คำสอนของประธานศาสนจักร
บทที่ 7: ประจักษ์พยานส่วนตัว


บทที่ 7

ประจักษ์พยานส่วนตัว

ความรู้อันเเม่นอนเกี่ยวกับความจริงของพระกิตติคุฌคือประตู ที่เปิดสู่รางวัลอันลํ้าค่าและปีติสุดจะพรรณนา

จากชีวิตฃองสเป็ีนเซอร์ ดับเบิลยู. คิมบัลล์

ปี 1947 เอ็ลเดอร์สเป็นเซอร์ ดับเบิลยู. คิมบัลล์ได้รับจดหมายจากแอนดรูว์ บุตรชายของท่านซึ่งกำลังรับใช้งานเผยแผ่เต็มเวลา แอนดรูว์เขียนว่า “ผมบอก เพื่อนคนหนึ่ง … ว่าผมรู้เกี่ยวกับความจริงของสิ่งที่ผมบอกเขา และพูดว่า พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็ีนพยานต่อผมถึงสิ่งนี้ … ต่อมา เมื่อผมนึกถึงเรื่องนี้ ผม ค่อนข้างกังวลกับสิ่งที่ผมทำไป” เนื่องจากความกังวลนี้เอง เขากล่าวว่า “ผม จึงค่อยๆ หลีกเลี่ยงการแสดงประจักษ์พยานของผมต่อคนอื่นนอกเหนือจากประ เด็นของการพูดว่า ‘ผมรู้สึก ผมเชื่อ เป็นต้น’”

เอ็ลเดอร์คิมบัลล์ตอบจดหมายลูกชายของท่านว่า “พ่อคิดว่าพ่อเข้าใจทีเดียว ว่าลูกรู้สึกอย่างไร” ท่านกล่าว “เพราะพ่อเคยมีประสบการณ์อย่างนี้มาแล้วสมัย พ่อเป็นผู้สอนศาสนา พ่ออยากเป็นคนชื่อสัตย์มากๆ กับตนเอง กับโปรแกรม และกับพระเจ้า ครั้งหนึ่ง พ่อพยายามกลั่นกรองคำพูดเพื่อจูงใจผู้อื่นโดยไม่ได้ ยึดมั่นกับประโยคที่แสดงความมั่นใจและแจ้งชัดว่าพ่อ รู้ อย่างที่รู้จริงๆ พ่อรู้สึก ลังเลนิดหน่อยเหมือนกัน เพราะเมื่อพ่อคล้อยตามพระวิญญาณและทำงานไป ด้วยนั้น พ่อรู้สึกถึงพระวิญญาณ พ่อต้องการกล่าวอย่างนั้น จริงๆ ว่าพ่อรู้สึก จริงๆ ว่าพ่อรู้ แต่พ่อก็สองจิตสองใจ พอพ่อจะอธิบายดีๆ พ่อก็รู้สึกกลัวขึ้นมา แต่เมื่อพ่อเป็นหนึ่งเดียวกับพระวิญญาณและได้รับการดลใจทางวิญญาณ พ่อก็ ต้องการเป็นพยาน พ่อคิดว่าพ่อเป็นคนชื่อสัตย์ ชื่อสัตย์มาก แต่แล้วพ่อก็รู้ว่า พ่อกำลังหลอกตัวเอง …

“ไม่ต้องสงสัยเลยว่าวันที่ลูกยืนยันกับผู้สนใจว่าลูก รู้ ว่านี่คือความจริง พระ เจ้าทรงพยายามอย่างยิ่งที่จะเปิีดเผยความจริงนี้ต่อลูกโดยผ่านอำนาจของพระวิญ ญาณบริสุทธิ์ ขณะที่ลูกอยู่กับพระวิญญาณและกำลังตอบข้อซักถามเกี่ยวกับ โปรแกรมศักดิ์ึ๋สิทธิ์ ลูกรู้สึกได้อย่างลึกซึ้ง แต่หลังจากลูก ‘ไม่ได้อยู่กับพระวิญ ญาณ’ และเริ่มมีเหตุมีผลกับตนเอง ตรวจสอบและตั้งคำถามกับตนเอง ลูกก็ อยากจะเปลี่ยนคำพูดใหม่ …

