คำสอนของประธานศาสนจักร
บทที่ 2: ธงสัญญาณให้ประชาชาติ แสงสว่างส่องโลก


บทที่ 2

ธงสัญญาณให้ประชาชาติ แสงสว่างส่องโลก

“นี่เป็นช่วงเวลาที่ต้องเข้มแข็ง นี่เป็นเวลาที่ต้องก้าวไปข้างหน้าโดยไม่ลังเล โดยรู้ความหมาย ขอบข่าย และความสำคัญในพันธกิจของเราเป็นอย่างดี”

จากชีวิตของกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์

ไม่นานหลังกลับจากงานเผยแผ่ในอังกฤษ กอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์ทำงานมอบหมายชิ้นสุดท้ายจากโจเซฟ เอฟ. เมอร์ริลล์ประธานคณะเผยแผ่ของท่านสำเร็จ ประธานเมอร์ริลล์เป็นสมาชิกโควรัมอัครสาวกสิบสองเช่นกัน ท่านขอให้กอร์ดอนรายงานต่อฝ่ายประธานสูงสุดซึ่งได้แก่ ประธานฮีเบอร์ เจ. แกรนท์ ประธานเจ. รูเบ็น คลาร์ก จูเนียร์ และประธานเดวิด โอ. แมคเคย์ กอร์ดอนติดต่อเลขานุการของฝ่ายประธานสูงสุดเพื่อนัดหมาย

เมื่อกอร์ดอนเข้าไปในห้องสภาของฝ่ายประธานสูงสุด ประธานแกรนท์และที่ปรึกษาของท่านทักทายท่านอย่างอบอุ่น จากนั้นประธานแกรนท์พูดว่า “บราเดอร์ฮิงค์ลีย์ เราจะให้เวลาคุณสิบห้านาทีบอกเราว่าเอ็ลเดอร์เมอร์ริลล์ต้องการให้เราทราบเรื่องอะไร” หนึ่งชั่วโมงสิบห้านาทีต่อมา กอร์ดอนออกจากห้องนั้น ในสิบห้านาทีที่จัดให้ ท่านนำเสนอข้อกังวลของประธานคณะเผยแผ่—ว่าผู้สอนศาสนาจำเป็นต้องมีสื่อสิ่งพิมพ์ช่วยพวกเขาในการทำงานมากขึ้น การนำเสนอสั้นๆ ของท่านนำไปสู่การซักถามจากฝ่ายประธานสูงสุดและการสนทนานานหนึ่งชั่วโมง

เมื่อทำงานมอบหมายนี้สำเร็จ กอร์ดอนรู้สึกว่า “พันธกิจของท่านเวลานี้สิ้นสุดแล้ว ถึงเวลาเดินหน้าและวางแผนสำหรับอนาคต” ท่านเรียนจบมหาวิทยาลัยแห่งยูทาห์สาขาวิชาภาษาอังกฤษ และท่านต้องการเรียนต่อปริญญาโทด้านวารสารศาสตร์ที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบียในนิวยอร์กซิตี แต่โทรศัพท์ที่มาถึงท่านสองวันหลังจากประชุมกับฝ่ายประธานสูงสุดเปลี่ยนแผนของท่าน โทรศัพท์จากประธานแมคเคย์บอกว่า “บราเดอร์ฮิงค์ลีย์ครับ เมื่อวานนี้เราปรึกษาหารือกันในการประชุมฝ่ายประธานและอัครสาวกสิบสองถึงสิ่งที่เราคุยกันในช่วงสัมภาษณ์กับคุณ เราได้จัดตั้งคณะกรรมการชุดหนึ่งประกอบด้วยสมาชิกอัครสาวกสิบสองหกคน โดยมีเอ็ลเดอร์สตีเฟน แอล. ริชาร์ดส์เป็นประธาน เพื่อดำเนินการตามที่คุณสรุปให้ฟัง เราต้องการเชิญคุณมาทำงานกับคณะกรรมการชุดนี้”1

กอร์ดอนยอมรับคำเชิญ ท่านได้รับว่าจ้างเป็นเลขาธิการของคณะกรรมการวิทยุ โฆษณาและข้อมูลข่าวสารงานเผยแผ่ของศาสนจักร ท่านไม่ได้ไปเรียนมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย และไม่ได้ทำงานเป็นนักหนังสือพิมพ์เพื่อตีพิมพ์ข่าวของโลก แต่ท่านเริ่มงานชั่วชีวิตตีพิมพ์ข่าวประเสริฐของพระกิตติคุณ ความรับผิดชอบเหล่านี้ขยายในเวลาต่อมาเมื่อท่านรับใช้เป็นเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่

