2016
ความเป็นจริงของความเป็นมรรตัยที่ทรงเปิดเผย
มกราคม 2016


ความเป็นจริงของ ความเป็นมรรตัยที่ทรงเปิดเผย

จากคำปราศรัยให้ข้อคิดทางวิญญาณเรื่อง “ความเป็นจริงของความเป็นมรรตัย” ที่มหาวิทยาลัยบริคัม ยังก์–ไอดาโฮเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ 2013 ดูบทความเต็มเป็นภาษาอังกฤษที่ web.byui.edu/devotionalsandspeeches

ขอให้เราหลีกเลี่ยงแนวคิดผิดๆ ในเรื่องกฎเกณฑ์ของมนุษย์และยึดมั่นความจริงที่พระผู้เป็นเจ้าทรงเปิดเผยทั้งนี้เพื่อการเดินทางผ่านความเป็นมรรตัยของเราจะมีค่า สมบูรณ์ และเป็นจริง

ภาพ
Portrait photograph of a young adult woman. She is wearing a red sweater.

แต่ละคนถูกวางไว้บนโลกนี้ในสภาวการณ์ต่างกัน ถึงจะต่างกัน แต่พระเจ้าทรงเปิดเผยความจริงเกี่ยวกับจุดประสงค์ของชีวิตมรรตัยที่ใช้ได้กับเราทุกคน พระองค์ทรงสอนความจริงเหล่านี้ให้อาดัมและเอวาบิดามารดาแรกของเรา และทรงยืนยันอีกครั้งในสมัยของเรา

ข้าพเจ้าเรียกความจริงเหล่านี้ว่า “ความเป็นจริงของความเป็นมรรตัย” ถ้าเราอยากได้พรและประโยชน์อย่างเต็มที่จากประสบการณ์มรรตัยของเรา เราต้องเข้าใจและน้อมรับความเป็นจริงที่ทรงเปิดเผยเหล่านี้ การไม่ทำความเข้าใจ หรือแย่กว่านั้นคือจงใจเพิกเฉยจะส่งผลในเวลาของเราบนโลกเป็นเหตุให้เราใช้อย่างผิดๆ ใช้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ และอาจสูญไปโดยเปล่าประโยชน์

การเพียงแต่มาถึงแผ่นดินโลก รับร่างกายมรรตัย และมีชีวิตอยู่ที่นี่เท่านั้นไม่พอ เพื่อใช้เวลาของเราที่นี่อย่างมีความหมาย เราต้องดำเนินชีวิตและประสบจุดประสงค์ของความเป็นมรรตัยตามที่พระผู้เป็นเจ้าทรงกำหนด—อย่างครบถ้วนสมบูรณ์และสุดจิตสุดใจ—แทนที่จะเขวไปตามสิ่งที่น่าสนใจ สะดวก และสบาย

เมื่ออาดัมกับเอวาถูกขับออกจากสวนเอเดน พวกท่านเข้ามาในโลกมนุษย์ พระเจ้าทรงเตรียมพวกท่านให้พร้อมรับประสบการณ์มรรตัยโดยทรงสอนความเป็นจริงที่พวกท่านจะประสบ ข้าพเจ้าต้องการทบทวนความเป็นจริงเหล่านี้สักสามประการ

ขณะเริ่มทบทวน ขอให้จำไว้ว่าวิญญาณก่อนมรรตัยจำนวนมากไม่ได้รับร่างกายเพราะพวกเขาไม่ได้รักษาสถานะแรก1 พวกเขาจึงจงใจขัดขวางไม่ให้เราประสบความบริบูรณ์ของความเป็นมรรตัย พวกเขาหมายมั่นกีดกันเราไม่ให้รับประสบการณ์ที่นำไปสู่ความสุขนิรันดร์ของเรา

ความเป็นจริงข้อ 1: การทำงานช่วยเราพัฒนาคุณสมบัติและคุณลักษณะที่จำเป็นต่อชีวิตนิรันดร์

พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับอาดัม “ด้วยหยาดเหงื่อจากหน้าเจ้า เจ้าจะกินอาหาร, จนกว่าเจ้าจะกลับสู่ดิน” (โมเสส 4:25; ดู ปฐมกาล 3:19ด้วย) บางคนถือว่าพระดำรัสของพระเจ้าเป็นการสาปแช่งอาดัมและลูกหลานของเขาเพราะรับส่วนผลไม้ต้องห้าม อย่างไรก็ดี ข้าพเจ้าได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ประหนึ่งมาจากพระบิดาที่รักขณะทรงอธิบายสภาพในโลกมรรตัยที่ตกแล้วให้แก่ลูกชายที่อายุยังน้อยและขาดประสบการณ์ซึ่งอีกไม่นานลูกชายคนนั้นจะมาอยู่

เฉกเช่นบิดาทางโลกเตรียมบุตรชายให้พร้อมออกจากบ้าน พระบิดาทรงกำลังช่วยมนุษย์คนแรกเตรียมมีชีวิตห่างจากบ้านด้วยตัวเขาเอง พระองค์ทรงกำลังอธิบายว่าการทำงานเป็นความจริงใหม่—ความเป็นจริงของความเป็นมรรตัย

พระบิดาบนสวรรค์ทรงทราบว่าอาดัมกับเอวาจะต้องต่อสู้กับสภาพดินฟ้าอากาศและแผ่นดินโลกในไม่ช้า ตรงข้ามกับประสบการณ์ของพวกท่านในสวนเอเดน ที่ซึ่งทุกสิ่งจัดเตรียมให้พวกเขา ชีวิตมรรตัยจะเรียกร้องให้ทุ่มเทแรงกาย แรงใจ หยาดเหงื่อ ความอดทน และความมานะบากบั่นเพื่อเอาชีวิตรอด

การฝึกทำงาน—การฝึกฝนและขัดเกลาความคิด ร่างกาย และวิญญาณให้ทุ่มเท ทำให้เกิดผล ทำให้สำเร็จ และก้าวหน้า—เป็นความจริงพื้นฐานของชีวิตมรรตัยทุกชีวิต นี่เป็นวิธีหนึ่งที่เราจะเป็นเหมือนพระผู้เป็นเจ้าและบรรลุจุดประสงค์ของพระองค์บนแผ่นดินโลก พระบิดาบนสวรรค์ พระเยซูคริสต์ และพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงงานทุกพระองค์ งานและรัศมีภาพของพระองค์คือ “ทำให้เกิดความเป็นอมตะและชีวิตนิรันดร์ของมนุษย์” (โมเสส 1:39) ความเป็นจริงคือจะมีรัศมีภาพไม่ได้หากปราศจากการทำงาน

เหตุผลหลักประการหนึ่งที่มนุษย์ต้องทำงานคือเพื่อจัดหาให้ครอบครัวของพวกเขา “ครอบครัว: ถ้อยแถลงต่อโลก“ ระบุว่า “จัดหา” เป็นบทบาทหนึ่งในสามที่ให้แก่ผู้ชายโดยเฉพาะ2 ผู้ชายที่รู้วิธีทำงานและจัดหาให้ตนเองมีความเชื่อมั่นว่าเขาสามารถแต่งงานและจัดหาให้ภรรยากับลูกๆ ได้

อธิการเอช. เดวิด เบอร์ตัน อดีตอธิการควบคุมของศาสนจักรกล่าวว่า “การทำงาน—อย่างซื่อสัตย์และมีประสิทธิผล—ทำให้เกิดความพอใจและสำนึกในคุณค่าของตน เมื่อเราได้ทำสุดความสามารถเพื่อพึ่งพาตนเอง จัดหาตามความจำเป็นของเราและคนในครอบครัว เราสามารถหันไปพึ่งพระเจ้าได้ด้วยความมั่นใจเพื่อทูลขอสิ่งที่เรายังขาดอยู่”3

