คำสอนของประธานศาสนจักร
บทที่ 6: สิ่งที่ทรงพลังยิ่งคือการสวดอ้อนวอน


บทที่ 6

สิ่งที่ทรงพลังยิ่งคือการสวดอ้อนวอน

“การร้องทูลพระเจ้าเพื่อขอปัญญาเหนือปัญญาของเรา ขอพลังทำสิ่งที่เราควรทำ ขอความสบายกายและความสบายใจ ขอวิธีแสดงความกตัญญูรู้คุณถือเป็นเรื่องสำคัญและดีเยี่ยม”

จากชีวิตของกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์

“ไม่มีใครในพวกเราทำคนเดียวได้” ประธานกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์กล่าว “เราต้องการความช่วยเหลือ ความช่วยเหลืออย่างที่เกิดขึ้นได้ในคำตอบการสวดอ้อนวอน”1 ประธานฮิงค์ลีย์ปฏิบัติหลักธรรมนี้ในการตัดสินใจที่ท่านเผชิญขณะเป็นประธานศาสนจักร เอ็ลเดอร์โรเบิร์ต ดี. เฮลส์ แห่งโควรัมอัครสาวกสิบสองกล่าวถึงท่านดังนี้ “ท่านเป็นคนฉลาดหลักแหลมที่มีวิจารณญาณไม่ธรรมดา แต่เมื่อท่านประสบกับปัญหาที่แก้ไม่ตก ท่านจะคุกเข่าสวดอ้อนวอน”2

ประธานฮิงค์ลีย์กับมาร์จอรีภรรยาท่านปฏิบัติหลักธรรมนี้ในบ้านเช่นกัน ริชาร์ดบุตรชายของพวกท่านกล่าวว่า “ผมนึกไม่ออกว่ามีวันใดที่เราไม่มีการสวดอ้อนวอนเป็นครอบครัว เมื่อถึงคราวคุณพ่อ ท่านสวดอ้อนวอนจริงใจมากแต่ไม่ใช่สวดอ้อนวอนเหมือนอ่านบทละครหรือใส่อารมณ์เกินเหตุ เราเรียนรู้มากมายเกี่ยวกับความลึกซึ้งของศรัทธาท่านโดยฟังท่านสวดอ้อนวอน ท่านทูลพระผู้เป็นเจ้าด้วยความคารวะอย่างยิ่ง เสมือนพระองค์ทรงเป็นอาจารย์หรือครูพี่เลี้ยงที่ปราดเปรื่องและน่านับถือ ท่านกล่าวถึงพระผู้ช่วยให้รอดด้วยความรู้สึกซาบซึ้ง สมัยเด็กผมรู้ว่าพระองค์ทรงเป็นบุคคลจริงๆ สำหรับคุณพ่อ—ท่านรักและเคารพพระองค์”3 มาร์จอรีตั้งข้อสังเกตว่า “ดิฉันคิดว่าการสวดอ้อนวอนเป็นครอบครัวเกี่ยวข้องอย่างยิ่งกับวิธีที่ลูกๆ ตอบสนองเรา ถึงแม้กอร์ดอนไม่ได้สั่งสอนพวกเขา แต่พวกเขาได้ยินทุกอย่างที่เราต้องการให้พวกเขาได้ยินในการสวดอ้อนวอนเป็นครอบครัว”4

ตลอดการรับใช้เป็นเจ้าหน้าที่ชั้นผู้ใหญ่ ประธานฮิงค์ลีย์กระตุ้นให้สมาชิกของศาสนจักร “เชื่อในการสวดอ้อนวอนและพลังของการสวดอ้อนวอน”5 ท่านเป็นพยานว่า “การสวดอ้อนวอนไขพลังอำนาจของสวรรค์เพื่อประโยชน์ของเรา”6 ท่านสัญญาว่า “จงสวดอ้อนวอน พระผู้เป็นเจ้าแห่งสวรรค์จะแย้มสรวลให้ท่านและอวยพรท่าน ประทานความสุขในใจท่านและความรู้สึกสงบในชีวิตท่าน”7

ภาพ
สตรีกำลังสวดอ้อนวอน

“จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่พวกท่าน” (มัทธิว 7:7)

คำสอนของกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์

1

พระผู้เป็นเจ้าทรงเป็นพระบิดาของเรา พระองค์ทรงเชื้อเชิญให้เราสวดอ้อนวอนพระองค์เป็นการส่วนตัว

ในบรรดาคำสัญญาที่ยิ่งใหญ่ ยอดเยี่ยม และสร้างแรงบันดาลใจทั้งหมดที่ข้าพเจ้าเคยอ่าน คำสัญญาที่ทำให้ข้าพเจ้ามั่นใจมากที่สุดคือพระดำรัสของพระผู้ช่วยให้รอดที่ว่า “จงขอแล้วจะได้ จงหาแล้วจะพบ จงเคาะแล้วจะเปิดให้แก่พวกท่าน” (มัทธิว 7:7)8

อย่าลืมว่าท่านเป็นใคร … ท่านเป็นลูกของพระผู้เป็นเจ้าอย่างแท้จริง … พระองค์ทรงเป็นพระบิดานิรันดร์ของท่าน พระองค์ทรงรักท่าน ท่านสามารถเข้าเฝ้าพระองค์ในการสวดอ้อนวอน พระองค์ทรงเชื้อเชิญให้ท่านทำเช่นนั้น … นี่เป็นเรื่องวิเศษยิ่งนัก พระองค์ทรงเป็นพระผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดของทั้งหมด พระองค์ทรงเป็นพระผู้สร้างและพระผู้ปกครองจักรวาล และพระองค์ยังทรงฟังคำสวดอ้อนวอนของท่าน!9

เราสามารถเข้าใกล้พระเจ้ามากขึ้นในการสวดอ้อนวอนของเรา การสวดอ้อนวอนสามารถเป็นการสนทนาเพื่อขอบพระทัย ข้าพเจ้าไม่เข้าใจถ่องแท้ว่าพระผู้เป็นเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ของจักรวาล พระผู้ทรงฤทธานุภาพ ทรงเชื้อเชิญเราซึ่งเป็นบุตรธิดาของพระองค์ให้พูดกับพระองค์เป็นส่วนตัวอย่างไร นี่เป็นโอกาสที่มีค่ายิ่ง สิ่งที่เกิดขึ้นจริงช่างวิเศษยิ่งนัก ข้าพเจ้าเป็นพยานว่าพระองค์ทรงได้ยินและทรงตอบคำสวดอ้อนวอนที่เราทูลพระองค์ด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตนและจริงใจ การสวดอ้อนวอนเป็นเรื่องน่าอัศจรรย์ แต่เป็นจริง10

พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้ารู้ว่าท่านเป็นคนชอบสวดอ้อนวอน นั่นเป็นเรื่องวิเศษสุดในยุคสมัยนี้ที่การปฏิบัติการสวดอ้อนวอนไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในชีวิตคนมากมายอีกต่อไป การร้องทูลพระเจ้าเพื่อทูลขอสติปัญญาที่เหนือกว่าของเรา ขอพลังทำสิ่งที่เราควรทำ ขอการปลอบโยนและความสบายใจ ขอวิธีแสดงความกตัญญูเป็นเรื่องสำคัญและดีเยี่ยม11

ข้าพเจ้าขอร้องแต่ละท่านให้หมายมั่นดำเนินชีวิตใกล้ชิดพระเจ้ามากขึ้นและสื่อสารกับพระองค์บ่อยขึ้นและด้วยศรัทธามากขึ้น

บิดาและมารดาทั้งหลาย จงสวดอ้อนวอนให้ลูกๆ ของพวกท่าน สวดอ้อนวอนให้พวกเขาได้รับความคุ้มครองจากความชั่วร้ายของโลก สวดอ้อนวอนให้พวกเขาเติบโตในศรัทธาและความรู้ สวดอ้อนวอนให้พวกเขาได้รับการชี้นำสู่ชีวิตที่จะเป็นประโยชน์และดีงาม สามีทั้งหลาย จงสวดอ้อนวอนให้ภรรยาของท่าน ทูลพระเจ้าว่าท่านสำนึกคุณพวกเธอและวิงวอนพระองค์เพื่อพวกเธอ ภรรยาทั้งหลาย จงสวดอ้อนวอนให้สามีของท่าน พวกเขาหลายคนเดินบนถนนที่ยากมาก มีปัญหานับไม่ถ้วน และความสับสนมากมาย จงทูลวิงวอนพระผู้ทรงฤทธานุภาพขอให้พวกเขาได้รับการนำทาง ได้รับพร ความคุ้มครอง และการดลใจในความมานะบากบั่นอันชอบธรรมของพวกเขา

