คำสอนของประธานศาสนจักร
บทที่ 16: พลังของพระคัมภีร์มอรมอน


บทที่ 16

พลังของพระคัมภีร์มอรมอน

“ถึงชาวโลกที่หวั่นไหวในศรัทธา พระคัมภีร์มอรมอนเป็นพยานอันทรงพลังถึงความเป็นพระเจ้าของพระเจ้า”

จากชีวิตของกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์

เมื่อกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์เป็นหนุ่ม ท่านได้วางรูปแบบการศึกษาพระคัมภีร์อย่างหนึ่ง “สมัยเป็นผู้สอนศาสนา ข้าพเจ้าอ่านพระคัมภีร์มอร-มอนสองสามบทก่อนนอนทุกคืน” ท่านกล่าว “และมีความเชื่อมั่นเข้ามาในใจข้าพเจ้าซึ่งไม่เคยจากไปว่านี่คือพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้า ได้รับการฟื้นฟูบนแผ่นดินโลกโดยเดชานุภาพของพระผู้ทรงฤทธานุภาพ แปลโดยของประทานและเดชานุภาพของพระผู้เป็นเจ้าเพื่อทำให้ชาวยิวและคนต่างชาติมั่นใจว่าพระเยซูคือพระคริสต์”1

ความรู้และประจักษ์พยานของท่านเกี่ยวกับพระคัมภีร์มอรมอนมีอิทธิพลต่อคนมากมายหลังจบงานเผยแผ่ เมื่อท่านทำงานเป็นลูกจ้างของคณะกรรมการวิทยุ ประชาสัมพันธ์ และข้อมูลข่าวสารงานเผยแผ่ของศาสนจักร ท่านได้รับงานมอบหมายให้เขียนบทสำหรับรายการวิทยุชื่อว่า พยานใหม่สำหรับพระคริสต์ รายการนี้ทำให้ข้อความในพระคัมภีร์มอรมอนน่าสนใจและน่าตื่นเต้นสำหรับผู้ฟัง เวลานั้น ท่านแสดงความเห็นต่อเพื่อนร่วมงานคนหนึ่งว่า “ผมคิดเสมอว่าเราจะทำงานดีที่สุดของเราเมื่อเราทำให้ผู้คนสนใจพระคัมภีร์มอรมอนจนถึงจุดที่พวกเขาจะอ่านพระคัมภีร์เล่มนี้ นั่นเป็นเวลาที่พระวิญญาณจะทรงสามารถเป็นพยานถึงความศักดิ์สิทธิ์ของพระคัมภีร์มอรมอน”2

ประธานฮิงค์ลีย์เน้นความสำคัญของพระคัมภีร์มอรมอนตลอดการปฏิบัติศาสนกิจของท่าน ในเดือนสิงหาคม ปี 2005 ในฐานะประธานศาสนจักร ท่านท้าทายวิสุทธิชนยุคสุดท้ายให้อ่านจบเล่มก่อนสิ้นปี ท่านรายงานในเวลาต่อมาว่า “น่าทึ่งที่มีหลายคนทำตามคำท้านั้น ทุกคนที่อ่านได้รับพรเพราะความพยายามของตน ขณะที่พวกเขาใฝ่ใจศึกษาพยานเพิ่มเติมของพระผู้ไถ่ของเรา ใจพวกเขามีชีวิตและวิญญาณพวกเขาตื้นตัน”3

ภาพ
ชายอ่านพระคัมภีร์

“พยานยืนยันความจริงและความถูกต้อง [ของพระคัมภีร์มอรมอน] อยู่ภายในปกหนังสือเล่มนี้ การทดสอบความจริงอยู่ในการอ่านหนังสือเล่มนี้”

คำสอนของกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์

1

พระคัมภีร์มอรมอนเป็นพยานถึงพระเยซูคริสต์คู่กับพระคัมภีร์ไบเบิล

คนในสมัยโบราณกล่าว และพระผู้ช่วยให้รอดตรัสว่าด้วยปากของพยานสองคนหรือมากกว่านั้นทุกสิ่งจะได้รับการสถาปนา4

พระคัมภีร์ไบเบิลเป็นพยานหลักฐานของโลกเก่าฉันใด พระคัมภีร์มอรมอนเป็นพยานหลักฐานของโลกใหม่ฉันนั้น พระคัมภีร์ทั้งสองเล่มประกาศคู่กันว่าพระเยซูทรงเป็นพระบุตรของพระบิดา5