“พ่อไม่สงสัยเลยในเรื่องประจักษ์พยานของลูก พ่อเชื่อว่าลูก (คงเหมือน พ่อ) ที่มีเส้นใยทองคำอันนับไม่ถ้วนของประจักษ์พยานมาตลอดชีวิตที่ดำรงอยู่ รอก็แต่พระหัตถ์ของช่างทอผู้เป็ีนพระอาจารย์จะมากักทอเสันใยเหล่านั้นให้เป็น ผืนผ้าอันวิจิตรงดงามไม่มีที่ติเท่านั้น ลูกรัก ตอนนี้ฃอให้ลูกฟัีงคำแนะนำของพ่อ และ อย่าดับพระวิญญาณ แต่เมื่อใดก็ตามที่พระวิญญาณทรงกระซิบ ขอ ให้ลูกทำตามการกระตุ้นเตือนอันศักดิ์สิทธิ์นั้น จงคล้อยตามความรู้สึกทางวิญญาณ และฟ้งการกระตุ้นเตือน เมื่อลูกได้รับแรงดลใจจงกล้าพูดถึงสิ่งที่ลูกประทับใจ พระเจ้าจะทรงขยายประจักษ์พยานของลูกและสัมผัสใจผู้คน พ่อหวังว่าลูกจะรู้ ว่าไม่มีคำวิพากษ์วิจารณ์อยู่ในคำพูดของพ่อ มีก็แต่ความตั้งใจที่จะช่วยลูกเท่า นั้น …

“พ่อไม่อาจลงท้ายจดหมายของพ่อโดยไม่แสดงประจักษ์พยานต่อลูก พ่อรู้ว่า นี่คือความจริง–รู้ว่าพระเยซูคือพระผู้สร้างและพระผู้ไล่ รู้ว่าเราสอนพระกิตติคุณ และผู้สอนศาสนา 3,000 คนของเราได้รับการฟื้ื่นฟูและการเปิดเผยโดยผ่านโจเซฟ สมิธ ศาสดาที่แท้จริง พระเยซูทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้า พ่ออุทิศถวายชีวิต ทั้งชีวิตเพื่อ ‘สั่งสอนอาณาจักร’ พ่อ [ได้แสดง] ประจักษ์พยานของพ่อแล้ว อย่างกล้าหาญ … และพ่อยืนยันซํ้าแล้วซํ้าเล่าว่า พ่อแน่ใจว่าประจักษ์พยาน ของลูกก็เป็นเช่นเดียวกัน เพียงแต่เส้นใยทองคำของลูกอาจจำเป็นต้องมีการกัก ทอให้เป็นผ้าผืนงามซึ่งจะมีสัมฤทธิผลในงานสอนศาสนาของลูกโดยเร็ว เมื่อ ลูกปลดปล่อยใจให้พระวิญญาณทรงครอบครอง

ขอพระผู้เป็นเจ้าทรงช่วยเหลือลูกในการภ้กทอเส้นใยทองคำของประสบการณ์ และแรงดลใจเป็นรูปแบบอันงดงาม ขอให้ลูกมีพลังเพิ่มเติมอย่างต่อเนื่อง … ที่จะดำเนินชีวิตและสอนความจริงอันเป็นนิจ”1

คำสอนของสเป็ีีนเชอร์ ดับเบิลยู. คิมบัลล์

เราแต่ละคนสามารถได้รับประจักษ์พยาน—การเปิ็ดเผย จากพระบิดาบนสวรรค์โดยผ่านพระวิญญาณบริสุทธิ์ิ

ผระผู้ช่วยให้รอดตรัสถามเปโตรว่า “คนทั้งหลายพูดกันว่าบุตรมนุษย์เป็นผู้ ใด?” และเปโตร ผูุดแทนพี่น้องของท่าน อัครสาวกท่านอื่นๆ ว่า “พระองค์ ทรงเป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่” ข้อความต่อไปที่ พระผู้ช่วยให้รอดตรัสไว้นั้นเป็นข้อความสำคัญที่สุดข้อความหนี้ง “ฃีโมนบุตร โยนาห้เอ๋ย ท่านก็เป็นสุขเพราะว่ามนุษย์บิได์แจ้งความนี้แก่ท่าน แต่พระบิดา ของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงแจ้งให้ทราบ” (มัทธิว 16:13–17)

ใครเปิ็ดเผยความจริงอันน่าทึ่งนี้แก่เปไตรหรือ? พระบิดาบนสวรรค์ของเรานั่น เอง พระองค์ทรงทำอย่างไร? โดยการเปิ็ดเผย ความรู้พื้นฐานที่ว่าพระเยชูคือ พระคริสต์ พระผู้ไถ่ พระผู้ช่วยให้รอดไม่ได้มาจากมนุษย์คนใด หรือมาจากหนัง สือเล่มใด หรือจากมหาวิทยาลัยใด เปโตรได้รับประจักษ์พยานโดยตรงจากพระ บิดาบนสวรรค์โดยผ่านการปฎิบัติของพระวิญญาณบริชุทธิ์ …