จงสวดอ้อนวอนขอสันติสุขในแผ่นดินโลก ขอให้พระผู้ทรงฤทธานุภาพผู้ทรงปกครองจักรวาลเหยียดพระหัตถ์ออกมาและให้พระวิญญาณของพระองค์สถิตกับผู้คน ขอให้ประชาชาติทั้งหลายยุติความรุนแรงต่อกัน … จงสวดอ้อนวอนขอปัญญาและความเข้าใจขณะที่ท่านเดินบนเส้นทางลำบากของชีวิตท่าน12

สิ่งอัศจรรย์เกี่ยวกับการสวดอ้อนวอนคือการพูดคุยกับพระบิดาในสวรรค์ของท่านในพระนามของพระเจ้าพระเยซูคริสต์เป็นเรื่องส่วนตัว เป็นเรื่องส่วนบุคคล เป็นสิ่งที่ไม่มีใครเข้าไปก้าวก่ายได้ จงสวดอ้อนวอน ทูลขอพระเจ้าให้ทรงอภัยบาปของท่าน ทูลขอพระเจ้าให้ทรงช่วยท่าน ทูลขอพระเจ้าให้ทรงอวยพรท่าน ทูลขอพระเจ้าให้ทรงช่วยท่านทำให้ความใฝ่ฝันอันชอบธรรมของท่านกลายเป็นจริง … ทูลขอพระเจ้าสำหรับเรื่องสำคัญทั้งหมดที่มีความหมายต่อท่านมากในชีวิตของท่าน พระองค์ทรงพร้อมจะช่วยท่าน อย่าลืมเรื่องนี้13

2

การสวดอ้อนวอนเป็นครอบครัวทำให้เกิดปาฏิหาริย์กับแต่ละบุคคล ครอบครัว และสังคม

เราจำเป็นต้องเน้นใหม่เรื่องความซื่อสัตย์ อุปนิสัย และความสุจริตในเวลาของเรา คุณธรรมที่เป็นเนื้อแท้ของอารยธรรมที่แท้จริงจะเปลี่ยนรูปแบบยุคสมัยของเราก็ต่อเมื่อเราทำให้คุณธรรมเหล่านั้นอยู่ในเนื้อในตัวเรา คำถามที่เราเผชิญคือเราจะเริ่มตรงไหน

ข้าพเจ้าเชื่อว่าเราต้องเริ่มจากการยอมรับพระผู้เป็นเจ้าเป็นพระบิดานิรันดร์ของเรา ความสัมพันธ์ของเรากับพระองค์ในฐานะบุตรธิดาของพระองค์ เริ่มจากการสื่อสารกับพระองค์โดยยอมรับว่าพระองค์ทรงเป็นพระผู้สูงสุด และจากการทูลขอการนำทางจากพระองค์ทุกวันในกิจการงานของเรา

ข้าพเจ้ายอมรับว่าการกลับไปใช้การสวดอ้อนวอนแบบเดิม การสวดอ้อนวอนเป็นครอบครัวในบ้านของผู้คน เป็นการบำบัดพื้นฐานประการหนึ่งซึ่งจะตรวจสอบโรคร้ายที่กำลังกัดกร่อนลักษณะของสังคมเรา เราจะคาดหวังปาฏิหาริย์ในหนึ่งวันไม่ได้ แต่ในรุ่นหนึ่งเราจะมีปาฏิหาริย์ …

มีบางอย่างในท่าคุกเข่าซึ่งขัดแย้งกับเจตคติที่เปาโลเรียกว่า “หยิ่งยโส … มุทะลุ โอหัง”

มีบางอย่างในการปฏิบัติของบิดามารดาและบุตรธิดาขณะคุกเข่าด้วยกันซึ่งขจัดคุณสมบัติเหล่านั้นที่เปาโลเรียกว่า “ไม่เชื่อฟังพ่อแม่ … ไร้มนุษยธรรม”