พระคัมภีร์มอรมอน … เป็นพยานถึงพระองค์ผู้ประสูติในเบธเลเฮมแคว้นยูเดียและสิ้นพระชนม์บนเนินเขาคัลวารี ต่อชาวโลกที่หวั่นไหวในศรัทธา พระคัมภีร์มอรมอนเป็นหลักฐานอันทรงพลังอีกเล่มหนึ่งถึงความเป็นพระเจ้าของพระเจ้า คำนำที่ศาสดาพยากรณ์ผู้เดินอยู่บนพื้นที่ของทวีปอเมริกาเมื่อหนึ่งพันห้าร้อยปีก่อนเขียนไว้บ่งบอกชัดเจนว่าพระคัมภีร์เล่มนี้เขียนไว้เพื่อ “ให้ชาวยิวและคนต่างชาติมั่นใจด้วยว่าพระเยซูคือพระคริสต์, พระผู้เป็นเจ้านิรันดร์, และทรงแสดงองค์ให้ประจักษ์แก่ประชาชาติทั้งปวง.”6

ไม่มีสิ่งใดที่เราทำได้จะสำคัญกว่าการมีความเชื่อมั่นไม่สั่นคลอนในชีวิตเราแต่ละคนว่าพระเยซูคือพระคริสต์ … และ พี่น้องทั้งหลาย นั่นคือจุดประสงค์ของการออกมาของพระคัมภีร์อันน่าทึ่งและวิเศษสุดนี้7

2

โดยอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์เราจะได้รับพยานยืนยันที่มาอันศักดิ์สิทธิ์ของพระคัมภีร์มอรมอน

ข้าพเจ้าได้อ่านพระคัมภีร์มอรมอนซึ่ง [โจเซฟ สมิธ] แปลโดยของประทานและเดชานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า โดยอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ข้าพเจ้าได้รับประจักษ์พยานและพยานยืนยันที่มาอันศักดิ์สิทธิ์ของบันทึกศักดิ์สิทธิ์นี้8

ที่มาของพระคัมภีร์เล่มนี้น่าอัศจรรย์ เมื่อเล่าเรื่องราวของที่มาดังกล่าวให้คนที่ไม่เคยฟังเป็นครั้งแรก พวกเขาแทบไม่เชื่อ แต่พระคัมภีร์อยู่ที่นี่ให้พวกเขาสัมผัส จับ และอ่าน ไม่มีใครแย้งการมีหนังสือเล่มนี้ได้ ทุกคนที่พยายามอธิบายที่มาของหนังสือเล่มนี้นอกเหนือจากเรื่องราวที่โจเซฟ สมิธให้ไว้ล้วนแสดงให้เห็นว่าขาดข้อมูลจริง9

หลักฐานยืนยันความจริงของพระคัมภีร์มอรมอน ยืนยันความถูกต้องของพระคัมภีร์มอรมอนในโลกที่มักเรียกร้องหลักฐาน ไม่ได้อยู่ในโบราณคดีหรือมานุษยวิทยา แม้สิ่งเหล่านี้จะเป็นประโยชน์บ้างก็ตาม ไม่อยู่ในงานวิจัยภาษาหรือการวิเคราะห์ทางประวัติศาสตร์ แม้สิ่งเหล่านี้อาจมีหลักฐานยืนยัน หลักฐานยืนยันความจริงและความถูกต้องของพระคัมภีร์มอรมอนอยู่ภายในปกหนังสือเล่มนี้ การทดสอบความจริงอยู่ในการอ่าน นี่เป็นหนังสือของพระผู้เป็นเจ้า คนมีเหตุผลอาจตั้งคำถามอย่างจริงใจถึงที่มาของหนังสือเล่มนี้ แต่คนที่อ่านร่วมกับการสวดอ้อนวอนจะรู้โดยอำนาจเหนือสัมผัสตามธรรมชาติของพวกเขาว่านี่เป็นความจริง ในนั้นบรรจุพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้า สรุปความจริงเกี่ยวกับความรอดของพระกิตติคุณอันเป็นนิจ และ “ออกมาโดยของประทานและเดชานุภาพของพระผู้เป็นเจ้า … เพื่อให้ชาวยิวและคนต่างชาติมั่นใจด้วยว่าพระเยซูคือพระคริสต์”10