… ทุกจิตวิญญาณในโลกอาจมีการเปิ็ดเผยอย่างเดียวกบที่เปโตรมี การเปิด เผยดังกล่าวจะเป็นประจักษ์พยาน ซึ่งได้แก่ความรู้ที่ว่าพระคริสต์ทรงพระชนม์ พระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระผู้ไถ่ของโลก ทุกจิตวิญญาณอาจมีความเชื่อมั่นนี้ และเมื่อเขาได้รับประจักษ์พยานนี้ ประจักษ์พยานดังกล่าวจะมาจากพระผู้เป็นเจ้า ไม่ใช่จากการศึกษาเท่านั้น แน่นอนว่าการสืกษาเป็นป้จจัยสำคัญ แต่การศึกษา ต้องควบคู่กับการสวดอ้อนวอนและความวิริยะอุตสาหะอย่างยิ่งด้วย การเปิดเผย จึงจะเกิดขึ้น

เมื่อท่านรู้ด้วยตนเองว่าพระเยซูมิได้ทรงเป็นปรัชญาเมธีผู้ยิ่งใหญ่เท่านั้น แต่ ตามจริงแล้วทรงเป็นพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้าด้วย รู้ว่าพระองค์เสด็จมาในโลก ด้วยวิธีที่เรายืนยันว่าพระองค์ทรงทำเช่นนั้น และรู้ว่าพระองค์เสด็จออกจากโลก ด้วยจุดประสงค์ที่เรายืนยันว่าพระองค์ทรงทำเช่นนั้น—เมื่อท่านรู้เรื่องดังกล่าว โดยไม่สงสัย และรู้ว่าโจเซฟ สมิธเป็นศาสดาของพระผู้เป็นเจ้าและนี่คือศาสนา จักรแห่งสวรรค์ที่สถาปนาโดยพระเยซูคริสต์ ท่านก็มีการเปิดเผยแล้ว2

มีผู้คนที่ทะนงตนว่าสติปัญญาดี ผู้ที่คิดว่าตนเองเข้าถึงเรื่องลี้ลับต่างๆ ได้ แต่ คนเหล่านั้นไม่เคยให้คำนิยามหรืออธิบายหรือเข้าใจเรื่องทางวิญญาณโดยผ่าน หลักการทางเหตุผลหรือกระบวนการทางจิตใจของตนเองได้เลย เรื่องทางวิญ ญาณจะเข้าใจได้ก็โดยพระวิญญาณเท่านั้น เรื่องดังกล่าวผ่านเข้ามาในใจอันเป็น สถานที่ซึ่งประจักษ์พยานดำรงอยู่3

ความรู้อันแน่นอนเกี่ยวกับความจริงทางวิญญาณคือประตูที่เปิดส่รางวัลอัน ลํ้าค่าและปีติสุดจะพรรณนา การไม่ใส่ใจประจักษ์พยานคือการคลำหาทางในถํ้า อันมีดมืด คลานไปในหมอกควันอันตราย บุคคลเช่นนั้นน่าสังเวชเป็นผู้ที่อาจจะ กำลังเดินอยู่ในความมืดเวลาเที่ยงวัน ผู้เดินสะดุดสิ่งกีดขวางทั้งที่โยกย้ายมันได้ และผู้ที่จ่อมจมอยู่กับแสงเทียนริบหรี่ในความไม่ปลอดภัยและเคลือบแกุลงทั้ง ที่ไม่ต้องการ ความรู้เกี่ยวกับความจริงทางวิญญาณคือแสงสว่างเจิดจ้าในถํ้าใหญ่ สายลมและแสงแดดที่ขับไล่หมอกควัน เครื่องมือทรงพลังที่โยกย้ายสิ่งกีดขวาง จากท้องถนน4

ประจักษ์พยานได้มาและรักษาไว้ด้วยความมุมานะบากบั่น

ประจักษ์พยานเป็นการเปิดเผยส่วนตัว—เป็นของประทานที่สำคัญอย่างหนึ่ง —และทุกคนที่ยินดีชดเชยจะมีโอกาสชื่นชม5

นี่คือคำถามที่ดีที่มีผู้ถามเป็นล้านๆ คนนับตั้งแต่โจเซฟ สมิธ กล่าวถึงเรื่องนี้ เราจะรู้ได้อย่างไรว่าทั้งหมดนี้ส่วนไหนขององค์การเป็นของจริง ศักดิ์สิทธี์ และ พระเจ้าทรงยอมรับ