มีบางอย่างในการเอ่ยถึงพระเจ้าที่หักล้างแนวโน้มของการชอบดูหมิ่นและการรักความสนุกมากกว่ารักพระเจ้า [ดู 2 ทิโมธี 3:1-4]

ความโน้มเอียงไปในทางชั่วร้าย ตามที่เปาโลเรียก ไปในทางอกตัญญู ถูกทำลายเมื่อสมาชิกครอบครัวขอบพระทัยพระเจ้าด้วยกันสำหรับชีวิต สันติสุข และทั้งหมดที่พวกเขามี เมื่อพวกเขาขอบพระทัยพระเจ้าที่มีกันและกัน ความสำนึกคุณ ความเคารพ ความรักกันจะพัฒนาขึ้นใหม่ในครอบครัว …

ในการระลึกถึงคนยากไร้ คนขัดสน และคนถูกกดขี่ข่มเหงต่อพระพักตร์พระเจ้าด้วย จะมีการพัฒนาความรักผู้อื่นมากกว่าตนเอง ความเคารพผู้อื่น ความปรารถนาจะรับใช้ตามความต้องการของผู้อื่นอย่างแท้จริงโดยไม่รู้ตัว คนๆ หนึ่งจะทูลขอพระผู้เป็นเจ้าให้ช่วยเพื่อนบ้านที่กำลังทุกข์ยากไม่ได้หากไม่รู้สึกถึงแรงจูงใจให้ทำบางอย่างเพื่อช่วยเพื่อนบ้านคนนั้น ปาฏิหาริย์อะไรจะเกิดขึ้นในชีวิตบุตรธิดาของชาวโลกถ้าพวกเขาจะทิ้งความเห็นแก่ตัวของตนและสละตนเองในการรับใช้ผู้อื่น เราปลูกและบำรุงเลี้ยงเมล็ดพันธุ์จากไม้ผลดกที่ให้ร่มเงาต้นนี้ได้ดีที่สุดในการทูลวิงวอนทุกวันของครอบครัว …

ข้าพเจ้าทราบว่าไม่มีสิ่งใดจะช่วยคลายความตึงเครียดของครอบครัว จะทำให้เกิดความเคารพบิดามารดาซึ่งนำไปสู่การเชื่อฟัง จะส่งผลต่อวิญญาณของการกลับใจซึ่งส่วนใหญ่จะลบรอยโรคของครอบครัวที่แตกสลาย มากไปกว่าการสวดอ้อนวอนด้วยกัน การสารภาพความอ่อนแอด้วยกันต่อพระพักตร์พระเจ้า และการทูลขอพระเจ้าประทานพรแก่บ้านและคนที่อาศัยอยู่ในนั้น …

ครอบครัวเป็นหน่วยพื้นฐานของสังคม ครอบครัวที่สวดอ้อนวอนเป็นความหวังของสังคมที่น่าอยู่มากขึ้น “จงแสวงหาพระยาห์เวห์ ขณะที่จะพบพระองค์ได้” (อสย. 55:6)14

ข้าพเจ้าประทับใจ … กับคำพูดที่น่าสลดใจของ [ผู้สอนศาสนา] วัยหนุ่มคนหนึ่ง เขาพูดว่า “ผมอยู่ที่นี่หลายเดือนแล้ว ผมเรียนภาษาไม่ได้ ผมไม่ชอบผู้คน ตอนกลางวันผมซึมเศร้าและร้องไห้ตอนกลางคืน ผมอยากตาย ผมเขียนจดหมายถึงคุณแม่และขอข้ออ้างกลับบ้าน ผมได้รับคำตอบของเธอ เธอเขียนว่า ‘เรากำลังสวดอ้อนวอนให้ลูก ไม่มีวันใดผ่านไปโดยที่เราทุกคนไม่ได้คุกเข่าด้วยกันตอนเช้าก่อนรับประทานอาหาร ตอนกลางคืนก่อนเข้านอนและทูลขอให้พระเจ้าทรงอวยพรลูก เราได้เพิ่มการอดอาหารเข้าไปในการสวดอ้อนวอนของเรา เมื่อน้องชายน้องสาวของลูกสวดอ้อนวอนพวกเขาทูลว่า “พระบิดาบนสวรรค์ ขอทรงอวยพรจอห์นนี … ขอทรงช่วยให้เขาเรียนรู้ภาษาและทำงานที่พระองค์ทรงเรียกให้เขาทำ”’”