[โมโรไน] เขียนพยานหลักฐานสุดท้ายของท่านในพระคัมภีร์ซึ่งมีชื่อของท่านและซึ่งสรุปบันทึกชาวนีไฟ ท่านเขียนในฐานะผู้มีความรู้แน่ชัดว่าสุดท้ายแล้วบันทึกนี้จะเผยออกมา …

ในบทสุดท้ายที่ท่านเรียบเรียง ท่านแสดงประจักษ์พยานยืนยันบันทึกของผู้คนของท่านและสัญญาชัดเจนว่าคนที่อ่านจะรู้โดยอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ว่าพระคัมภีร์เล่มนี้เป็นความจริงจริง [ดู โมโรไน 10:3-5]

ไม่มีหนังสือเล่มใดมีคำสัญญาเช่นนั้น ถ้าโมโรไนไม่ได้เขียนอะไรอีก คำสัญญานี้ในประจักษ์พยานทิ้งท้ายของท่านคงจะทำให้ท่านได้ชื่อว่าเป็นพยานฝีปากเอกของความจริงนิรันดร์ไปชั่วกาลนาน เพราะท่านกล่าวว่า “โดยอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ท่านจะรู้ความจริงของทุกเรื่อง” (โมโรไน 10:5)11

3

ประจักษ์พยานของพระคัมภีร์มอรมอนทำให้เกิดความมั่นใจในความจริงอีกหลายเรื่อง

ทุกครั้งที่เรากระตุ้นให้คนอื่นๆ อ่านพระคัมภีร์มอรมอน เราทำเพื่อประโยชน์ของพวกเขา ถ้าพวกเขาอ่านร่วมกับการสวดอ้อนวอนและด้วยความปรารถนาจะรู้ความจริงด้วยใจจริง พวกเขาจะรู้โดยอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ว่าพระคัมภีร์เล่มนี้จริง

จากความรู้นั้นจะมีความมั่นใจในความจริงอีกหลายเรื่อง เพราะถ้าพระคัมภีร์มอรมอนจริง พระผู้เป็นเจ้าย่อมทรงพระชนม์ ประจักษ์พยานหลายต่อหลายเรื่องวิ่งผ่านหน้าหนังสือพระคัมภีร์มอรมอนยืนยันความจริงอันทรงคุณค่าว่าพระบิดาของเราทรงดำรงอยู่จริง พระองค์ทรงเป็นพระบุคคล พระองค์ทรงรักบุตรธิดาของพระองค์และทรงมุ่งหมายให้พวกเขามีความสุข

ถ้าพระคัมภีร์มอรมอนจริง เมื่อนั้นพระเยซูย่อมเป็นพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า พระองค์เดียวที่ถือกำเนิดจากพระบิดาในเนื้อหนัง ประสูติจากมารีย์ “หญิงพรหมจารีนางหนึ่ง, สวย … เหนือกว่าหญิงพรหมจารีอื่นทั้งสิ้น” (ดู 1 นีไฟ 11:13-21) เพราะพระคัมภีร์เล่มนี้เป็นพยานได้ดีกว่าคำพรรณนาในวรรณกรรมอื่นทั้งหมด

ถ้าพระคัมภีร์มอรมอนจริง พระเยซูย่อมทรงเป็นพระผู้ไถ่ของเรา พระผู้ช่วยให้รอดของโลกจริงๆ …

ถ้าพระคัมภีร์มอรมอนจริง โจเซฟ สมิธย่อมเป็นศาสดาพยากรณ์ของพระผู้เป็นเจ้า เพราะท่านเป็นเครื่องมือในพระหัตถ์ของพระผู้เป็นเจ้าในการเปิดเผยประจักษ์พยานนี้และความเป็นพระเจ้าของพระเจ้าของเรา

ถ้าหนังสือเล่มนี้จริง [ประธานศาสนจักร] ย่อมเป็นศาสดาพยากรณ์ เพราะท่านถือกุญแจ ของประทาน พลังอำนาจ และสิทธิอำนาจทั้งหมดที่ถือโดยศาสดาพยากรณ์โจเซฟผู้นำงานยุคสุดท้ายนี้ออกมา