ท่านได้รับมอบกุญแจ ท่านอาจจะ รู้ ท่านไม่ต้องสงสัย … ขั้นตอนที่จำ เป็นคือ ศึกษา คิด สวดอ้อนวอน และลงมือทำ การเปิดเผยเป็นกุญแจ พระ ผู้เป็นเจ้าจะทรงทำให้เป็นที่รู้แก่ท่านหลังจากท่านยอมจำนนและกลับมาเป็นคน อ่อนน้อมถ่อมตนและยอมรับ โดยกำจัดความหยิ่งจองหองทุกอย่างในจิตใจท่าน โดยรับรู้ความสับสนของท่านต่อพระพักตร์พระผู้เป็นเจ้า โดยรู้จักระงับยับยั้ง ความหลงตัวเอง และโดยการยอมตนให้การสอนของพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ ท่านพร้อมแล้วที่จะเริ่มต้นเรียนรู้6

เราสามารถเชื่อมั่นถึงความจริงแท้ของพระผู้เป็นเจ้าด้วยตัวเราเอง พระชนม์ ชีพที่ดำเนินต่อไปของพระคริสต์ ทรงแยกจากพระบิดาแต่ทรงเหมือนพระบิดา ความศักดิ์สิทธิ์ของการฟื้นฟูผ่านโจเซฟ สมิธและศาสดาท่านอื่นๆ ขององค์การ ตลอดจนหลักคำสอนแห่งศาสนาจักรของพระผู้เป็นเจ้าบนแผ่นดินโลก พลังจาก สวรรค์ ฐานะปุโรหิตอันประกอบด้วยสิทธิอำนาจที่มอบให้มนุษย์โดยผ่านการ เปิดเผยจากพระผู้เป็นเจ้า สิ่งเหล่านี้ บุคคลที่มืความรับผิดชอบทุกคนสามารถรู้ ได้แน่นอนเท่าๆ กับความรู้ที่ว่าดวงอาทิตย์ส่องแสง ถ้าไม่ได้ความรู้นี้มาก็เท่า กับว่าบุคคลนั้นไม่ได้ทำสิ่งสำคัญ เฉกเช่นปริญญาทางวิชาการ ต้องบากมั่นจึง จะได้มา จิตวิญญาณที่สะอาดโดยการกลับใจและพิธีการจะได้รับความรู้ตังกล่าว ถ้าเขาปรารถนาและไขว่คว้า ค้นหาอย่างถี่อ้วน ศึกษาและสวดอ้อนวอนด้วย ศรัทธา7

พระผู้ไภ่ทรงประกาศว่า

“คำสอนของเราไม่ใช่ของเราเอง แต่เป็นของพระองค์ผู้ทรงใช้เรามา

“ถ้าผู้ใดตั้งใจประพฤติตามพระประสงค์ของพระองค์ ผู้นั้นก็จะรู้ว่าคำสอนนั้น มาจากพระเจ้า หรือว่าเราพูดตามใจชอบของเราเอง”(ยอห์น 7:16–17)

รู้ คำสอนคืออะไร คือความเชื่อมั่นไม่รวนเร พระเจ้าทรงเสนอรางวัลลํ้าค่า แต่ทรงวางช้อกำหนดไว้ด้วยว่าจะได้รับก็ต่อเมื่อทำตามข้อกำหนดบางอย่างเท่า นั้น ในกรณีนี้ พรที่สัญญาไว้คือ ความรู้ถึงความศักดิ์ิสิทธิ์ของคำสอน และใน กรณีนี้กฎหรือข้อกำหนดก็คือบุคคลต้อง “ทำตามพระประสงค์ของพระองค์” …

… การยอมรับคำสอนโดยดุษณีจะไม่ให้ประจักษ์พยาน ความรู้ครึ่งๆ กลางๆ จะไม่ทำให้เกิดความเชื่อมั่น แต่จะเกิดได้ก็ต่อเมื่อพากเพียรจนสุดความสามารถ

เรามักจะเห็นสิ่งนี้ ในชีวิตของสมาชิกศาสนาจ้กร มีคนชุดกับข้าพเจ้าในสเตค ที่ข้าพเจ้าไปเยี่ยมว่า “ผมพยายามหลีกเลี่ยงการประชุมประจักษ์พยานทุกอย่าง ผมไม่สามารถมีอารมณ์ความรู้สึกอย่างเดียวกับที่คนบางคนทำ ผมยอมรับคำสอน เหล่านี้ไม่ได้นอกจากผมจะอยู่ในหนทางอ้นฉลาดปราดเปรื่องพิสูจน์ได้ทุกขั้น ตอน” ผมรูุ้ว่าคนประเภทนี้เหมือนคนอื่นๆ ที่ผมเคยเจอ ไม่ต้องสงสัยเลยว่า พวกเขาไม่ได้พยายามดำเนินชีวิตตามพระมัญญัติ จ่ายส่วนสิบเพียงน้อยนิดหรือ ไม่จ่ายเลย ไปร่วมการประชุมเป็นบางโอกาส วิพากษ์วิจารณ์คำสอน องค์การ และผู้นำ เรารู้ดีว่าเพราะเหตุใดพวกเขาจึงไม่มีประจักษ์พยาน จงจำไว้เถิด พระ ผู้เป็นเจ้าตรัสว่า