จากนั้นชายหนุ่มคนนี้ก็พูดผ่านน้ำตาว่า “ผมจะพยายามอีกครั้ง ผมจะเพิ่มการสวดอ้อนวอนของผมเข้ากับการสวดอ้อนวอนของพวกเขาและเพิ่มการอดอาหารของผมเข้ากับการอดอาหารของพวกเขา”

สี่เดือนต่อมา ข้าพเจ้าได้รับจดหมายจากเขาซึ่งเขียนว่า “ปาฏิหาริย์เกิดขึ้นแล้ว ผมพูดภาษาได้แล้วเหมือนเป็นของประทานจากพระเจ้า ผมเรียนรู้ที่จะรักผู้คนในแผ่นดินที่สวยงามนี้ ขอบพระทัยพระผู้เป็นเจ้าสำหรับคำสวดอ้อนวอนของครอบครัวผม”15

เราจะทำให้บ้านของเราสวยงามขึ้นได้หรือไม่ ได้ โดยผ่านการสวดอ้อนวอนของเราเป็นครอบครัวถึงพระองค์ผู้ทรงเป็นบ่อเกิดแห่งความสวยงามทั้งมวล เราจะเสริมสร้างสังคมและทำให้สังคมน่าอยู่มากขึ้นได้หรือไม่ ได้ โดยเสริมสร้างคุณธรรมของชีวิตครอบครัวผ่านการคุกเข่าด้วยกันและทูลวิงวอนพระผู้ทรงฤทธานุภาพในพระนามของพระบุตรที่รักของพระองค์

ภาพ
ครอบครัวกำลังสวดอ้อนวอน

เราสามารถเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ครอบครัวได้โดยคุกเข่าสวดอ้อนวอนด้วยกัน

การปฏิบัตินี้ การกลับไปนมัสการเป็นครอบครัว ถ้ากระจายไปทั่วแผ่นดินและทั่วโลก จะขจัดอิทธิพลส่วนใหญ่ที่กำลังทำลายเราภายในชั่วอายุคน สิ่งนี้จะฟื้นฟูความสุจริต ความเคารพกัน และวิญญาณของความขอบคุณในใจผู้คน16

การสวดอ้อนวอนเป็นเรื่องยากหรือไม่ เป็นเรื่องยากไหมที่จะกระตุ้นให้บิดามารดาคุกเข่ากับลูกเล็กๆ และสวดอ้อนวอนพระผู้เป็นเจ้าเพื่อแสดงความสำนึกคุณต่อพร สวดอ้อนวอนให้คนที่กำลังเดือดร้อนและให้ตนเอง ทูลขอในพระนามของพระผู้ช่วยให้รอดและพระผู้ไถ่ของโลก สิ่งที่ทรงพลังยิ่งคือการสวดอ้อนวอน ข้าพเจ้าเป็นพยานเรื่องนี้ได้ และท่านสามารถเป็นพยานได้ การสูญเสียช่างน่าเศร้าสำหรับครอบครัวที่ไม่ใช้ประโยชน์จากการปฏิบัติอันเรียบง่ายและมีค่านี้17

หากมีใครในพวกท่านไม่ได้สวดอ้อนวอนเป็นครอบครัว จงเริ่มปฏิบัติเดี๋ยวนี้ คุกเข่าด้วยกันทุกเช้าค่ำหากท่านทำได้ ทูลพระเจ้าและแสดงความขอบพระทัย ขอพระองค์ประทานพรคนขัดสนของแผ่นดินโลกและทูลพระองค์เกี่ยวกับความผาสุกของท่านเอง18