โดยได้พัฒนาความสามารถในการแสดงความคิดหรือความรู้สึกออกมาอย่างชัดเจนแม้ในสถานการณ์ยากๆ กอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์จึงมักได้รับงานมอบหมายให้นักข่าวสัมภาษณ์ เมื่อเป็นประธานศาสนจักร ท่านยังคงได้รับโอกาสเช่นนี้ โดยทำส่วนของท่านเพื่อช่วยนำศาสนจักรของพระเยซูคริสต์ “ออกมาจากการปิดบัง” (คพ. 1:30) ท่านประกาศว่า

“ข้าพเจ้าเชื่อและเป็นพยานว่าพันธกิจของศาสนจักรนี้คือยืนเป็นธงสัญญาณให้ประชาชาติและเป็นแสงสว่างส่องโลก เราได้รับพระบัญชาครอบคลุมทั่วทุกด้านและสำคัญยิ่งซึ่งเราไม่สามารถย่อท้อหรือปฏิเสธได้ เรายอมรับพระบัญชานั้นและตั้งใจว่าจะทำให้สำเร็จ ด้วยความช่วยเหลือจากพระผู้เป็นเจ้าเราจะทำสำเร็จ”2

ภาพ
พระวิหารซอลท์เลค

“พันธกิจของศาสนจักรนี้คือยืนเป็นธงสัญญาณให้ประชาชาติและเป็นแสงสว่างส่องโลก”

คำสอนของกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์

1

เฉกเช่นก้อนหินในนิมิตของดาเนียล ศาสนจักรกำลังกลิ้งออกไปจนเต็มทั้งแผ่นดินโลก

ศาสนจักรนี้เริ่มต้นด้วยการสวดอ้อนวอนอย่างนอบน้อมของเด็กหนุ่มโจเซฟ สมิธในป่าที่บ้านไร่ของบิดาท่าน จากประสบการณ์อันน่าทึ่งนี้ ซึ่งเราเรียกว่านิมิตแรก ทำให้งานนี้เติบโต … นี่เป็นภาพพจน์เปรียบเทียบจากนิมิตของดาเนียลเกี่ยวกับก้อนหินถูกตัดออกจากภูเขา ไม่ใช่ด้วยมือมนุษย์ และกลิ้งออกไปจนเต็มทั้งแผ่นดินโลก (ดู ดาเนียล 2:44-45)3

คราวจัดตั้งศาสนจักรในปี ค.ศ. 1830 มีสมาชิกเพียงหกคน [และ] ผู้เชื่อเพียงหยิบมือเดียว ทุกคนอยู่ในหมู่บ้านที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้จัก … สเตคแห่งไซอันปัจจุบันเจริญรุ่งเรืองในทุกรัฐของสหรัฐ ในทุกจังหวัดของแคนาดา ในทุกรัฐของเม็กซิโก ในทุกประเทศของอเมริกากลาง และทั่วอเมริกาใต้

ที่ประชุมมีอยู่ทั่วบริติชไอลส์และยุโรปที่มีหลายพันคนเข้าร่วมศาสนจักรตลอดหลายปี งานนี้ออกไปถึงประเทศแถบบอลติกและลงมาทางบัลแกเรีย แอลแบเนีย และเขตอื่นๆ ในภูมิภาคนั้นของโลก ครอบคลุมพื้นที่กว้างใหญ่ของรัสเซีย ขึ้นไปถึงมองโกเลียและลงมาทางประเทศแถบเอเชียจนถึงหมู่เกาะแปซิฟิก ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ เข้าไปในอินเดียและอินโดนีเซีย ศาสนจักรกำลังเจริญรุ่งเรืองในหลายประเทศของแอฟริกา …

และนี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น งานนี้จะเติบโต รุ่งเรือง และก้าวหน้าต่อไปทั่วแผ่นดินโลก4

2

ผู้นำศาสนจักรสมัยแรกมองเห็นจุดหมายในงานของพระเจ้าตามการพยากรณ์

วันที่ 24 กรกฎาคม ค.ศ. 1847 คณะผู้บุกเบิกซึ่งเป็นผู้คนของเราเข้ามาในหุบเขา [ซอลท์เลค] กลุ่มที่ล่วงหน้ามาก่อนมาถึงหนึ่งหรือสองวันแล้ว บริคัม ยังก์มาถึงวันเสาร์ วันต่อมาการนมัสการวันสะบาโตจัดทั้งช่วงเช้าและช่วงบ่าย ไม่มีห้องหรือบ้านหลังใหญ่ให้ประชุม ข้าพเจ้าคิดว่าท่ามกลางอากาศร้อนจัดของวันอาทิตย์เดือนกรกฎาคมนั้นพวกเขานั่งบนเดือยเกวียนและพิงกงล้อขณะฟังเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่พูด เวลานั้นเป็นช่วงปลายฤดู พวกเขามีงานใหญ่และเร่งด่วนต้องทำถ้าจะเพาะปลูกในฤดูถัดไป แต่ประธานยังก์ขอร้องพวกเขาว่าอย่าละเมิดวันสะบาโตไม่ว่าเวลานั้นหรือในอนาคต