“เราพระเจ้าถูกผูกมัด เมื่อเจ้าทำอย่างที่เรากล่าว แต่เมื่อเจ้าไม่ทำอย่างที่เรา กล่าวเจ้าย่อมไม่มีสัญญา” (ค.พ. 82:10)

คนเช่นนั้นไม่ได้ “ทำอย่างที่พระองค์ตรัส” ดังนั้นจึงแน่นอนว่าพวกเขาไม่มี สัญญา …

… ไม่ใช่ความถ้กดีอย่างไม่ลืมหูลืมตา แต่เป็็นการถือปฎิบัติอย่างซื่อสัตย์ และเป็ีนการไขกุญแจซึ่งเปิดคลังความรู้ทางวิญญาณ พระเจ้าจะไม่ทรงเลือกที่รัก มักที่ชังระหว่างลูกๆ ของพระองค์ แต่จะทรงยินดีรับและประทานพรเราทุกคน ถ้าเราจะยอมให้พระองค์ทำเช่นนั้น8

ท่านจะทำอะไรกับประจักษ์พยานของท่านเล่า ท่านจะรักษาไว้ให้คมกริบ ราวกับมีดที่แม่ของเราใช้แล่เนื้อใช่หรือไม่ ท่านจะปล่อยให้เก่าครำสนิมเขลอะ อย่างนั้นหรือเปล่า … ก็ดูจะคล้ายๆ กับดอกกุหลาบนิดหน่อย ถ้าไม่หมั่นรดน้ำ ให้มันขาดนํ้าเพียงชั่วระยะหนึ่ง เกิดอะไรขึ้นกับกุหลาบของท่านเล่า มันตาย ประจักษ์พยานของท่านตาย ความรักของท่านตาย ทุกอย่างต้องได้รับอาหาร ท่านป้อนอาหารให้ร่างกายวันละสามมื้อ พระเจ้าทรงมีพระดำรัสให้ท่านรักษา ประจักษ์พยาน รักษาวิญญาณท่านให้มีชีวิต ท่านต้องป้อนอาหารทุกวัน … นั่น เป็นเหตุให้พระองค์ตรัสว่าจงสวดอ้อนวอนทุกค่ำเช้า นั่นเป็นเหตุให้พระองค์ ตรัสว่าจงสวดอ้อนวอนเสมอเพื่อสายจะเปิดอยู่ตลอดเวลา9

เราต้องมีส่วนร่วมในการประชุมประจักษ์พยาน

การประชุมประจักษ์พยานเป็นการประชุมที่ดีที่สุดของ (ศาสนาจักร) ในแต่ ละเดือนถ้าท่านมีพระวิญญาณ ถ้าท่านแสดงประจักษ์พยานในการประชุมประ จักษ์พยาน มีสิ่งสำคัญเกี่ยวบ้องกับท่านโดยตรง ไม่ใช่กับคนอื่น ท่านลุกขึ้นยืน แสดงประจักษ์พยานได้ และท่านคิดว่านี่คือการประชุมที่ดีที่สุดของเดือนนี้ แต่ ถ้าท่านนั่งอยู่ที่นี่เพื่อจะนั่งนับว่ามีไวยากรณ์ผิดกี่ที่และหัวเราะเยาะคนที่พูดไม่ เป็น ท่านก็จะเบื่อหน่าย … อย่าลืม! ท่านต้อง เพียรหา ประจักษ์พยาน ท่าน ต้องพากเพียร อยู่เสมอ!

