจึงกำลังเปิดประตูที่เคยปิดเพราะชุมชนมีรั้วรอบขอบชิดและตึกรามบ้านช่องที่เราเข้าไปไม่ได้

“งานเผยแผ่ศาสนาจะยังเดินหน้าต่อไปแม้มีโรคระบาด” เอ็ลเดอร์อุคท์ดอร์ฟเสริม “เรายังคงเรียนรู้วิธีปรับปรุงงานเผยแผ่ศาสนาตอนนี้และสำหรับอนาคต พระเจ้าทรงสัญญาจะเร่งงานของพระองค์เพื่อเป็นพรแก่บุตรธิดาทุกคนของพระผู้เป็นเจ้า (ดู หลักคำสอนและพันธสัญญา 88:73) ข้าพเจ้ารู้สึกว่าเราอยู่กลางของกระบวนการนี้ขณะดำเนินชีวิตฟันฝ่าช่วงเวลาท้าทายนี้ ผู้สอนศาสนาที่ล้ำค่าของเราเป็นผู้บุกเบิกในสมัยของเรา กำลังสร้างทางของการแบ่งปันข่าวสารพระกิตติคุณในวิธีใหม่ที่เหมาะกับสภาวการณ์ของเราทั้งนี้เพื่อศาสนจักรของพระเยซูคริสต์จะยังคง ‘กลิ้งออกไป, จนเต็มทั้งแผ่นดินโลก’” (หลักคำสอนและพันธสัญญา 65:2)

โอกาสใหม่ๆ ให้แบ่งปันพระกิตติคุณไม่ใช่สิ่งเดียวที่เปิดอยู่ ใจกำลังเปิดเช่นกันเพราะเวลายากๆ มักทำให้ผู้คนถ่อมลงและหันไปหาพระผู้เป็นเจ้า เอ็ลเดอร์ดี. ทอดด์ คริสทอฟเฟอร์สันกล่าว

“พวกเขาเปิดกว้างมากขึ้นอีกนิดกับการคิดว่า ‘ฉันอาจต้องการบางอย่างนอกเหนือจากบัญชีธนาคารก็ได้ ชีวิตอาจมีมากกว่าที่ฉันเป็นมา’” ท่านกล่าว

เอ็ลเดอร์คริสทอฟเฟอร์สันกระตุ้นสมาชิกศาสนจักรให้มองหาโอกาสเผยแผ่ศาสนา เช่น แบ่งปันข่าวสารและมีมเกี่ยวกับพระกิตติคุณผ่านสื่อสังคม สื่อสารกับผู้สอนศาสนาเต็มเวลาเกี่ยวกับการช่วยผูกมิตรคนที่พวกเขาสอนออนไลน์ และติดต่ออยู่เสมอกับคนที่พวกเขาไม่สามารถเจอบ่อยๆ ได้

การเว้นระยะห่างทางสังคมและการเว้นระยะห่างทางวิญญาณ

อีกวิธีหนึ่งที่ศาสนจักรเดินหน้าต่อไปคือผ่านการตอบสนองทางวิญญาณของวิสุทธิชนยุคสุดท้ายต่อความท้าทายชั่วคราวเช่นโควิด-19 เพื่อป้องกันเราทางร่างกาย เราเพิ่มระยะห่างทางกายจากคนอื่น แต่เพื่อป้องกันเราทางวิญญาณ เราเข้าใกล้พระบิดาในสวรรค์ของเราและพระบุตรของพระองค์มากขึ้น การระบาดของโควิด-19 ทำให้สมาชิกศาสนจักรจำนวนมากมีโอกาสเพิ่มความปลอดภัยทางวิญญาณให้ตนเองมากขึ้นโดยทำตามคำแนะนำของประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสันให้ฟังพระเจ้า

“พระบิดาของเราทรงทราบว่าเมื่อเราแวดล้อมไปด้วยความรู้สึกไม่แน่ใจและความกลัว สิ่งที่จะช่วยเรามากที่สุดคือฟังพระบุตรของพระองค์” ประธานเนลสันกล่าวระหว่างการประชุมใหญ่สามัญเดือนเมษายน 2020 ท่านเสริมว่า “ขณะที่เราหมายมั่นเป็นสานุศิษย์ของพระเยซูคริสต์ เราต้องพยายามตั้งใจ ฟังพระองค์ มากขึ้น ต้องใช้ความพยายามอย่างมีสติและสม่ำเสมอที่จะทำให้ชีวิตประจำวันของเราเต็มไปด้วยพระวจนะ คำสอน และความจริงของพระองค์”6