เช้าวันรุ่งขึ้นพวกเขาแบ่งกลุ่มออกสำรวจอาณาบริเวณโดยรอบ บริคัม ยังก์ วิลฟอร์ด วูดรัฟฟ์ และผู้ร่วมงานกลุ่มเล็กออกเดินจากบริเวณค่ายพักแรมของพวกเขา … พวกเขาปีนยอดเขารูปโดม ประธานยังก์ปีนลำบากเพราะท่านเพิ่งหายป่วย

เมื่อพี่น้องชายยืนบนยอดเขา พวกเขามองข้ามหุบเขาไปทางทิศใต้ ส่วนใหญ่เป็นพื้นที่แห้งแล้ง ยกเว้นต้นหลิวและต้นกกซึ่งงอกงามตามลำธารที่มีน้ำไหลจากภูเขาไปจนถึงทะเลสาบ ไม่มีตึกรามบ้านช่อง แต่บริคัม ยังก์พูดเมื่อวันเสาร์ที่แล้วว่า “ตรงนี้แหละ”

ยอดเขาที่พวกท่านยืนอยู่นั้นเรียกขานกันว่าเอ็นไซน์พีคตามคำของศาสดาพยากรณ์อิสยาห์ที่ว่า “พระองค์ [หมายถึงพระผู้เป็นเจ้า] จะทรงให้สัญญาณแก่ประชาชาติที่อยู่ไกล และผิวพระโอษฐ์เรียกเขามาจากที่สุดปลายแผ่นดินโลก และนี่แน่ะ เขาจะมาอย่างเร็วและรีบเร่ง” (อสย. 5:26)

“พระองค์จะทรงชูธงสัญญาณขึ้นให้แก่ประชาชาติทั้งหลาย และจะชุมนุมอิสราเอลที่พลัดพราก และรวบรวมยูดาห์ที่กระจัดกระจายจากมุมทั้งสี่ของแผ่นดินโลก” (อสย. 11:12) …

ในโอกาสนั้นข้าพเจ้าคิดว่า [พี่น้องชายเหล่านั้น] อาจพูดถึงอาคารพระวิหารด้วย … ตามสัมฤทธิผลจากถ้อยคำของอิสยาห์ที่ว่า

“ในวาระสุดท้ายจะเป็นดังนี้ คือภูเขาแห่งพระนิเวศของพระยาห์เวห์จะถูกสถาปนาขึ้นเป็นที่สูงสุดของภูเขาทั้งหลาย และจะถูกยกขึ้นให้อยู่เหนือบรรดาเนินเขา ประชาชาติทั้งหมดจะหลั่งไหลเข้ามาหา

“และชนชาติจำนวนมากจะมาและกล่าวว่า มาเถิด ให้เราขึ้นไปยังภูเขาของพระยาห์เวห์ ไปยังพระนิเวศของพระเจ้าของยาโคบ แล้วพระองค์จะทรงสอนวิถีของพระองค์แก่เรา และเพื่อเราจะเดินในมรรคาของพระองค์ เพราะว่าธรรมบัญญัติจะออกมาจากศิโยน และพระวจนะของพระยาห์เวห์จะออกมาจากเยรูซาเล็ม” (อสย. 2:2-3)

เช้าวันนั้นเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1847 อาจมีคนได้ยินแล้วพูดว่าช่างโง่จริง พวกเขาดูไม่เหมือนรัฐบุรุษที่มีความฝันอันยิ่งใหญ่ พวกเขาดูไม่เหมือนนักปกครองที่มุ่งมั่นศึกษาแผนที่และวางแผนสร้างจักรวรรดิ พวกเขาถูกเนรเทศ ถูกขับออกจากเมืองงามริมฝั่ง [แม่น้ำ] มิสซิสซิปปีเข้าไปในเขตทะเลทรายทางตะวันตก แต่พวกเขามีแรงจูงใจจากนิมิตที่ดึงมาจากพระคัมภีร์และถ้อยคำแห่งการเปิดเผย