พระเจ้าตรัสไว้ในภาคที่ 60 ของคำสอนและพันธสัญญาว่า “แต่กับบางคน เราไม่ค่อยพอใจ เพราะเขาจะไม่เปิดปาก” (ค.พ. 60:2) นั่นหมายความว่าอะไร พระองค์ตรัสว่าถ้าพวกเขาไม่ใช้สิ่งที่พระองค์ประทานไว้ พวกเขาก็จะสูญเสียสิ่ง นั้น พวกเขาจะสูญเสียประจักษ์พยานของตน และสิ่งอันหาค่ามิได้ที่ท่านมีอยู่ ก็จะหลุดไปจากชีวิตท่าน

ทุกเดือนฝ่ายประธานสูงสุดและอัครสาวกสิบสองจะประชุมกับเจ้าหน้าที่ชั้ํ๋น ผู้ใหฌ่ทั้งหมคใมผระวิทำร ท่านเล่านั้นเเสคงประัจักษ์ผยานเเละบอกเล่าความ รักที่มีต่อกันเช่นเดียวกับท่านทั้งหลาย เหตุใดเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่จึงต้องประชุม ประจักษ์พยาน เหตุผลเดียวกับที่ท่านต้องมีการประชุมประจักษ์พยานนั่นเอง

ท่านคิดว่าท่านสามารถดำเนินต่อไปสามเดือน หกเดือน เก้าเดือน และสิบสอง เดือนโดยไม่แสดงประจักษ์พยานเลยและสิ่งนั้นยังคงคุณค่าคีอยู่หรือ …

ท่านทราบไหมว่าประจักษ์พยานนี้เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก เป็นสิ่งสำคัญที่สุด ผู้นำหรือปุโรหิตสามารถอ้างอิงพระคัมภีร์และนำเสนอบทพูด แต่ใช่ว่าจะมีผู้นำ หรือฐานะปุโรหิตทุกคนที่สามารถแสดงประจักษ์พยานของเขา ท่านไม่ได้นั่งอยู่ ตรงนั้นหรอกหรือในการประชุมอดอาหารพร้อมคับหลอกตนเองและกล่าวว่า “ฉันคิดว่าฉันจะไม่แสดงประจักษ์พยานวันนี้ ฉันคิดว่ามันคงจะไม่ยุติธรรมกับ สมาชิกคนอื่นๆ เพราะฉันมีโอกาสมากมายเหลือเกิน” ท่านต้องแสดงประจักษ์ พยาน เพียงหนึ่งนาทีก็นับว่านานพอ

ท่านมีประจักษ์พยาน! แน่นอนว่า ประจักษ์พยานต้องสร้าง ต้องเชิดชู และ ขยายให้ใหญ่ขึ้น และนั่นคือสิ่งที่ท่านกำลังทำอยู่ ทุกครั้งที่ท่านแสดงประจักษ์ พยาน มันจะยิ่งแข็งแกร่ง10

ประจักษ์พยานบรรยายด้วยคำพูดที่เรียบง่าย แต่ทรงพลัง

“ข้าพเจ้ารู้ว่านี่คือความจริง” เพราะคำพูดเพียงไม่กี่คำนั้นพูดมาแล้วเป็นล้านๆ ครั้ง โดยคนหลายล้านคนซึ่งก็ไม่ทำให้ค้อยความสำคัญลงเลย ไม่มีวันเส ึ่อมคุณภาพไค้เลย ข้าพเจ้าเสียใจคับคนที่พยายามสรรหาภ้อยคำอื่นมากล่าว เพราะไม่มีคำใดจะดีไปกว่าคำที่บอกว่า “ข้าพเจ้ารู้” ไม่มีภ้อยคำใดจะบรรยาย ความรู้สึกลึกซึ้งซึ่งมาจากใจมนุษย์ไดัดืไปกว่าคำว่า “ข้าพเจ้ารู้”11

คนดีๆ บางคนของเราเกรงว่าคำพูดจะธรรมดาเกินไปจนพยายามแสดงประ จักษ์พยานที่ออกห่างจากสาระสำคัญในพระกิตติคุณ ท่านไม่ต้องกังวลกับความ เรียบง่ายในประจักษ์พยาน เมื่อประธานศาสนาจักรแสดงประจักษ์พยาน ท่าน พูดว่า “ข้าพเจ้ารู้ว่าโจเซฟ สมิธไต้รับเรียกจากพระผู้เป็นเจ้า เป็นตัวแทนของ พระเจ้า ข้าพเจ้ารู้ว่าพระเยซูทรงเป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรง พระชนม์” ท่านเห็นไหม นี่เป็นคำพูดเดียวกับที่ท่านทั้งหลายพูด นี่คือประจักษ์ พยาน ไม่มีวันเก่าแก่ล้าสมัย ไม่มีวัน! จงกราบทูลพระเจ้าบ่อยๆ ว่าท่านรักพระ องค์มากเพียงใด