แม้เราไม่ยินดีกับการระงับการประชุมของศาสนจักรชั่วคราว การปิดพระวิหาร หรือการตกงาน แต่การใช้เวลามากขึ้นที่บ้านทำให้เรามี “โอกาสคิดเรื่องการตื่นมาหาพระผู้เป็นเจ้า” (ดู แอลมา 5:7) เอ็ลเดอร์คุกกล่าว “บางทีเหตุการณ์เมื่อเร็วๆ นี้อาจเป็นนาฬิกาปลุกทางวิญญาณให้เราจดจ่อกับสิ่งเหล่านั้นที่สำคัญที่สุด ถ้าเช่นนั้น การมุ่งเน้นสิ่งที่เราสามารถทำให้ดีพร้อมในชีวิตเราและวิธีที่เราสามารถเป็นพรแก่ชีวิตผู้อื่นขณะเราตื่นมาหาพระผู้เป็นเจ้าและเดินตามเส้นทางพันธสัญญาจะเป็นพรใหญ่หลวงในช่วงเวลานี้”

เอ็ลเดอร์เจฟฟรีย์ อาร์. ฮอลแลนด์เสริมว่า “เวลาเช่นนั้นเชื้อเชิญให้เราสำรวจจิตวิญญาณเราเพื่อดูว่าเราชอบสิ่งที่เราเห็นหรือไม่ นั่นเป็นเวลาที่ [เรา] คิดว่าจริงๆ แล้ว [เรา] เป็นใครและอะไรสำคัญจริงๆ”

เวลาเช่นนั้นเชื้อเชิญให้เราเพิ่มพูนศรัทธา การรับใช้ และความกตัญญูของเราเช่นกัน โดยกระตุ้นเตือนเราให้ “พิจารณาการพึ่งพาพระผู้เป็นเจ้าและพรจากพระองค์ที่เรามักไม่เห็นคุณค่า” เอ็ลเดอร์ฮอลแลนด์กล่าว “เรามีหน้าที่ต้องสำนึกคุณต่อพระบิดาในสวรรค์มากขึ้นอีกนิด ขอบพระทัยพระองค์มากขึ้นอีกหน่อย และมีแนวโน้มจะจดจำมากขึ้นอีกเล็กน้อยว่าปัญหามากมายได้รับการแก้ไขเพราะพระผู้เป็นเจ้า เหล่าเทพ สัญญาแบบพันธสัญญา และการสวดอ้อนวอน”

ตรงศูนย์กลางความสำนึกคุณของเราคือพรของการจดจำว่า “พระเจ้าทรงเมตตาลูกหลานมนุษย์เพียงใด, นับแต่การสร้างอาดัมแม้ลงมาจนถึงเวลา [นี้]” (โมโรไน 10:3) สมาชิกโควรัมอัครสาวกสิบสองกล่าวว่าเมื่อใดก็ตามที่ท่านต้อง “หลบภัยในเคหสถาน” เราสามารถทำตามแบบอย่างของนีไฟกับแอลมาโดยจดจำว่า “[เรา] ได้วางใจ” พระองค์ พระผู้ช่วยให้รอดพระเยซูคริสต์ “จะยังทรงปลดปล่อย [เรา]” (2 นีไฟ 4:19; แอลมา 36:27) และเราสามารถจดจำตามที่อัครสาวกเปาโลสอนว่า ไม่มีสิ่งใด “จะให้เราขาดจากความรักของพระคริสต์ได้” (ดู โรม 8:35)

พระเจ้าพระเยซูคริสต์ทรง “เป็นที่ลี้ภัยสุดท้ายของเรา” (ดู สดุดี 61:1–4) เอ็ลเดอร์ฮอลแลนด์กล่าว “ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น เราจะไม่มีวันขาดจากความรักของพระผู้ช่วยให้รอดและความเป็นเพื่อนของพระองค์ แม้เราไม่รับรู้ ณ ตอนนั้น พระวิญญาณไม่ได้ถูกสกัดกั้นโดยไวรัสหรือโดยพรมแดนระหว่างประเทศหรือโดยการคาดการณ์ทางการแพทย์”