ข้าพเจ้าให้ประจักษ์พยานกับท่านว่าหากท่านสวดอ้อนวอนเป็นครอบครัวอย่างจริงใจ ท่านจะไม่ออกไปโดยไม่ได้บำเหน็จ การเปลี่ยนแปลงอาจไม่เกิดขึ้นทันตาเห็น การเปลี่ยนแปลงอาจละเอียดอ่อนอย่างยิ่ง แต่จะเกิดขึ้น เพราะพระผู้เป็นเจ้า “ทรงเป็นผู้ประทานบำเหน็จแก่คนเหล่านั้นที่แสวงหาพระองค์” (ฮีบรู 11:6)

ขอให้เราซื่อสัตย์ในการเป็นแบบอย่างต่อชาวโลกในการปฏิบัตินี้และในการกระตุ้นผู้อื่นให้ทำเช่นเดียวกัน19

3

เราต้องสวดอ้อนวอนและฟัง เพราะคำสวดอ้อนวอนของเราจะได้รับคำตอบ

อย่าทึกทักว่าท่านทำคนเดียวได้ ท่านต้องการความช่วยเหลือจากพระเจ้า อย่าลังเลที่จะคุกเข่าในที่ส่วนตัวและพูดกับพระองค์ การสวดอ้อนวอนเป็นสิ่งอัศจรรย์และวิเศษยิ่งนัก ลองนึกดู เราสามารถพูดกับพระบิดาในสวรรค์ของเราได้จริงๆ พระองค์จะทรงได้ยินและทรงตอบ แต่เราต้องฟังคำตอบนั้น ไม่มีเรื่องใดร้ายแรงและไม่มีเรื่องใดไร้ความสำคัญเกินกว่าจะแบ่งปันกับพระองค์20

จงสวดอ้อนวอนพระเจ้าโดยคาดว่าจะได้รับคำตอบ … ปัญหาที่มากับการสวดอ้อนวอนส่วนใหญ่ของเราคือเราสวดอ้อนวอนประหนึ่งเรากำลังยกโทรศัพท์สั่งของ—พอสั่งเสร็จก็วางหู เราจำเป็นต้องพิจารณา ตรึกตรอง และคิดว่าเรากำลังสวดอ้อนวอนเกี่ยวกับอะไรและเพื่ออะไร จากนั้นจึงทูลพระเจ้าประหนึ่งคนหนึ่งพูดกับอีกคนหนึ่ง “พระยาห์เวห์ตรัสว่า มาเถิด ให้พวกเราสู้ความกัน” (อสย. 1:18)21

ไม่มีสิ่งใดช่วยได้มากเท่ากับวางเรื่องราวไว้ในพระหัตถ์ของพระเจ้า … ข้าพเจ้าไม่ลังเลที่จะพูดว่าข้าพเจ้าได้รับคำตอบการสวดอ้อนวอนแล้ว ข้าพเจ้าทราบเช่นนั้น ข้าพเจ้าไม่อาจปฏิเสธได้ เราต้องสวดอ้อนวอนขอการนำทางในยุคที่ยากนี้ … สิ่งอัศจรรย์คือท่านไม่ต้องเป็นอัจฉริยะจึงจะสวดอ้อนวอน พระองค์จะทรงฟังเสียงของคนอ่อนน้อมถ่อมตนที่สุด … จงเรียกหาพระเจ้า พระองค์ทรงเชื้อเชิญท่าน และพระองค์จะทรงตอบ22

จงเชื่อในพลังและอำนาจสูงสุดของการสวดอ้อนวอน พระเจ้าทรงตอบคำสวดอ้อนวอนของเรา ข้าพเจ้าทราบเช่นนั้น ข้าพเจ้าเคยเห็นสิ่งนี้เกิดขึ้นมาแล้วครั้งแล้วครั้งเล่า การสวดอ้อนวอนนำเราเข้าสู่การเป็นหุ้นส่วนกับพระผู้เป็นเจ้า การสวดอ้อนวอนให้โอกาสเราได้พูดกับพระองค์ ขอบพระทัยพระองค์สำหรับพรอันล้ำเลิศของพระองค์ ทูลขอการนำทางและความคุ้มครองขณะที่เราเดินบนเส้นทางแห่งชีวิต งานอันสำคัญยิ่งนี้ซึ่งกำลังแผ่ขยายไปทั่วโลก โดยหยั่งรากในการสวดอ้อนวอนของเด็กหนุ่มคนหนึ่ง ท่านอ่านในพระคัมภีร์ไบเบิลของครอบครัวว่า “แต่ถ้าใครในพวกท่านขาดสติปัญญา ให้คนนั้นทูลขอจากพระเจ้าผู้ประทานให้กับทุกคนด้วยพระทัยกว้างขวางและไม่ทรงตำหนิ แล้วเขาก็จะได้รับตามที่ทูลขอ แต่จงขอด้วยความเชื่อ และไม่สงสัย เพราะว่าคนที่สงสัยนั้นเป็นเหมือนคลื่นในทะเลที่ถูกลมพัดซัดไปมา” (ยากอบ 1:5–6) นั่นคือสัญญา มีคำสัญญาใดในโลกยิ่งใหญ่กว่าคำสัญญานั้นหรือไม่23