ประจักษ์พยานไม่ใช่คำตักเดือน ประจักษ์พยานไม่ใช่คำเทศนา (ไม่มีใครไป อยู่ตรงนั้นเพื่อตักเตือนคนที่เหลือ) ไม่ใช่การบรรยายว่าท่านไปเที่ยวไหนมาห้าง ท่านอยู่ตรงนั้นเพื่อกล่าวคำพยานของตนเอง น่าทึ่งที่ท่านสามารถแสดงประจักษ์ พยานได้ภายใน 60 วินาที หรือ 120 หรือ 240 วินาที หรือจะนานเท่าไรก็ตาม ถ้านั่นเป็นการจำกัดตัวท่านเองต่อประจักษ์พยาน เราอยากทราบว่าท่านรู้สึก อย่างไร ท่านรักงานนี้จริงๆ หรือไม่ ท่านมีความสุขกับงานของท่านไหม ท่าน รักพระเจ้าไหม ท่านดีใจหรือเปล่าที่ท่านเป็นสมาชิกของศาสนาจักร12

ขอเพียงบอกว่าใจท่านรู้สึกอย่างไร นั่นคือประจักษ์พยาน ณ วินาทีที่ท่าน เริ่มสั่งสอนคนอื่น ประจักษ์พยานของท่านสิ้นสุดตรงนั้น ขอเพียงบอกว่าท่าน รู้สึกอย่างไร สิ่งที่ความคิด จิตใจ และทุกอณูของร่างกายท่านบอกท่าน13

เนื่องจากรู้ดีว่าในวิถีแห่งธรรมชาติ ข้าพเจ้าต้องไปยืนต่อพระพักตร์พระเจ้า และกล่าวรายงานด้วยถ้อยคำของตนเอง ในตอนนี้ ข้าพเจ้าจึงเสริมประจักษ์ พยานอย่างเป็นทางการและเป็นส่วนตัวว่า พระผู้เป็นเจ้า พระบิดานิรันดร์ และ พระเจ้าผู้ทรงฟืเนคืนพระชนม์ พระเยซูคริสต์ ทรงปรากฎต่อเด็กหนุ่มไจเซฟ สมิธ ข้าพเจ้าเป็นพยานว่า พระคัมภีร์มอรมอนเป็นการแปลจากบันทึกโบราณ ของประชาชาติที่อาศัยอยู่ในโลกตะวันตก ซึ่งมีความรุ่งเรืองและเกรียงไกรใน ยามที่พวกเขารักษาพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้าแต่ถูกทำลายด้วยสงคราม กลางเมืองอันโหดร้าย เมื่อพวกเขาลืมพระผู้เป็นเจ้า พระคัมภีร์เล่มนี้เป็นพยาน ถึงการดำรงอยู่จริงของพระเจ้าพระเยซูคริสต์ ในฐานะพระผู้ช่วยให้รอดและพระ ผู้ไภ่ของมนุษยชาติ

ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าฐานะปุโรหิตอันศักคิ์สิทธิ์ ทั้งแอรันและเม็ลคิเซุเด็ค พร้อมด้วยสิทธิอำนาจที่จะกระทำในพระนามของพระผู้เป็นเจ้า ได้รับการฟื้นฟู มาสู่แผ่นดินโลกโดยยอห์นผู้ถวายบัพติศมา เปโตร ยากอบ และยอห์น ตลอด จนกุญแจและอำนาจอื่นๆ ก็ได้รับการฟื้นฟูในเวลาต่อมา พลังและสิทธิอำนาจ แห่งของประทานอันศักดิ์สิทธิ์หลายอย่างมีอยู่ท่ามกลางเราในปัจจุบัน ข้าพเจ้า ขอกล่าวคำพยานโดยสุจริตใจถึงสิ่งเหล่านี้แก่ผองชนทุกผู้ทุกนามที่ใด้ยินเสืยง ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าขอสัญญาในพระนามของพระเจ้าว่าทุกคนที่เอาใจใส่ข่าวสาร ของเรา ยอมรับและดำเนินชีวิตตามพระกิตติคุณ จะเจริญด้วยศรัทธาและความ เข้าใจ พวกเขาจะมีสันติสุขมากขึ้นในชีวิตและในบ้าน และโดยอำนาจของพระ วิญญาณปริสุทธิ์จะกล่าวถ้อยคำถึงประจักษ์พยานและความจริงอย่างเดียวกัน14

ข้อเลนอแนะสำหรับการศึกษาและการสอน

พิจารณาแนวคิดต่อไปนี้ขณะท่านศึกษาบทเรียนหรือเตรียมการสอน สำหรับ ความช่วยเหลือเพิ่มเติม ดู หน้า ⅴ–ⅸ