ซาตานคอยจ้องทำลายจุดประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าและบ่อนทำลายประสบการณ์มรรตัยของเรา เพื่อต่อต้านความสำคัญที่พระบิดาทรงเน้นย้ำให้ทำงาน ปฏิปักษ์ได้ทำให้หลายคนในสมัยของเราเชื่อว่าเป้าหมายเบื้องต้นในชีวิตคือหลีกเลี่ยงการทำงาน ในสังคมปัจจุบัน คนจำนวนมากตั้งหน้าตั้งตาหางานที่รายได้ดีแต่ทำงานน้อย การลงทุนหรือกลยุทธ์การเงินที่จ่ายค่าตอบแทนสูงโดยไม่ต้องพยายาม และโปรแกรมที่จ่ายให้ตามต้องการโดยพวกเขาไม่เสียอะไร บางคนพยายามหลีกเลี่ยงการทำงานโดยการกู้ยืมและอาศัยเงินที่พวกเขาไม่คิดจะคืน พวกเขาไม่ยอมทำงาน จัดงบประมาณ และออมเงินก่อนจ่าย ผู้นำศาสนจักรเคยแนะนำว่าเราควรทำงานทดแทนสิ่งที่เราได้มาและ “หลีกเลี่ยงหนี้สินยกเว้นสำหรับความจำเป็นพื้นฐานที่สุด”4

เล่ห์เหลี่ยมอีกอย่างหนึ่งที่ปฏิปักษ์ใช้ในคนรุ่นนี้คือเปิดช่องให้ความใฝ่ฝันตามธรรมชาติมนุษย์ทำงานและไปถึงทางตัน พระผู้เป็นเจ้าทรงใส่ความปรารถนาจะแข่งขันและบรรลุผลสำเร็จไว้ในเยาวชนชาย ด้วยทรงมีเจตนาจะให้พวกเขาใช้ความใฝ่ฝันเพื่อจะเป็นผู้จัดหาให้ครอบครัวอย่างซื่อสัตย์ ในวัยเยาว์ของเรา ความใฝ่ฝันดังกล่าวเปิดช่องให้การเสาะแสวงหาด้านวิชาการ การกีฬาหรืออื่นๆ ที่ช่วยสอนเรื่องความมานะบากบั่น วินัย และการทำงาน อย่างไรก็ตาม ซาตานจะสกัดกั้นความใฝ่ฝันนั้นอย่างแยบยลและเปิดช่องให้เข้าไปในโลกเสมือนจริงของวิดีโอเกมที่กินเวลาและความใฝ่ฝัน และนำไปสู่ความมัวเมาลุ่มหลง

ไม่ว่าท่านจะเล่นวิดีโอเกมยากปานใด การทำงานในโลกเสมือนจริงจะไม่มีวันทำให้เกิดความพอใจที่มากับการทำงานจริงๆ การทำงานจริงๆ คือความพยายาม ความมานะบากบั่น ความอดทน และวินัยเพื่อให้ได้ความรู้ที่คุ้มค่า ทำงานที่จำเป็นต้องทำ หรือบรรลุเป้าหมายที่ท้าทาย

ถ้าเราไม่ฝึกทำงานขณะอยู่ในความเป็นมรรตัย เราจะไม่บรรลุศักยภาพอันสมบูรณ์ของเราและความสุขในชีวิตนี้ เราจะไม่พัฒนาคุณสมบัติและคุณลักษณะที่จำเป็นต่อชีวิตนิรันดร์

ความเป็นจริงข้อ 2: โดยผ่านการแต่งงานนิรันดร์เราจะได้รับพรทุกประการที่พระบิดาบนสวรรค์ทรงประสงค์จะประทานแก่เรา

ภาพ
A young couple talking together.

พระเจ้าทรงสัญญาไว้ในคำปฏิญาณและพันธสัญญาของฐานะปุโรหิตว่า

“ผู้ใดที่ซื่อสัตย์ต่อการได้รับฐานะปุโรหิตทั้งสองอย่างนี้ซึ่งเราพูดถึง กลายเป็น พงศ์พันธุ์ของอับราฮัม, และศาสนจักรและอาณาจักร, และผู้ที่ทรงเลือกไว้ของพระผู้เป็นเจ้า.