ถ้าพระคัมภีร์มอรมอนจริง ศาสนจักรย่อมจริง เพราะสิทธิอำนาจเดียวกับที่นำบันทึกศักดิ์สิทธิ์นี้ออกมายังคงอยู่และประจักษ์ชัดในหมู่พวกเราในปัจจุบัน พระผู้ช่วยให้รอดในปาเลสไตน์ทรงจัดเตรียมการฟื้นฟูศาสนจักร พระผู้ช่วยให้รอดทรงจัดเตรียมการฟื้นฟูศาสนจักรเมื่อพระองค์เสด็จเยือนทวีป [อเมริกา] ดังที่อธิบายไว้ในบันทึกศักดิ์สิทธิ์นี้

ถ้าพระคัมภีร์มอรมอนจริง พระคัมภีร์ไบเบิลย่อมจริง พระคัมภีร์ไบเบิลเป็นพยานหลักฐานของโลกเก่า พระคัมภีร์มอรมอนเป็นพยานหลักฐานของโลกใหม่ เล่มหนึ่งเป็นบันทึกของยูดาห์ อีกเล่มหนึ่งเป็นบันทึกของโยเซฟ และทั้งสองมาอยู่ด้วยกันในพระหัตถ์ของพระเจ้าในการทำให้คำพยากรณ์ของเอเสเคียลเกิดสัมฤทธิผล (ดู เอเสเคียล 37:19) ทั้งสองเล่มประกาศความเป็นกษัตริย์ของพระผู้ไถ่ของโลก และการดำรงอยู่จริงของอาณาจักรของพระองค์12

4

พระคัมภีร์มอรมอนเสนอคำสอนที่สามารถช่วยให้เราพบวิธีแก้ปัญหาของสังคมปัจจุบัน

ความเรียงเชิงบรรยายของ [พระคัมภีร์มอรมอน] เป็นลำดับเหตุการณ์ของประชาชาติต่างๆ ที่ดำรงอยู่เมื่อนานมาแล้ว แต่ในคำพรรณนาของพระคัมภีร์มอรมอนเกี่ยวกับปัญหาสังคมทุกวันนี้เป็นปัจจุบันเท่าๆ กับหนังสือพิมพ์รอบเช้า และมีความน่าเชื่อถือ ได้รับการดลใจ และสร้างแรงบันดาลใจยิ่งกว่าเกี่ยวกับวิธีแก้ปัญหาเหล่านั้น13

ข้าพเจ้าเปิดอ่านหน้าหนังสือพระคัมภีร์มอรมอน ในนั้นมีภาษาที่ไพเราะและยกระดับจิตใจ บันทึกสมัยโบราณที่แปลแล้วนั้นออกมาจากแผ่นดินโลกประหนึ่งเสียงพูดจากภัสมธุลี เป็นประจักษ์พยานของชายหญิงหลายรุ่นผู้มีชีวิตบนแผ่นดินโลก ต่อสู้กับความยากลำบาก ทะเลาะเบาะแว้งและต่อสู้กัน หลายครั้งดำเนินชีวิตตามกฎสวรรค์และรุ่งเรือง หลายคราวก็ทอดทิ้งพระผู้เป็นเจ้าและลงไปสู่ความพินาศ14

ข้าพเจ้ารู้ว่าไม่มีงานเขียนใดอรรถาธิบายผลอันน่าเศร้าสลดต่อสังคมที่ดำเนินตามวิถีตรงข้ามกับพระบัญชาของพระผู้เป็นเจ้าได้ชัดเจนเช่นนั้น หน้าหนังสือพระคัมภีร์มอรมอนบอกเล่าเรื่องราวของสองอารยธรรมที่แตกต่างกันชัดเจนและเจริญรุ่งเรืองทางซีกโลกตะวันตก แต่ละอารยธรรมเริ่มต้นเป็นประชาชาติเล็กๆ ผู้คนดำเนินชีวิตในความเกรงกลัวพระเจ้า ทั้งสองรุ่งเรือง แต่ความรุ่งเรืองทำให้ความชั่วเพิ่มขึ้น ผู้คนยอมจำนนต่อกลลวงของผู้นำที่มักใหญ่ใฝ่สูงและเจ้าเล่ห์ผู้กดขี่พวกเขาด้วยภาษีหนักมาก ผู้กล่อมพวกเขาด้วยคำสัญญาจอมปลอม ผู้สนับสนุนและส่งเสริมการดำเนินชีวิตผิดศีลธรรมและชั่วร้าย ผู้นำพวกเขาเข้าสู่สงครามอันโหดร้ายซึ่งส่งผลให้ผู้คนหลายล้านคนเสียชีวิตและสองอารยธรรมที่ยิ่งใหญ่ในสองยุคที่ต่างกันดับสูญ