  • ทบทวนจดหมายที่ประธานสเป็นเซอร์ ดับเบิลยู. คิมบัลล์ เขียนภึงแอนดรูว์ บุตรชายของท่าน (หน้า 76–77) สังเกตการเปรียบเทียบประจักษ์พยานกับ ผืนผ้า ประสบการณ์หรือความรู้สึกอะไรที่สร้างสรรค์ “เส้นใยสืทองของประ จักษ์พยาน” ส่วนตัวของท่าน พิจารณาสิ่งที่พระเจ้าทรงกระทำเพื่อช่วยท่าน กักทอเส้นใยของประจักษ์พยานให้เป็นผืนผ้า

  • ท่านคิดว่าการที่แอนดรูว์ได้รับจดหมายจากคุณผ่อเป็นการช่วยเขาได้อย่างไร มีโอกาสใดบ้างที่บิดามารดาจะแม่งป้นประจักษ์พยานกับลูกๆ เราจะช่วยคน หนุ่มสาวได้อย่างไรเพื่อให้พวกเขารับและรู้จักการกระตุ้นเตือนทางวิญญาณ ซึ่งนำไปสู่ประจักษ์พยาน

  • ทบทวนหน้า 78–83 อย่างคร่าวๆ มองหาคำหรือวลีที่ประธานคิมบัลล์ใข้ อธิบายความพากเพียรของเราที่จะแสวงหาและเสริมสร้างประจักษ์พยานของ เราให้เข้มแข็ง ถ้ามีใครรู้สึกว่าประจักษ์พยานของตนสั่นคลอน บุคคลคนนั้น ควรทำอย่างไร

  • ศึกษาคำแนะนำของประธานคิมบัลล์เกี่ยวกับการประชุมอดอาหารและแสดง ประจักษ์พยาน (หน้า 82–83) ท่านคิดว่าเหตุใดเราจึงมีการประชุมเหล่านี้ ท่านคิดว่าประจักษ์พยานจะเข้มแข็งขึ้นไหมเมื่อเราแบ่งบินให้ผู้อื่น เราจะทำ อย่างไรเพื่อให้มั่นใจว่าการประชุมประจักษ์พยานจะเป็นการประชุมที่ตืที่สุด การประชุมหนึ่งสำหรับเราในแต่ละเตือน

  • ทบทวคำแนะนำของประธานคิมบัลล์ถึงวิธีที่เราจะแสดงประจักษ์พยาน (หน้า 83–84) เหตุใดถ้อยคำที่ว่า “ข้าพเจ้ารู้” จึงมีพลังยิ่ง

ข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง: 1 โครินธ์ 12:3; 1 เปโดร 3:15: แอลมา 5:45–46; โมโรไน 10:4–7; ค.พ. 42:61; 62:3

อ้างอิง

  1. จดหมายจากประธานสเป็นเชอร์ ดับเบิลยู. คิมบัลล์ ถึง แอนดรูว์ อี. คิมบัลล์ 1947 จากสมบัติส่วนตัวของ แอนดรูว์ อี. คิมบัลล์

  2. “President Kimball Speaks Out on Testimony,” New Era ส.ค. 1981, หน้า 4

  3. ใน H. Stephen Stoker and Joseph C. Muren, comps., Testimony (1980), หน้า 167–168

  4. Faith Precedes the Miracle (1972), หน้า 14

  5. “The Significance of Miracles in the Church Today,” Instructor, ธ.ค. 1959, หน้า 396

  6. “Absolute Truth,” Ensign, ก.ย. 1978, หน้า 7–8

  7. Faith Precedes the Miracle, หน้า 13–14

  8. New Era, ส.ค. 1981, หน้า 4, 6, 7

  9. The Teachings of Spencer W. Kimball, ed. Edward L. Kimball (1982), หน้า 141–142

  10. New Era, ส.ค. 1981, หน้า 6–7

  11. The Teachings of Spencer W. Kimball, หน้า 141

  12. New Era, ส.ค. 1981, หน้า 6

  13. In Stoker and Muren, Testimony, หน้า 139

  14. In Conference Report, เม.ย. 1980, หน้า 78; หรือ Ensign. พ.ค. 1980 หน้า 54

ภาพ
Christ and Peter

ในการตอบรับประจ้กษ์ผยานบองเปโตร ผระผู้ช่วยให้รอดตรัสว่า “ซิโมนบุตรโยนาห์เอ๋ย ท่านก็เป็นสุบเผราะว่ามนุษย์มิไค้เเจ้งถวามนิ้เเก่ท่าน เเต่ผระขิคาของเรา ผู้ทงสถิตในสวรรถ้ทรงเเจ้งให้ทราข” (ม้ทธิว 16:17)

ภาพ
woman reading scriptures

สำหรับผู้ที่แสวงหาประจักษ์กษ์ผยาน “ขั้นตอนสำภ้ญถือ ภึกษา ภิด สวคอ้อนงอน และลงมือทำ”