จงสวดอ้อนวอน เพื่อนทั้งหลาย และฟัง ท่านอาจไม่ได้ยินเสียง ท่านจะไม่ได้ยิน แต่ในรูปแบบที่ท่านไม่สามารถอธิบายได้ ท่านจะได้รับการกระตุ้นเตือนและได้รับพร เพราะพระเจ้าทรงสัญญาว่า “เราจะบอกเจ้าใน … ใจเจ้า, โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์, ซึ่งจะเสด็จมายังเจ้า …” (คพ. 8:2)

จงสวดอ้อนวอน ท่านจะรู้ว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงได้ยินและทรงตอบ เราอาจไม่ต้องการให้พระองค์ทรงตอบเสมอไป แต่เมื่อล่วงเลยไปหลายปี เราจะรู้แน่แก่ใจเหมือนดวงอาทิตย์ขึ้นว่าพระองค์ทรงได้ยินและทรงตอบ24

จงมีความอ่อนน้อมถ่อมตนนั้นซึ่งจะทำให้ท่านคุกเข่าสวดอ้อนวอนขณะยอมรับเดชานุภาพและพระคุณความดีของพระองค์ พระองค์จะไม่ทรงทำให้ท่านผิดหวัง พระองค์จะทรงได้ยินคำสวดอ้อนวอนของท่าน พระองค์จะทรงตอบคำสวดอ้อนวอนของท่าน ในความเงียบสงัดยามราตรี ท่านจะได้ยินสุรเสียงกระซิบจากพระวิญญาณของพระองค์ชี้นำท่านในยามที่ท่านเป็นทุกข์และเดือดเนื้อร้อนใจ เวลาเหล่านั้นจะมาถึงท่านเช่นที่มาถึงทุกคน จงยึดมั่นศรัทธาที่มีต่อพระผู้เป็นเจ้า พระองค์จะไม่ทรงทำให้ท่านผิดหวัง พระองค์จะไม่ทรงหันหลังให้ท่าน25

จงให้พระบิดาในสวรรค์เป็นเพื่อนของท่านเสมอ พระองค์ผู้ที่ท่านเข้าเฝ้าได้ในการสวดอ้อนวอน26

ข้อเสนอแนะสำหรับศึกษาและสอน

คำถาม

  • การสวดอ้อนวอนช่วยให้ท่านใกล้ชิดพระบิดาบนสวรรค์มากขึ้นอย่างไร ทบทวนคำแนะนำของประธานฮิงค์ลีย์เกี่ยวกับสิ่งที่จะทูลในการสวดอ้อนวอน (ดู หัวข้อ 1) การสวดอ้อนวอนช่วยให้ท่าน “พบปัญญาเหนือปัญญา [ของท่านเอง] ได้อย่างไร การสวดอ้อนวอนทำให้ท่านเกิด “ความสบายกายและความสบายใจ” เมื่อใด เหตุใดการสวดอ้อนวอนบางครั้งจึงควรเป็น “การสนทนาขอบพระทัย”

  • ไตร่ตรองพรแต่ละข้อที่ประธานฮิงค์ลีย์กล่าวว่าสามารถผ่านมาทางการสวดอ้อนวอนเป็นครอบครัว (ดู หัวข้อ 2) ครอบครัวได้รับพรด้านใดบ้างเมื่อสวดอ้อนวอนด้วยกัน อะไรเป็นอุปสรรคของการสวดอ้อนวอนสม่ำเสมอเป็นครอบครัว สมาชิกครอบครัวจะช่วยกันเอาชนะอุปสรรคเหล่านี้ได้อย่างไร