ไม่มีพยานหลักฐานอื่นใดเขียนอธิบายข้อเท็จจริงได้ชัดเจนว่าเมื่อผู้คนและประชาชาติดำเนินชีวิตด้วยความเกรงกลัวพระผู้เป็นเจ้าและเชื่อฟังพระบัญญัติของพระองค์ พวกเขาจะเจริญรุ่งเรือง แต่เมื่อพวกเขาไม่นำพาพระองค์และพระคำของพระองค์ ความเสื่อมถอยจะนำพวกเขาไปสู่ความอ่อนแอและความตายเว้นแต่จะใช้ความชอบธรรมหยุดยั้งสิ่งเหล่านั้น พระคัมภีร์มอรมอนเป็นการยืนยันสุภาษิตของพันธสัญญาเดิมที่ว่า “ความชอบธรรมย่อมเชิดชูประชาชาติ แต่บาปเป็นสิ่งที่น่าอายมากแก่ชนชาติ” (สภษ. 14:34)15

5

พระคัมภีร์มอรมอนมีพลังเปลี่ยนชีวิตและมุมมองของเรา

ในเดือนสิงหาคม ปี 1830 พาร์ลีย์ พาร์คเกอร์ แพรทท์นักเทศน์ที่เป็นฆราวาส เดินทางจากโอไฮโอไปทางตะวันออกของนิวยอร์ก ที่เมืองนวร์ก ริมคลองอิรี เขาทิ้งเรือและเดินสิบไมล์ [16 กิโลเมตร] เข้าไปในชนบทแห่งหนึ่ง เขาพบผู้ช่วยบาทหลวงนิกายแบปทิสต์ชื่อแฮมลิน บาทหลวงบอกเขา “เรื่อง หนังสือเล่มหนึ่ง หนังสือแปลก หนังสือที่แปลกมากเล่มหนึ่ง! … เขาบอกว่ามีคนอ้างว่าหนังสือเล่มนี้เดิมทีเขียนไว้บนแผ่นจารึกทองคำหรือไม่ก็ทองเหลือง โดยคนหนึ่งของเผ่าอิสราเอล ชายหนุ่มคนหนึ่งใกล้พอลไมรา ในรัฐนิวยอร์กค้นพบและแปลโดยความช่วยเหลือของนิมิตที่เห็นหรือการปฏิบัติของเหล่าเทพ ข้าพเจ้าถามเขาว่าได้หนังสือนี้มาอย่างไรและจากที่ไหน เขาสัญญาว่าจะนำมาให้ข้าพเจ้าดูที่บ้านของเขาวันรุ่งขึ้น … เช้าวันรุ่งขึ้นข้าพเจ้าแวะที่บ้านเขา นั่นเป็นครั้งแรกที่ข้าพเจ้าเห็น ‘พระคัมภีร์มอร-มอน’—หนังสือที่สำคัญกว่าหนังสือเล่มอื่น … ซึ่งเป็นช่องทางหลักในพระหัตถ์ของพระผู้เป็นเจ้าด้วยการชี้นำวิถีชีวิตอนาคตทั้งหมดของข้าพเจ้า

ภาพ
พาร์ลีย์ พี. แพรทท์กำลังอ่าน

พระคัมภีร์มอรมอนมีผลลึกซึ้งต่อพาร์ลีย์ พี. แพรทท์ผู้เป็นอัครสาวกในเวลาต่อมา

“ข้าพเจ้าเปิดพระคัมภีร์ด้วยความกระหายใคร่รู้ และอ่านหน้าชื่อเรื่อง จากนั้นจึงอ่านประจักษ์พยานของพยานหลายๆ ท่านเกี่ยวกับวิธีที่พบและแปลพระคัมภีร์เล่มนี้ หลังจากนี้ข้าพเจ้าเริ่มอ่านเนื้อหาตามลำดับ ข้าพเจ้าอ่านทั้งวัน การกินเป็นภาระ ข้าพเจ้าไม่อยากอาหาร การนอนเป็นภาระเมื่อถึงเวลากลางคืน เพราะข้าพเจ้าชอบอ่านมากกว่านอน

“ขณะอ่าน พระวิญญาณของพระเจ้าสถิตกับข้าพเจ้า และข้าพเจ้ารู้และเข้าใจว่าหนังสือเล่มนี้เป็นความจริง ชัดเจนและประจักษ์ชัดเท่าที่ชายคนหนึ่งเข้าใจและรู้ว่าเขาดำรงอยู่” (Autobiography of Parley P. Pratt, 3rd ed., Salt Lake City: Deseret Book Co., 1938, pp. 36–37.)