“และคนเหล่านั้นทั้งปวงด้วยที่ได้รับฐานะปุโรหิตนี้ย่อมรับเรา, พระเจ้าตรัส;

“… คนที่รับเราย่อมรับพระบิดาของเรา;

“และคนที่รับพระบิดาของเราย่อมรับอาณาจักรแห่งพระบิดาของเรา; ฉะนั้นทุกสิ่งที่พระบิดาของเรามีย่อมจะประทานแก่เขา.

“และนี่เป็นไปตามคำปฏิญาณและพันธสัญญาซึ่งเป็นของฐานะปุโรหิต” (คพ. 84:33–35, 37–39)

พระบิดาที่รักของเราทรงต้องการให้บุตรธิดาแต่ละคนของพระองค์ได้รับทุกสิ่ง—ความบริบูรณ์ ความบริบูรณ์ของพระองค์ เพื่อให้ได้รับความบริบูรณ์ดังกล่าว “มนุษย์ต้องเข้าสู่ระเบียบนี้ของฐานะปุโรหิต [หมายถึงพันธสัญญาใหม่และเป็นนิจของการแต่งงาน]” (คพ.131:2)

การแต่งงานนิรันดร์และทั้งหมดที่ออกแบบไว้ช่วยให้เราเรียนรู้และรับประสบการณ์เป็นกุญแจไขสู่การได้รับพรทุกประการที่พระบิดาบนสวรรค์ทรงประสงค์จะประทานแก่บุตรธิดาของพระองค์ เฉพาะครอบครัวเท่านั้น—ชายและหญิงที่ดำเนินชีวิตคู่ควรแก่การเข้าไปในพระนิเวศน์ของพระเจ้าและรับการผนึกไว้ด้วยกัน—จึงจะมีสิทธิ์ สามีภรรยารับพรครบถ้วนของฐานะปุโรหิตด้วยกัน หาไม่แล้วก็ไม่ได้รับเลย

น่าสนใจที่ในคำปฏิญาณและพันธสัญญาของฐานะปุโรหิต พระเจ้าทรงใช้คำกริยา ได้รับ และ รับ พระองค์ไม่ทรงใช้คำกริยา กำหนดให้ ในพระวิหารชายและหญิง—ทั้งคู่—ได้รับและรับพรและพลังของทั้งฐานะปุโรหิตแห่งอาโรนและฐานะปุโรหิตแห่งเมลคีเซเดค หลังจากคู่ชายหญิงได้รับพรเหล่านี้ในพระนิเวศน์ของพระเจ้า ตามหลักแล้วในชีวิตครอบครัวนั่นเองที่พวกเขาพัฒนาอุปนิสัยและคุณลักษณะเหมือนพระผู้เป็นเจ้า—เสียสละให้กัน รับใช้กัน รักกันด้วยความซื่อสัตย์ภักดีอย่างสมบูรณ์ เป็นหนึ่งเดียวกันในความรักที่มีต่อกันและต่อพระผู้เป็นเจ้า

ความบริบูรณ์ ฐานะปุโรหิต ครอบครัว—สามคำที่เกี่ยวข้องกันนี้ล้วนเป็นส่วนหนึ่งในความเป็นจริงของการแต่งงานนิรันดร์ การทำทั้งหมดในอำนาจของเราเพื่อทำให้การแต่งงานนิรันดร์เป็นจริงในชีวิตมรรตัยทำให้เรามั่นใจว่าเราจะไม่เสียเวลาเปล่าบนแผ่นดินโลก