ภาพ
woman on a walk talking to women at window

ภาพถ่ายจาก Getty Images

“ทำสิ่งดีๆ ”

เมื่อเร็วๆ นี้ขณะอ่านรายงานหนึ่งจากคณะกรรมการศาสนจักร เอ็ลเดอร์คริสทอฟเฟอร์สันเป็นห่วงผลกระทบที่ “การถูกบังคับให้ตัดขาดจากสังคมภายนอก” จะมีต่อสมาชิกโสดของศาสนจักร—ทั้งสูงวัยและเยาว์วัย

“การถูกบังคับให้ตัดขาดจากสังคมภายนอกจะทำให้เกิดความเหงา และความเหงาจะมีผลลบทางร่างกายและสุขภาพจิต” ท่านกล่าว “เพื่อลดผลกระทบดังกล่าว ผู้สนับสนุนด้านสาธารณสุขบางคนเสนอให้ผู้ประสบความเหงามองหาวิธี ‘ทำสิ่งดีๆ’ ให้ใครบางคน”

วิสุทธิชนยุคสุดท้ายสามารถหาวิธีรับใช้ ช่วยเหลือ และเกื้อกูลผู้อื่น โดยเฉพาะคนหงอยเหงา เอ็ลเดอร์คริสทอฟเฟอร์สันกล่าว และสมาชิกที่หงอยเหงาผู้รับใช้คนอื่นๆ สามารถลดความรู้สึกโดดเดี่ยวของตนได้

“มุ่งเน้นการปฏิบัติศาสนกิจ” ท่านกล่าว “มีมากมายที่เราทำให้กันได้เพื่อจะมีความรู้สึกสนิทสนมและความเป็นพี่น้อง นี่เป็นเวลาที่โควรัมเอ็ลเดอร์และสมาคมสงเคราะห์จะตั้งสติให้ดีและจัดหาแต่สิ่งที่จัดตั้งพวกเขาให้มาทำเป็นการเฉพาะเท่านั้น”

แทนที่จะส่งข้อความให้ใครบางคนเป็นประจำ ท่านเสนอ “ข้าพเจ้าคิดว่าจะดีมากถ้าโทรหาใครบางคนโดยใช้เทคโนโลยีเก่าแก่ที่เรียกว่าโทรศัพท์ แค่โทรไปคุยและปฏิสัมพันธ์ ให้พวกเขาได้ยินเสียง”

การพยายามหยิบยื่นสิ่งเล็กๆ น้อยๆ ให้ผู้อื่นจะส่งผลใหญ่หลวง ทำให้วันของใครบางคนสว่างขึ้นในแบบที่เราอาจไม่รู้ “การปฏิบัติศาสนกิจของเราจำเป็นมากกับคนที่อยู่โดดเดี่ยว” เอ็ลเดอร์คุกกล่าว

เอ็ลเดอร์ฮอลแลนด์แนะนำว่า “เราควรอุทิศส่วนหนึ่งของวันเพื่อสื่อสารกับคนที่ต้องการกำลังใจ เราได้กำลังใจแน่นอนจากการทำเช่นนั้น ด้วยเหตุนี้ทุกคนจึง ‘ถูกยกขึ้น’ (3 นีไฟ 27:14, 15) ดังพระผู้ช่วยให้รอดตรัสว่าพระบิดาทรงส่งพระองค์มาแผ่นดินโลกให้ทำเช่นนั้น”

อีกวิธีหนึ่งที่เราสามารถยกตัวเราและผู้อื่นขึ้นคือเตรียมรับวันที่พระวิหารเปิดอีกครั้ง การปิดพระวิหาร—ไม่ว่าจะเพราะโรคระบาด การปรับปรุง หรือการทำความสะอาด—“เปิดโอกาสอันน่าพิศวงให้เรียนรู้มากขึ้นเกี่ยวกับการค้นคว้าประวัติครอบครัว การทำดัชนี และวิธีเตรียมชื่อหลายๆ ชื่อไว้รอวันที่ประตูพระวิหารจะเปิดอีกครั้ง” เอ็ลเดอร์เบดนาร์กล่าว

ไม่ว่าพระวิหารจะเปิดหรือปิด เอ็ลเดอร์เบดนาร์เสริม สมาชิกของศาสนจักรจะยังพยายามมีค่าควรและมีใบรับรองพระวิหารที่เป็นปัจจุบัน