เวลานั้นพาร์ลีย์ แพรทท์อายุยี่สิบสามปี การอ่านพระคัมภีร์มอรมอนมีผลต่อเขาอย่างลึกซึ้งจนเขารับบัพติศมาเข้ามาในศาสนจักรอีกไม่นานและกลายเป็นผู้แก้ต่างที่มีประสิทธิภาพและมีพลังมากที่สุดคนหนึ่งของพระคัมภีร์มอรมอน …

ประสบการณ์ของพาร์ลีย์ แพรทท์กับพระคัมภีร์มอรมอนไม่ใช่เรื่องแปลก เมื่อแจกจ่ายและอ่านฉบับพิมพ์ครั้งแรก ชายหญิงที่เข้มแข็งหลายร้อยคนซาบซึ้งใจอย่างยิ่งจนพวกเขายอมสละทุกอย่างที่ครอบครอง และในปีต่อๆ มา คนไม่น้อยสละชีวิตเพื่อพยานที่พวกเขามีในใจถึงความจริงของพระคัมภีร์อันน่าทึ่งเล่มนี้

ปัจจุบัน … มีคนอ่านแพร่หลายมากกว่าเวลาใดในประวัติศาสตร์ของพระคัมภีร์เล่มนี้ … … ความน่าสนใจของพระคัมภีร์อยู่เหนือกาลเวลาเช่นเดียวกับความจริง และเป็นสากลเช่นเดียวกับมวลมนุษย์16

[พระคัมภีร์มอรมอน] สัมผัสชีวิตหลายล้านคนผู้ได้อ่านร่วมกับการสวดอ้อนวอนและไตร่ตรองสิ่งที่เขียนไว้ ข้าพเจ้าขอเล่าเรื่องคนๆ หนึ่งที่เป็นเช่นนั้น …

เขาเป็นนักธุรกิจ ประสบความสำเร็จในกิจการของเขา ระหว่างเดินทางครั้งหนึ่งเขาพบผู้สอนศาสนาของเราสองคน ผู้สอนศาสนาพยายามขอนัดหมายเพื่อสอนเขา เขาบ่ายเบี่ยง แต่ในที่สุดก็ตกลงจะฟัง เขายอมรับพอเป็นพิธีในสิ่งที่ผู้สอนศาสนาพูด เขาเกิดความเชื่อมั่นในใจว่าผู้สอนศาสนาพูดความจริง แต่เขาไม่ประทับใจ

เขาตัดสินใจว่าจะอ่านพระคัมภีร์มอรมอน เขาพูดว่าเขาเป็นคนของโลก ไม่มีวันหลั่งน้ำตา แต่เมื่อเขาอ่าน น้ำตาเขาไหลอาบแก้ม นั่นมีผลบางอย่างต่อเขา เขาอ่านอีกครั้งและรู้สึกเหมือนเดิม สิ่งที่เคยเป็นการเปลี่ยนความคิดกลับกลายเป็นการเปลี่ยนใจ

วิถีชีวิตของเขาเปลี่ยนไป ทัศนะของเขาเปลี่ยนแปลง เขาทุ่มเททำงานของพระเจ้า ปัจจุบันเขาทำการเรียกอันสูงส่งและศักดิ์สิทธิ์ในอุดมการณ์ที่เขารัก17

ข้าพเจ้าจะขอเล่า [อีกเรื่องหนึ่ง] เกี่ยวกับพระคัมภีร์มอรมอน ข้าพเจ้าได้ยินชายคนหนึ่งที่เป็นนายธนาคารในแคลิฟอร์เนียเล่าเรื่องนี้ เขาบอกว่าเลขานุการของเขาสูบบุหรี่ตลอดเวลา เธอติดบุหรี่ เธอไม่สามารถเลิกได้ เธอพูดกับเขาวันหนึ่งว่า “ดิฉันจะเลิกสูบบุหรี่ได้อย่างไรคะ”

เขาหยิบพระคัมภีร์มอรมอนจากโต๊ะของเขาและยื่นให้เธอ เขาพูดว่า “อ่านนี่สิ”

เธอพูดว่า “ได้ค่ะ ดิฉันจะอ่าน”