ข้าพเจ้าอัศจรรย์ใจกับการมองเห็นล่วงหน้าของคนกลุ่มเล็กๆ กลุ่มนั้น พวกเขาองอาจกล้าหาญ แทบไม่น่าเชื่อ พวกเขาอยู่ที่นี่ ราวหนึ่งพันไมล์ [1,600 กิโลเมตร] จากถิ่นฐานใกล้สุดทางตะวันออกและราวแปดร้อยไมล์ [1,300 กิโลเมตร] จากชายฝั่งแปซิฟิก พวกเขาอยู่ในบริเวณที่ยังไม่มีการตรวจสอบ เนื้อดินต่างจากดินร่วนของอิลลินอยส์กับไอโอวาที่พวกเขาเคยอยู่ครั้งล่าสุด พวกเขาไม่เคยเพาะปลูกที่นี่ พวกเขาไม่เคยประสบฤดูหนาว พวกเขาไม่ได้สร้างสิ่งปลูกสร้างใดๆ ศาดาพยากรณ์เหล่านี้สวมเสื้อผ้าที่ใส่เดินทางจนเก่า สวมรองเท้าบู๊ตที่ใส่เดินมากกว่าหนึ่งพันไมล์จากนอวูถึงหุบเขาแห่งนี้ และพวกท่านพูดถึงวิสัยทัศน์ของมิลเลเนียม พวกท่านพูดจากภาพที่ศาสดาพยากรณ์มองเห็นจุดหมายอันน่าอัศจรรย์ของอุดมการณ์นี้ วันนั้นพวกท่านลงมาจากยอดเขาและไปทำงานเพื่อทำให้ฝันของพวกท่านเป็นจริง5

ภาพ
ผู้นำบนเอ็นไซน์พีค

สองวันหลังจากมาถึงหุบเขาซอลท์เลค บริคัม ยังก์และพี่น้องชายอีกหลายคนปีนเขารูปโดมซึ่งตั้งชื่อว่าเอ็นไซน์พีค และสำรวจอาณาบริเวณโดยรอบ

3

เราต้องไม่สูญเสียวิสัยทัศน์อันสูงส่งในงานของพระผู้เป็นเจ้าและบทบาทของเราในงานนั้น

บางครั้งในสมัยของเรา ขณะที่เราเดินตามทางแคบของเราและทำความรับผิดชอบเล็กๆ น้อยๆ ของเรา เรามักมองไม่เห็นภาพใหญ่ สมัยข้าพเจ้าเป็นเด็ก ม้าลากเกวียนมีให้เห็นอยู่ทั่วไป ส่วนสำคัญของเครื่องเทียมม้าคือบังเหียน บนบังเหียนแต่ละข้างมีที่ปิดตาม้า ม้าจะใส่ที่ปิดตาเพื่อให้มันมองตรงไปข้างหน้าเท่านั้น ไม่มองด้านข้าง ที่ปิดตาม้าออกแบบไว้เพื่อกันไม่ให้ม้าตื่นตกใจหรือวอกแวก และให้ม้าจดจ่ออยู่ที่ถนนตรงเท้าของมัน

พวกเราบางคนทำงานของเราประหนึ่งเรามีที่ปิดตา เรามองเฉพาะถนนเล็กๆ แคบๆ ของเรา เราจับวิสัยทัศน์ที่กว้างกว่าไม่ได้ เราอาจมีความรับผิดชอบเล็กน้อยในศาสนจักร การทำความรับผิดชอบนั้นให้เกิดสัมฤทธิผลด้วยความขยันหมั่นเพียรเป็นเรื่องดี และการรู้ว่าความรับผิดชอบนั้นเอื้อประโยชน์อย่างไรต่อโปรแกรมทั้งหมดในอาณาจักรที่กำลังเติบโตของพระผู้เป็นเจ้าเป็นเรื่องดีเช่นกัน

ประธานฮาโรลด์ บี. ลีเคยกล่าว … โดยอ้างอิงจากนักเขียนนิรนามคนหนึ่งว่า “จงสำรวจทุ่งกว้างและเพาะปลูกบนทุ่งเล็ก”

ข้าพเจ้าตีความประโยคนี้ว่าเราควรจะมองให้ออกทั้งความกว้าง ความลึก และความสูง—ยิ่งใหญ่และยอดเยี่ยม กว้างไกลและครอบคลุมทั่วทุกด้าน—ของโปรแกรมของพระเจ้า และต่อจากนั้นให้เราทำงานด้วยความขยันหมั่นเพียรตามความรับผิดชอบในส่วนที่เราได้รับมอบหมายของโปรแกรมนั้น

เราแต่ละคนมีทุ่งเล็กให้เพาะปลูก ขณะทำเช่นนั้น เราต้องไม่มองข้ามภาพที่ใหญ่กว่า ส่วนประกอบใหญ่ของจุดหมายอันสูงส่งของงานนี้ พระผู้เป็นเจ้าพระบิดานิรันดร์ประทานงานนี้แก่เรา และเราแต่ละคนมีบทบาทในการทอพรมผืนงามวิจิตรนี้ เราแต่ละคนอาจเอื้อประโยชน์เล็กน้อย แต่ใช่ว่าจะไม่สำคัญ… …