บทเรียนที่พระเจ้าทรงต้องการให้เราเรียนรู้

ตามที่เอ็ลเดอร์เบดนาร์ชี้ให้เห็น แม้ไม่มีใครอยากเลือกประสบกับการระบาดของโควิด-19 แต่ภัยพิบัติยุคสุดท้ายเกิดกับเราแน่นอน

“ด้วยมุมมองนิรันดร์ที่พระกิตติคุณที่ได้รับการฟื้นฟูให้เราและพระคุณที่มาจากการชดใช้ของพระผู้ช่วยให้รอด เราสามารถเรียนรู้จากความยากลำบากของความเป็นมรรตัยที่เตรียมเราให้พร้อมรับพรแห่งนิรันดร” ท่านกล่าว “เราต้องสวดอ้อนวอน เราต้องแสวงหา เราต้องทูลขอ เราต้องมีตาดูและมีหูฟัง แต่เราจะได้รับพรอย่างน่าทึ่งให้เรียนรู้บทเรียนที่จะเป็นพรแก่เราเวลานี้และตลอดไป”

แม้จะมีผลกระทบร้ายแรงต่อครอบครัวทั่วโลก แต่โควิด-19 สอนผู้คนให้ห่วงใยผู้อื่นมากขึ้น ประธานบัลลาร์ดกล่าว

“เรากำลังตระหนักว่าครอบครัวเรามีค่าเพียงใด เพื่อนบ้านของเรามีค่าเพียงใด และเพื่อนสมาชิกในศาสนจักรมีค่าเพียงใด” ท่านกล่าว “มีบทเรียนที่เรากำลังเรียนรู้ตอนนี้ที่จะทำให้เราเป็นคนดีขึ้น”

และเมื่อมรสุมปัจจุบันพัดผ่าน เราคาดหวังอะไรต่อจากนั้นได้บ้าง? การทดลองคล้ายกันจะมาอีก เอ็ลเดอร์อุคท์ดอร์ฟกล่าว บุตรธิดาของพระผู้เป็นเจ้าทั้งในและนอกศาสนจักรจะยังประสบความท้าทาย

“เราอยู่ในยุคที่เราต้องเรียนรู้” ท่านกล่าว และบทเรียนสำคัญที่สุดที่เราจะเรียนรู้ได้คือ คำตอบของความท้าทายที่กำลังมาเป็นคำตอบของความท้าทายปัจจุบันเช่นกัน คำตอบนั้นคือ พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์

เพราะวิสุทธิชนยุคสุดท้ายมีพระกิตติคุณที่ได้รับการฟื้นฟูของพระเยซูคริสต์ เอ็ลเดอร์ฮอลแลนด์กล่าว พวกเขาจึงสามารถฝึกคิดบวกและมองบวก โดยทำให้ดีที่สุดและเชื่อสิ่งที่พระเจ้าตรัสเมื่อพระองค์ตรัสว่า “ให้เราทำสิ่งทั้งปวงที่อยู่ในอำนาจของเราอย่างรื่นเริงเถิด; และจากนั้นขอให้เรายืนนิ่ง, ด้วยความมั่นใจอย่างที่สุด, เพื่อเห็นความรอดแห่งพระผู้เป็นเจ้า, และเพื่อพระองค์จะทรงเผยพระพาหุของพระองค์” (หลักคำสอนและพันธสัญญา 123:17)

“มีมากมายให้เบิกบานใจขณะที่เราขัดเกลาศรัทธาของเรา วางใจพระเจ้ามากขึ้น และดูปาฏิหาริย์แห่งการปลดปล่อยของพระองค์” เอ็ลเดอร์ฮอลแลนด์กล่าว

อ้างอิง

  1. ดู William G. Hartley, “The Church Grows in Strength,” Ensign, Sept. 1999, 35.

  2. คำสอนของประธานศาสนาจักร: ฮีเบอร์ เจ. แกรนท์ (2002), 48.

  3. ดู รัสเซลล์ เอ็ม. เนลสัน, “ปีติและการอยู่รอดทางวิญญาณ,” เลียโฮนา, พ.ย. 2016, 82.

  4. Bruce R. McConkie, “The Caravan Moves On,” Ensign, Nov. 1984, 85.

  5. Joseph Smith, in History of the Church, 4:540.

  6. รัสเซลล์ เอ็ม. เนลสัน, “ฟังพระองค์,” เลียโฮนา, พ.ค. 2020, 89.