อีกสองวันเธอกลับมาและพูดว่า “ดิฉันอ่านไปแล้ว 200 หน้า และไม่เห็นคำว่า สูบบุหรี่ เลย ดิฉันไม่เห็นคำว่า บุหรี่ เลย ดิฉันไม่เห็นว่าตรงไหนพูดถึงบุหรี่”

เขาพูดว่า “อ่านต่อไปสิครับ”

อีกสองวันเธอกลับมาและพูดว่า “ดิฉันอ่านอีก 200 หน้า—ไม่มีข้อไหนพูดถึงการสูบบุหรี่ นิโคติน หรือพูดเรื่องเกี่ยวกับบุหรี่เลย”

เขาพูดว่า “อ่านต่อไปสิครับ”

อีกสามสี่วันเธอกลับมา เธอพูดว่า “ดิฉันอ่านจบเล่มแล้วค่ะ ดิฉันไม่เห็นคำว่าบุหรี่ ไม่เห็นคำว่าสูบบุหรี่ แต่” เธอกล่าว “มีอิทธิพลบางอย่าง พลังบางอย่างเข้ามาในใจดิฉันอันเป็นผลจากการอ่านพระคัมภีร์เล่มนั้น ทำให้ความอยากบุหรี่หายไป และนั่นวิเศษมาก”18

ข้าพเจ้าจะเล่าเรื่องจดหมายฉบับหนึ่งที่เราได้รับให้ท่านฟัง … ชายคนหนึ่งเขียนว่า “ผมอยู่ในเรือนจำกลาง เมื่อเร็วๆ นี้ผมบังเอิญเจอพระคัมภีร์มอรมอนเล่มหนึ่งในห้องสมุดเรือนจำ ผมอ่าน และเมื่ออ่านคำคร่ำครวญของมอรมอนเกี่ยวกับผู้คนที่ตก—‘โอ้พวกท่านผู้งดงาม, ท่านออกไปจากทางของพระเจ้าได้อย่างไร! โอ้พวกท่านผู้งดงาม, ท่านปฏิเสธพระเยซูองค์นั้นได้อย่างไร, ผู้ทรงยืนกางพระพาหุรับท่านอยู่ ! ดูเถิด, หากท่านไม่ทำเช่นนี้, ท่านจะไม่ล้มตาย‘ (มอรมอน 6:17-18)—ผมรู้สึกว่ามอรมอนกำลังพูดถึงผม ผมอยากได้หนังสือเล่มนี้สักเล่ม”

เราส่งไปให้เขาหนึ่งเล่ม ต่อมาไม่นาน เขาเดินเข้ามาในสำนักงานของผมโดยไม่ใช่คนเดิม วิญญาณของพระคัมภีร์มอรมอนสัมผัสใจเขาและเวลานี้เขาประสบความสำเร็จ กอบกู้ชื่อเสียงคืน โดยทำงานหาเลี้ยงตนเองและครอบครัวอย่างซื่อสัตย์

นั่นคือพลังของพระคัมภีร์เล่มนี้ในชีวิตคนที่อ่านร่วมกับการสวดอ้อนวอน

พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าสัญญากับท่านโดยไม่ลังเลว่าถ้าท่านจะอ่านพระคัมภีร์มอรมอนร่วมกับการสวดอ้อนวอน ไม่ว่าท่านเคยอ่านมาแล้วกี่ครั้ง จะมีพระวิญญาณของพระเจ้าเข้ามาในใจท่านเพิ่มมากขึ้น จะมีความตั้งใจแน่วแน่มากขึ้นว่าจะดำเนินชีวิตด้วยการเชื่อฟังพระบัญญัติ และจะมีประจักษ์พยานเข้มแข็งขึ้นถึงการทรงพระชนม์อยู่จริงของพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า19

ข้อเสนอแนะสำหรับศึกษาและสอน

คำถาม

  • เหตุใดเราจึงต้องการพระคัมภีร์มอรมอน พระคัมภีร์ข้อใดบ้างในพระคัมภีร์มอรมอนที่เสริมสร้างประจักษ์พยานของท่านในพระเยซูคริสต์ ท่านเคยเห็นตัวอย่างอะไรบ้างในการเป็นพยาน “คู่กัน” ของพระคัมภีร์มอรมอนกับพระคัมภีร์ไบเบิลเกี่ยวกับพระผู้ช่วยให้รอด (ดู หัวข้อ 1)