  • การประยุกต์ใช้คำสอนของประธานฮิงค์ลีย์ในหัวข้อ 3 จะช่วยเราทำให้การสวดอ้อนวอนมีความหมายมากขึ้นได้อย่างไร ท่านเรียนรู้อะไรเกี่ยวกับวิธีที่พระบิดาบนสวรรค์ทรงตอบคำสวดอ้อนวอน เหตุใดการสวดอ้อนวอนจึงมีพลังนำเรา “เข้าสู่การเป็นหุ้นส่วนกับพระผู้เป็นเจ้า”

ข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง

มัทธิว 6:5–15; ลูกา 18:9–18; 2 นีไฟ 32:8–9; แอลมา 34:17–28; 37:36–37; 3 นีไฟ 18:15–25; คพ. 19:28

ความช่วยเหลือด้านการศึกษา

“เข้าใจภาพโดยรวมให้ได้โดยเร็ว ไม่ว่าโดยอ่านหนังสือ บทเรียน หรือข้อความ หรือโดยการทบทวนหัวบท พยายามเข้าใจบริบทแวดล้อมและภูมิหลัง” (สั่งสอนกิตติคุณของเรา [2004], 23) อ่านบทเรียนหรือข้อความมากกว่าหนึ่งครั้งเพื่อท่านจะเข้าใจได้ลึกซึ้งมากขึ้น ขณะทำเช่นนั้น ท่านจะค้นพบข้อคิดที่ลึกซึ้ง

อ้างอิง

  1. “Stand True and Faithful,” Ensign, May 1996, 94.

  2. โรเบิร์ต ดี. เฮลส์, ใน เชอรี แอล. ดิว, Go Forward with Faith: The Biography of Gordon B. Hinckley (1996), 444.

  3. ริชาร์ด จี. ฮิงค์ลีย์, ใน เชอรี แอล. ดิว, Go Forward with Faith, 171.

  4. มาร์จอรี เพย์ ฮิงค์ลีย์, ใน เชอรี แอล. ดิว, Go Forward with Faith, 171.

  5. Teachings of Gordon B. Hinckley (1997), 469.

  6. Teachings of Gordon B. Hinckley, 470.

  7. “Dedication of Gordon B. Hinckley Building” (Brigham Young University–Idaho, Oct. 22, 2002), byui.edu/Presentations/transcripts/devotionals/2002_10_22_hinckley.htm; accessed Sept. 21, 2015.

  8. “Pillars of Truth,” Ensign, Jan. 1994, 2.

  9. “Stand True and Faithful,” 93.

  10. “An Humble and a Contrite Heart,” Ensign, Nov. 2000, 89.

  11. “The Fabric of Faith and Testimony,” Ensign, Nov. 1995, 89.

  12. “คำอวยพร,” เลียโฮนา, พ.ค. 2003, 125-126.

  13. Teachings of Gordon B. Hinckley, 468.

  14. “The Blessings of Family Prayer,” Ensign, Feb. 1991, 2, 4–5.

  15. ใน Conference Report, Apr. 1963, 128.

  16. “The Blessings of Family Prayer,” 5.

  17. “Four Simple Things to Help Our Families and Our Nations,” Ensign, Sept. 1996, 8.

  18. Teachings of Gordon B. Hinckley, 217.

  19. “The Blessings of Family Prayer,” 5.

  20. “อยู่บนถนนหลวง,” เลียโฮนา, พ.ค. 2004, 139.

  21. Teachings of Gordon B. Hinckley, 469.

  22. Teachings of Gordon B. Hinckley, 469.

  23. “Fear Not; Only Believe,” New Era, Jan. 2000, 6; นำตัวหนาและตัวเอนออก.

  24. “Watch the Switches in Your Life,” Ensign, Jan. 1973, 93.

  25. Discourses of President Gordon B. Hinckley, Volume 2: 2000–2004 (2005), 346.

  26. “Daughters of God,” Ensign, Nov. 1991, 100.