ซาตานผู้หลอกลวงตลอดกาล เขาอยู่ทั่วไปในสมัยของเราเพื่อบิดเบือนความเป็นจริงของความเป็นมรรตัย เขาทำงานล่วงเวลาเพื่อทำลายความหมายและความสำคัญของการแต่งงานในความคิดของชายหญิง กับบางคน เขาขายคำโป้ปดว่าการแต่งงานไม่จำเป็น รักเท่านั้นก็พอ กับหลายคนเขาพยายามใช้นิยามใหม่ตามกฎหมายของการแต่งงานมาทำให้ความสัมพันธ์ที่ผิดศีลธรรมกลายเป็นเรื่องถูกกฎหมาย กับคนที่เชื่อเรื่องการแต่งงานตามที่พระผู้เป็นเจ้าทรงนิยามไว้ เขาทำให้ความสำคัญของการแต่งงานลดลงเนื่องจากการศึกษาและความมั่นคงทางการเงิน เขาทำให้คนกลัวการเสียสละและปัญหายุ่งยากเกี่ยวกับการแต่งงาน โดยที่กลัวจนไม่กล้าทำอะไร หลายคนจึงนั่งอยู่เฉยๆ เหมือนวัตถุที่ถูกกระทำแทนที่จะก้าวไปข้างหน้าและปฏิบัติด้วยศรัทธา

บางคน หนักใจกับงานยากของการสร้างความสัมพันธ์ที่แท้จริงแต่ก็รู้สึกว่าตนปรารถนาการครองคู่และความสัมพันธ์ใกล้ชิดจึงถูกล่อใจด้วยความหวังผิดๆ ในโลกเสมือนจริง การที่พวกเขาพยายามมีความสัมพันธ์เสมือนจริงจะไม่ก่อให้เกิดสิ่งใดนอกจากความว่างเปล่า ความปรารถนา และความละอายใจยิ่งขึ้น หลายคนถูกดึงเข้าไปในการค้นหาที่ว่างเปล่าครั้งแล้วครั้งเล่าจนแบบแผนของพวกเขากลายเป็นความมัวเมาลุ่มหลงที่ไม่มีวันพอใจ5 พวกเขาติดอยู่ในวงจรที่บ่อนทำลายแรงใจให้ต่อต้านการล่อลวง พวกเขายังคงมีสิทธิ์เสรีแต่มีความหวังไม่มากพอจะสามารถต่อต้านได้ โดยที่ติดอยู่ในร่างแหเช่นนี้ พวกเขาจึงเสี่ยงต่อการไม่ได้รับความบริบูรณ์และปีติของความเป็นจริงอันสูงส่งที่สุดประการหนึ่งของความเป็นมรรตัย นั่นก็คือ การแต่งงานนิรันดร์

หากท่านติดอยู่ในร่างแหเช่นนี้ จงขอความช่วยเหลือ อย่ารอ การติดอยู่ในนั้นจะทำให้การเติบโตและความก้าวหน้าของท่านในความเป็นมรรตัยช้าลง

จงสำรวจชีวิตท่าน จงแน่ใจว่าแนวคิดผิดๆ เกี่ยวกับการแต่งงานไม่ได้ทำให้ความคิดของท่านมืดมน จำไว้ว่าการแต่งงานที่ประสบความสำเร็จตั้งอยู่บน “ศรัทธา การสวดอ้อนวอน การกลับใจ การให้อภัย ความเคารพ ความรัก ความเห็นอกเห็นใจ การทำงาน และกิจกรรมนันทนาการที่ดีงาม”6

จงเริ่มสร้างคุณลักษณะเหล่านั้นวันนี้ในชีวิตส่วนตัวของท่าน ขณะทำเช่นนั้น พระเจ้าจะทรงเปิดทางให้ท่านได้รับความบริบูรณ์ของพรที่ทรงเตรียมไว้ให้บุตรธิดาของพระองค์—พันธสัญญาใหม่และเป็นนิจของการแต่งงาน อย่าปล่อยให้ความเป็นมรรตัยของท่าน “ร้างลงสิ้น” (โจเซฟ สมิธ—ประวัติ 1:39)

ความเป็นจริงข้อ 3: การให้กำเนิดและการเลี้ยงดูบุตรธิดาช่วยเราพัฒนาความสามารถที่จะเป็นเหมือนพระผู้เป็นเจ้า

ภาพ
A young family in England.