… ขณะกำลังทำส่วนซึ่งท่านได้รับเรียก อย่าสูญเสียวิสัยทัศน์ที่งามเลิศในจุดประสงค์ของสมัยการประทานความสมบูรณ์แห่งเวลานี้ จงทอด้ายเส้นเล็กของท่านในพรมผืนใหญ่ให้สวยตามแบบที่พระผู้เป็นเจ้าแห่งสวรรค์ทรงจัดเตรียมไว้ให้เรา ชูธงที่เราเดินอยู่ใต้นั้นให้สูงส่ง จงขยันหมั่นเพียร ซื่อตรง ใฝ่คุณธรรม เปี่ยมด้วยศรัทธา เพื่อจะไม่มีจุดด่างพร้อยในธงผืนนั้น

นิมิตเกี่ยวกับอาณาจักรนี้ไม่ใช่ความฝันเพียงผิวเผินตอนกลางคืนที่จางหายไปกับแสงอรุโณทัย แต่เป็นแผนและงานของพระผู้เป็นเจ้าพระบิดานิรันดร์ของเราอย่างแท้จริง ทั้งหมดนี้เกี่ยวข้องกับบุตรธิดาทุกคนของพระองค์

ขณะขุดรากเสจบรัชในบริเวณหุบเขาทางตะวันตก [ของยูทาห์] เพื่อวางรากฐานของรัฐ ขณะทำสิ่งสารพันของโลกมนุษย์ที่จำเป็นต้องทำเพื่อดำรงชีวิตและเติบโต บรรพชน [ผู้บุกเบิก] ของเรามีภาพความยิ่งใหญ่ของอุดมการณ์อันสำคัญยิ่งที่พวกเขามีส่วนร่วมอยู่ตรงหน้าพวกเขาเสมอ นี่เป็นงานที่เราต้องทำด้วยวิสัยทัศน์เหมือนกับพวกเขา นี่เป็นงานที่จะดำเนินต่อไปหลังเราออกจากฉากชีวิตนี้ พระผู้เป็นเจ้าทรงช่วยเราทำสุดความสามารถในฐานะผู้รับใช้ที่ได้รับเรียกภายใต้พระประสงค์ของพระองค์เพื่อผลักดันและสร้างอาณาจักรด้วยมือที่บกพร่องโดยพร้อมใจกันดำเนินตามแบบแผนที่สมบูรณ์6

4

เราสามารถเป็นธงสัญญาณให้ประชาชาติซึ่งคนของโลกจะได้มารวมพลังกันที่นั่น

พี่น้องทั้งหลาย ถึงเวลาแล้วที่เราต้องยืนอย่างภาคภูมิ ยกระดับสายตาและขยายความคิดให้เข้าใจพันธกิจแห่งมิลเลเนียมอันยิ่งใหญ่ของศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายมากขึ้น นี่เป็นช่วงเวลาที่ต้องเข้มแข็ง นี่เป็นเวลาที่ต้องก้าวไปข้างหน้าโดยไม่ลังเล โดยรู้ความหมาย ขอบข่าย และความสำคัญในพันธกิจของเราเป็นอย่างดี นี่เป็นเวลาที่ต้องทำสิ่งถูกต้องไม่ว่าผลที่ตามมาจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม นี่เป็นเวลาที่ต้องพบว่าเรากำลังรักษาพระบัญญัติ นี่เป็นช่วงเวลาที่ต้องยื่นมือช่วยเหลือผู้ที่ตกระกำลำบากและคนที่กำลังระหกระเหินในความมืดและความเจ็บปวดด้วยความเมตตาและความรัก นี่เป็นเวลาที่ต้องนึกถึงผู้อื่นและทำดี โอบอ้อมอารีและมีมารยาทต่อกันในความสัมพันธ์ทั้งหมดของเรา กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ จงเป็นเหมือนพระคริสต์มากขึ้น7

เว้นแต่โลกเปลี่ยนวิถีแนวโน้มในปัจจุบัน (ซึ่งดูไม่น่าจะเปลี่ยน) และในอีกกรณีหนึ่งคือถ้าเราทำตามคำสอนของศาสดาพยากรณ์ต่อไป เราจะกลายเป็นคนพิเศษและโดดเด่นมากขึ้นเรื่อยๆ จนโลกจะสังเกตเห็น ตัวอย่างเช่น เมื่อความซื่อสัตย์สุจริตของครอบครัวสูญสลายภายใต้แรงกดดันทางโลก จุดยืนของเราเกี่ยวกับความศักดิ์สิทธิ์ของครอบครัวจะชัดเจนขึ้นและพิเศษมากขึ้นถ้าเรามีศรัทธาที่จะรักษาจุดยืนนั้น