  • ท่านคิดว่าเหตุใดคำสัญญาใน โมโรไน 10:3–5 จึงสำคัญกว่าหลักฐานที่เป็นรูปธรรมของพระคัมภีร์มอรมอน (ดู หัวข้อ 2) ท่านเคยมีประสบการณ์อะไรบ้างกับคำสัญญานี้

  • ขณะทบทวนหัวข้อ 3 ให้สังเกตความจริงที่เราจะรู้ได้เมื่อเรามีประจักษ์พยานเกี่ยวกับพระคัมภีร์มอรมอน พระคัมภีร์มอรมอนเป็นพยานถึงความจริงเหล่านี้อย่างไร

  • นึกถึง “ปัญหา (บางอย่าง) ของสังคมทุกวันนี้” (หัวข้อ 4) พระคัมภีร์มอรมอนจะช่วยให้เราพบวิธีแก้ไขปัญหาเหล่านั้นได้ในวิธีใดบ้าง ข้อใดบ้างในพระคัมภีร์มอรมอนเคยช่วยท่านในเวลาที่ท่านประสบปัญหาท้าทาย

  • ไตร่ตรองเรื่องราวในหัวข้อ 5 ถ้ามีคนถามท่านเกี่ยวกับพระคัมภีร์มอรมอน ท่านจะพูดอะไรบ้างเพื่อบอกว่าพระคัมภีร์มอรมอนมีอิทธิพลต่อชีวิตท่านอย่างไร

ข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง

อิสยาห์ 29:9–18; 1 นีไฟ 13:35–41; 2 นีไฟ 29:6–9; โมโรไน 10:27–29; คพ. 20:8–12; 42:12–13

ความช่วยเหลือด้านการศึกษา

“ข้าพเจ้ารู้สึกสำนึกคุณที่เน้นให้อ่านพระคัมภีร์ ข้าพเจ้าหวังว่าท่านจะมีความสุขกับการทำสิ่งนี้มากกว่าทำไปเพราะหน้าที่ นั่นจะกลายเป็นเรื่องราวความรักที่ท่านมีต่อพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้า ข้าพเจ้าสัญญากับท่านว่าเมื่อท่านอ่าน พระคัมภีร์เล่มนี้จะจุดประกายความคิดท่านและยกระดับวิญญาณท่าน ในเบื้องต้นอาจดูน่าเบื่อ แต่นั่นจะเปลี่ยนเป็นประสบการณ์อันน่าพิศวงกับความคิดและคำพูดเกี่ยวกับเรื่องศักดิ์สิทธิ์” (กอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์, “The Light within You,” Ensign, May 1995, 99)

อ้างอิง

  1. “Gifts to Bring Home from the Mission Field,” New Era, Mar. 2007, 2.

  2. ใน เชอรี แอล. ดิว, Go Forward with Faith: The Biography of Gordon B. Hinckley (1996), 100.

  3. “ให้คุณธรรมประดับความนึกคิดของท่านไม่เสื่อมคลาย,” เลียโฮนา, พ.ค. 2007, 144.

  4. “Inspirational Thoughts,” Ensign, July 1998, 2.

  5. “เรื่องสำคัญซึ่งพระเจ้าทรงเปิดเผย,” เลียโฮนา, พ.ค. 2005, 101.

  6. “The Symbol of Our Faith,” Ensign, Apr. 2005, 4; อ้างจากหน้าชื่อเรื่องของพระคัมภีร์มอรมอน.

  7. “Excerpts from Recent Addresses by President Gordon B. Hinckley,” Ensign, July 1997, 72.

  8. “Believe His Prophets,” Ensign, May 1992, 51.

  9. “An Angel from on High, the Long, Long Silence Broke,” Ensign, Nov. 1979, 7.

  10. “Four Cornerstones of Faith,” Ensign, Feb. 2004, 6; quoting the title page of the Book of Mormon.

  11. ใน Heroes from the Book of Mormon (1995), 198.

  12. “The Power of the Book of Mormon,” Ensign, June 1988, 6.

  13. “The Power of the Book of Mormon,” 4.

  14. “Four Cornerstones of Faith,” 5.

  15. “The Power of the Book of Mormon,” 5.

  16. “The Power of the Book of Mormon,” 2, 4.

  17. Mormon Should Mean ‘More Good,’” Ensign, Nov. 1990, 52.

  18. Discourses of President Gordon B. Hinckley, Volume 2: 2000–2004 (2005), 402–3.

  19. “The Power of the Book of Mormon,” 6.