ในเวลาที่พระองค์ทรง “อวยพร” หรืออนุมัติให้อาดัมและเอวาสร้างครอบครัวแรกบนแผ่นดินโลก7 พระผู้เป็นเจ้าประทานพระบัญญัติให้ทั้งสองมีลูกดกทวีมากขึ้นจนเต็มแผ่นดินโลก (ดู ปฐมกาล 1:28; โมเสส 2:28) การแต่งงานและบุตรธิดาเกี่ยวข้องกัน อำนาจการสร้างที่ให้กำเนิดชีวิตจะใช้เฉพาะระหว่างชายหญิงที่แต่งงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น8

อาดัมและเอวาเข้าใจว่าการให้กำเนิดคือความเป็นจริงที่สำคัญของความเป็นมรรตัย พวกท่านเชื่อฟังพระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้า “และอาดัมเสพสมกับภรรยา, และนางคลอดบุตรและธิดาให้เขา, และพวกเขาเริ่มขยายเผ่าพันธุ์และเพิ่มพูนให้เต็มแผ่นดินโลก” (โมเสส 5:2) ศาสดาพยากรณ์ในสมัยของเราประกาศว่า “พระบัญญัติของพระผู้เป็นเจ้าที่ให้บุตรธิดาของพระองค์ขยายเผ่าพันธุ์และเพิ่มพูนให้เต็มแผ่นดินโลกยังมีผลบังคับ”9

อย่างไรก็ดี ในโลกทุกวันนี้ คนจำนวนมากไม่เชื่ออีกต่อไปว่า “บุตรทั้งหลายเป็นมรดกจากยาเวห์” (สดุดี 127:3)

หลายปีก่อน ชายหญิงคู่หนึ่งที่กำลังจะแต่งงานมาพบข้าพเจ้า พวกเขาขอคำแนะนำจากข้าพเจ้าเรื่องลูก ข้าพเจ้าเตือนพวกเขาให้นึกถึงพระบัญญัติที่พวกเขาจะได้รับเมื่อรับการผนึก และข้าพเจ้าแนะนำให้พวกเขารักษาพระบัญญัติข้อนี้ผ่านการหารือกับพระเจ้า ข้าพเจ้าเตือนพวกเขาว่านี่เป็นพระบัญญัติเหมือนส่วนสิบ การถือปฏิบัติวันสะบาโต หรือพระบัญญัติข้ออื่น ทันทีที่ทำพันธสัญญา คำถามไม่ได้อยู่ที่ว่าจะรักษาพันธสัญญาหรือไม่ แต่อยู่ที่ว่าจะรักษาอย่างไรเพื่อให้พระเจ้าพอพระทัยและเห็นชอบ

ข้าพเจ้าเฝ้าดูพวกเขาเริ่มต้นชีวิตแต่งงาน ฝ่ายชายเหลืออีกปีเดียวก็จะเรียนจบปริญญาตรี ส่วนฝ่ายหญิงเหลืออีกหนึ่งปีจะจบปริญญาโท พวกเขารู้สึกว่าต้องมีครอบครัวทันที—แม้จะต้องเรียนหนังสือและไม่แน่ใจเรื่องอาชีพในอนาคต การมีบุตรเร็วไม่ง่ายหรือไม่สะดวก เขาต้องหางาน พวกเขาต้องย้าย และเธอต้องเรียนให้จบ พวกเขาเผชิญความเครียดและการเสียสละ เขาต้องรีบกลับบ้านทุกวันและดูแลลูกน้อยช่วงที่เธอทำวิทยานิพนธ์และฝึกงาน เธอศึกษาและเขียนระหว่างให้นมบุตรและเปลี่ยนผ้าอ้อม