ขณะที่เจตคติของการทำตามใจในเรื่องเพศขยายไปทั่ว หลักคำสอนของศาสนจักรตามที่สอนกันมานานกว่าหนึ่งศตวรรษครึ่งจะผิดแผกมากขึ้นและแม้เป็นเรื่องแปลกสำหรับหลายคน

ขณะที่การบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์และการใช้ยาผิดประเภทเพิ่มขึ้นทุกปีตามค่านิยมของสังคมเรา จุดยืนของเราตามที่พระเจ้าทรงกำหนดมานานกว่าหนึ่งศตวรรษครึ่งจะแปลกประหลาดต่อโลกมากขึ้น …

เมื่อวันสะบาโตกลายเป็นวันค้าขายและความบันเทิง คนเหล่านั้นผู้เชื่อฟังหลักเกณฑ์ของกฎที่เขียนโดยนิ้วพระหัตถ์ของพระเจ้าบนเขาซีนายและการเปิดเผยยุคปัจจุบันจะดูแปลกประหลาดมากขึ้น

ไม่ง่ายเสมอไปที่จะอยู่ในโลกและไม่เป็นส่วนหนึ่งของโลก เราไม่สามารถอยู่กับตนเองหรือเพื่อตนเองได้ทั้งหมด และเราคงไม่ปรารถนาจะทำเช่นนั้น เราต้องสมาคมกับผู้อื่น ขณะทำเช่นนั้น เราจะมีมารยาท เราจะไม่ทำให้ผู้อื่นขุ่นเคือง เราจะหลีกเลี่ยงเจตนาหรือเจตคติของการคิดว่าตนเป็นฝ่ายถูก แต่เรารักษามาตรฐานของเราได้ …

ขณะที่เราถือปฏิบัติมาตรฐานเหล่านี้และอื่นๆ ที่ศาสนจักรสอน คนมากมายในโลกจะเคารพเราและพบพลังทำตามสิ่งที่พวกเขารู้เช่นกันว่าถูกต้อง

ในถ้อยคำของอิสยาห์ “และชนชาติจำนวนมากจะมาและกล่าวว่า มาเถิด ให้เราขึ้นไปยังภูเขาของพระยาห์เวห์ ไปยังพระนิเวศของพระเจ้าของยาโคบ แล้วพระองค์จะทรงสอนวิถีของพระองค์แก่เรา และเพื่อเราจะเดินในมรรคาของพระองค์” (อสย. 2:3)

เราไม่จำเป็นต้องประนีประนอม เราต้องไม่ประนีประนอม เทียนที่พระเจ้าทรงจุดไว้ในสมัยการประทานนี้สามารถเป็นแสงสว่างให้คนทั้งโลกได้ และคนอื่นๆ ที่เห็นงานดีของเราจะสรรเสริญพระบิดาในสวรรค์ของเราและพยายามทำตามสิ่งที่พวกเขาสังเกตเห็นในชีวิตเรา

เริ่มจากตัวท่านและข้าพเจ้า โดยคุณธรรมของชีวิตเราในบ้านของเรา ในอาชีพของเรา แม้แต่ในกิจกรรมบันเทิงของเรา คนทั้งปวงจะสามารถเป็นนครบนภูเขาซึ่งมนุษย์จะได้มองเห็นและเรียนรู้ เป็นธงสัญญาณให้ประชาชาติซึ่งคนของโลกจะได้มารวมพลังกันที่นั่น8

ถ้าเราจะยกศาสนจักรนี้ขึ้นเป็นธงสัญญาณให้ประชาชาติและแสงสว่างส่องโลก เราต้องรับเอาแสงสว่างจากพระชนม์ชีพของพระคริสต์มาไว้กับเราแต่ละคนและในสภาวการณ์ส่วนตัวของเรามากขึ้น ในการยืนหยัดเพื่อความถูกต้อง เราต้องไม่กลัวผลที่จะเกิดขึ้น เราต้องไม่กลัว เปาโลกล่าวกับทิโมธีว่า

“เพราะว่าพระเจ้าไม่ได้ประทานใจที่ขลาดกลัวแก่เรา แต่ประทานใจที่ประกอบด้วยฤทธานุภาพ ความรัก และการบังคับตนเองแก่เรา

“เพราะฉะนั้นอย่าอับอายที่เป็นพยานขององค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา” (2 ทิโมธี 1:7–8)9

ท่านไม่สามารถเพิกเฉยต่ออุดมการณ์นี้ซึ่งเป็นอุดมการณ์ของพระคริสต์ ท่านไม่สามารถยืนอยู่แค่ขอบสนามดูการแสดงระหว่างกลุ่มคนดีกับกลุ่มคนชั่วได้ …

… ข้าพเจ้าขอร้องท่านสุดความสามารถให้ท่านยื่นมือออกไปทำหน้าที่ซึ่งนอกเหนือข้อกำหนดของชีวิตประจำวัน นั่นคือ ยืนหยัดเข้มแข็ง แม้เป็นผู้นำในการพูดเพื่ออุดมการณ์เหล่านั้นซึ่งทำให้ความมีอารยธรรมของเราส่องสว่าง ซึ่งให้การปลอบโยนและสันติสุขแก่ชีวิตเรา ท่านเป็นผู้นำได้ ในฐานะสมาชิกของศาสนจักรนี้ ท่านต้องเป็นผู้นำในอุดมการณ์เหล่านั้นที่ศาสนจักรสนับสนุน อย่าปล่อยให้ความกลัวเอาชนะความพยายามของท่าน10

เราไม่มีอะไรต้องกลัว พระผู้เป็นเจ้าทรงกุมหางเสือ พระองค์จะทรงปกครองเพื่อประโยชน์ของงานนี้ พระองค์จะทรงเทพรลงมาให้คนที่ดำเนินชีวิตด้วยการเชื่อฟังพระบัญญัติของพระองค์ นั่นเป็นสัญญาของพระองค์ เราจะสงสัยพระปรีชาสามารถของพระองค์ในการรักษาสัญญานั้นไม่ได้

… พระผู้ช่วยให้รอดของเรา ผู้ทรงเป็นพระผู้ไถ่ของเรา พระเยโฮวาห์ผู้ยิ่งใหญ่ พระเมสสิยาห์ผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ ทรงสัญญาไว้ว่า “เราจะไปเบื้องหน้าเจ้า. เราจะอยู่ทางขวามือเจ้าและทางซ้ายเจ้า, และพระวิญญาณของเราจะอยู่ในใจเจ้า, และเหล่าเทพของเราห้อมล้อมเจ้า, เพื่อประคองเจ้าไว้” (คพ. 84:88)

“ฉะนั้น,” พระองค์ตรัส “อย่ากลัวเลย, เจ้าฝูงแกะน้อย; จงทำดีเถิด; ต่อให้แผ่นดินโลกและนรกรวมกันต่อต้านเจ้า, แต่หากเจ้าสร้างขึ้นบนศิลาของเรา, พวกเขาจะเอาชนะไม่ได้. …

“จงดูที่เราในความนึกคิดทุกอย่าง; อย่าสงสัย, อย่ากลัว.

“จงดูแผลถูกแทงที่สีข้างเรา, และรอยตะปูที่มือและเท้าของเราด้วย; จงซื่อสัตย์, รักษาบัญญัติของเรา, และเจ้าจะสืบทอดอาณาจักรแห่งสวรรค์เป็นมรดก” (คพ. 6:34, 36–37)

เมื่อเราทำงานด้วยความสมัครสมานสามัคคี เราจะก้าวหน้าในฐานะผู้รับใช้ของพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพระชนม์ โดยทำงานของพระบุตรที่รักของพระองค์ พระอาจารย์ของเรา ผู้ที่เรารับใช้และผู้ที่เราหมายมั่นสรรเสริญพระองค์11

เราต้องยืนหยัดมั่นคง เราต้องยับยั้งความชั่วร้ายของโลก หากเราทำเช่นนั้น พระผู้ทรงฤทธานุภาพจะทรงเป็นกำลังของเราและผู้คุ้มครองเรา ผู้นำทางและผู้เปิดเผยของเรา เราจะอุ่นใจที่รู้ว่าเรากำลังทำสิ่งที่พระองค์ทรงประสงค์ให้เราทำ คนอื่นอาจไม่เห็นด้วยกับเรา แต่เรามั่นใจว่าพวกเขาจะเคารพเรา เราจะไม่ถูกทิ้งให้โดดเดี่ยว มีคนมากมาย [ผู้ที่] นับถือศาสนาต่างจากเราแต่รู้สึกเหมือนเรา พวกเขาจะสนับสนุนเรา พวกเขาจะช่วยเหลือเราในความพยายามของเรา12

ขอให้เราปลาบปลื้มในช่วงเวลาวิเศษสุดนี้ของงานของพระเจ้า ขอเราอย่าได้จองหองอวดดี ขอให้เราน้อมขอบพระทัย และขอให้เราแต่ละคนตั้งปณิธานว่าเราจะเพิ่มแสงสว่างให้งานอันล้ำเลิศนี้ของพระผู้ทรงฤทธานุภาพ เพื่อแสงนั้นจะส่องสว่างทั่วโลกดุจดวงประทีบแห่งพลังและความดีงามให้คนทั้งโลกมองดู13