พระเจ้าประทานพรและทรงทำให้พวกเขารุ่งเรือง ขณะที่อีกหลายคนตกงานในช่วงเศรษฐกิจซบเซาปี 2008 แต่เขายังมีงานทำและได้เลื่อนตำแหน่ง เพราะพวกเขาประหยัดมัธยัสถ์ พวกเขาจึงไม่มีหนี้ยกเว้นค่าผ่อนบ้าน และพวกเขาสามารถจ่ายค่าเรียนปริญญาโทจนครบโดยไม่มีหนี้ พวกเขายังคงเรียนรู้บทเรียนอันมีค่าที่มากับการเป็นบิดามารดาเท่านั้น การให้กำเนิดไม่ง่ายทั้งไม่สะดวก แต่นั่นเป็นพระบัญญัติที่ช่วยให้เรารับรู้ถึงพรแท้จริงของความเป็นมรรตัย

ของประทานอันยิ่งใหญ่

ความเป็นมรรตัยเป็นของประทานอันยิ่งใหญ่ที่สุดประการหนึ่งที่พระบิดาประทานแก่เรา พระองค์ทรงรักเราและทรงต้องการให้เราใช้ของประทานดังกล่าวอย่างเต็มที่และครบถ้วน โดยน้อมรับและมุ่งเน้นความเป็นจริงที่พระผู้เป็นเจ้าทรงเปิดเผยเท่านั้นเราจึงจะบรรลุจุดประสงค์ที่เรามายังแผ่นดินโลก ซาตานรู้ว่าเขาไม่สามารถทำอะไรได้เพื่อกีดกันเราไม่ให้ได้รับร่างกาย ด้วยเหตุนี้เขาจึงพยายามเบนเราออกจากจุดประสงค์ที่สร้างเรามา—ทำงาน แต่งงาน และให้กำเนิดบุตร

ขอเราอย่าดำเนินชีวิตไร้จุดหมายและไม่มีจุดประสงค์เพียงเพื่อพบในท้ายที่สุดว่าเราได้ใช้เวลาบนแผ่นดินโลกตัดขาดจากความเป็นจริงที่ได้รับการเปิดเผยของความเป็นมรรตัยที่จำเป็นต่อการบรรลุจุดประสงค์ของเราที่นี่ ขอให้เราหลีกเลี่ยงแนวคิดผิดๆ ในเรื่องกฎเกณฑ์ของมนุษย์และยึดมั่นความจริงที่พระผู้เป็นเจ้าทรงเปิดเผยทั้งนี้เพื่อการเดินทางผ่านความเป็นมรรตัยของเราจะมีค่า สมบูรณ์ และเป็นจริง

อ้างอิง

  1. ดู อับราฮัม 3:26, 28.

  2. ดู “ครอบครัว: ถ้อยแถลงต่อโลก,” เลียโฮนา,พ.ย. 2010, 165.

  3. เอช. เดวิด เบอร์ตัน, “พรของการทำงาน,” เลียโฮนา, ธ.ค. 2009, 37.

  4. นีล แอล. แอนเดอร์เซ็น, “ความคารวะพระผู้เป็นเจ้าเป็นจุดเริ่มต้นของปัญญา,” เลียโฮนา, ม.ค. 2013, 26; ดู โรเบิร์ต ดี. เฮลส์, “การเป็นผู้เลี้ยงชีพที่มองการณ์ไกล: ทั้งทางโลกและทางวิญญาณ,” เลียโฮนา, พ.ค. 2009, 7–10.

  5. เอ็ลเดอร์โรเบิร์ต ดี. เฮลส์แห่งโควรัมอัครสาวกสิบสองกล่าวว่า “การเสพติดเป็นความปรารถนาของมนุษย์ปุถุชนและจะไม่มีวันเพียงพอ” (“การเป็นผู้เลี้ยงชีพที่มองการณ์ไกล: ทั้งทางโลกและทางวิญญาณ,” 11).

  6. “ครอบครัว: ถ้อยแถลงต่อโลก”

  7. ดู โจเซฟ ฟิลดิงก์ สมิธ, Doctrines of Salvation, comp. บรูซ อาร์. แมคคองกี เล่ม 3 (1954–56), 1:115, 2:71.

  8. “ครอบครัว: ถ้อยแถลงต่อโลก”

  9. “ครอบครัว: ถ้อยแถลงต่อโลก”