ภาพ
ส่วนหนึ่งของภาพ พระคริสต์กับเศรษฐีหนุ่ม

“ถ้าเราจะยกศาสนจักรนี้ขึ้นเป็นธงสัญญาณให้ประชาชาติและแสงสว่างส่องโลก เราต้องรับเอาแสงสว่างจากพระชนม์ชีพของพระคริสต์มากขึ้น”

ข้อเสนอแนะสำหรับศึกษาและสอน

คำถาม

  • ขณะที่ท่านอ่านหัวข้อ 1 ท่านรู้สึกอย่างไรขณะพิจารณาการเติบโตของศาสนจักรตั้งแต่ ค.ศ. 1830 จนถึงปัจจุบัน

  • ทบทวนเรื่องราวของประธานฮิงค์ลีย์เกี่ยวกับผู้บุกเบิกกลุ่มแรกที่มาถึงหุบเขาซอลท์เลค (ดู หัวข้อ 2) เราเรียนรู้อะไรได้บ้างจากเรื่องนี้ เราได้ประโยชน์อย่างไรจากนิมิตของศาสดาพยากรณ์ของผู้นำศาสนจักรสมัยแรก ท่านคิดว่า “ธงสัญญาณให้ประชาชาติ” หมายความว่าอย่างไร (ดู อิสยาห์ 5:26; 11:12)

  • ในหัวข้อ 3 ประธานฮิงค์ลีย์กระตุ้นให้เรามอง “ภาพใหญ่” และมี “วิสัยทัศน์ที่กว้างกว่า” เกี่ยวกับงานของพระผู้เป็นเจ้า เหตุใดเราจึงต้องเห็นภาพใหญ่นี้ เหตุใดบางครั้งเราจึงสูญเสียวิสัยทัศน์ ความพยายามเล็กๆ น้อยๆ ของเราเอื้อต่อการเติบโตของอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าในด้านใด

  • ทบทวนด้านที่ประธานฮิงค์ลีย์กล่าวว่าวิสุทธิชนยุคสุดท้ายกำลัง“เป็นคนพิเศษและโดดเด่น” มากขึ้น (หัวข้อ 4) เราจะมีวิสัยทัศน์และความกล้าหาญมากขึ้นได้อย่างไรในการทำให้งานของพระผู้เป็นเจ้าก้าวหน้า เราจะอยู่ในโลกโดยไม่เป็นของโลกได้อย่างไร เราจะ “รับเอาแสงสว่างจากพระชนม์ชีพของพระคริสต์มากขึ้น” ได้อย่างไร เหตุใดจึงสำคัญที่เราต้องยืนหยัดสนับสนุนสิ่งถูกต้อง

ข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง

มัทธิว 5:14–16; 1 นีไฟ 14:14; คพ. 1:1–6; 65:1–6; 88:81; 115:5–6

ความช่วยเหลือด้านการสอน

“จงแน่ใจว่าท่านไม่ได้เชื่อว่าตนเองเป็น ‘ครูตัวจริง’ นั่นเป็นความผิดพลาดใหญ่หลวง … จงระวังที่จะไม่ก้าวก่าย บทบาทสำคัญของครูคือเตรียมทางที่ผู้คนจะมีประสบการณ์ทางวิญญาณกับพระเจ้า” (จีน อาร์. คุก, อ้างอิงใน ไม่มีการเรียกใดยิ่งใหญ่กว่าการสอน [1999], 41)

อ้างอิง

  1. ดู เชอรี แอล. ดิว, Go Forward with Faith: Teachings of Gordon B. Hinckley (1996), 83–85.

  2. “ธงสัญญาณต่อประชาชาติ ความสว่างต่อโลก,” , พ.ย. 2003, 99.

  3. “ให้คุณธรรมประดับความนึกคิดของท่านไม่เสื่อมคลาย,” เลียโฮนา, พ.ค. 2007, 144.

  4. “ก้อนหินถูกสกัดจากภูเขา,” เลียโฮนา, พ.ย. 2007, 107.

  5. “An Ensign to the Nations,” Ensign, Nov. 1989, 51–52.

  6. “An Ensign to the Nations,” 52–54.

  7. “This Is the Work of the Master,” Ensign, May 1995, 71.

  8. “A City upon a Hill,” Ensign, July 1990, 4–5.

  9. “An Ensign to the Nations, a Light to the World,” 84.

  10. Teachings of Gordon B. Hinckley (1997), 138.

  11. “This Is the Work of the Master,” 71.

  12. “ธงสัญญาณต่อประชาชาติ ความสว่างต่อโลก,” 99.

  13. “สถานะของศาสนจักร,” เลียโฮนา, พ.ย. 2004, 6.