คำสอนของประธานศาสนจักร
บทที่ 9: ประกาศพระกิตติคุณ


บทที่ 9

ประกาศพระกิตติคุณ

เราควรพากเพียรและซื่อสัตย์ในการช่วยให้ผู้อื่นได้รับพร ของพระกิตติคุณที่ได้รับการฟื้นฟู

จากชีวิตทเองวิลฟอร์ด วดรัฟฟ้

ไม่นานหลังจากวิลฟอร์ด วูดรัฟพรับบัพติศมาและรับการยืนยันเป็นสมาชิก ของศาสนาจักร ท่าน “มีความปรารถนาอย่างยิ่งที่จะสั่งสอนพระกิตติคุณ” ท่าน เล่าว่า “เย็นวันอาทิตย์วันหนึ่ง ข้าพเจ้าปลีกตัวเข้าไปในปาเพียงลำพัง และเรียก หาพระเจ้าในคำสวดอ้อนวอนที่จริงใจ เพื่อเปีดทางให้ข้าพเจ้าไปสั่งสอนพระกิต ติคุณแก่ผู้อาศัยของแผ่นดินโลก พระวิญญาณของพระเจ้าทรงเป็นพยานว่า พระองค์ทรงได้ยินคำสวดอ้อนวอนของข้าพเจ้าและจะทรงตอบ ข้าพเจ้าลุกขึ้น ยืนอย่างมีความสุขและเดินไปได้ประมาณห้าสิบร้อด [ราวสองร้อยเมตรหรือ สองร้อยยี่สิบหลา] ก็พบอิไลอัส ฮิกปีมหาปุโรหิตผู้ที่ข้าพเจ้าเคยพักอยู่กับเขา หลายเดือน ขณะเดินเข้าไปหาเขา เขาพูดว่า ‘บราเดอร์วิลฟอร์ด พระวิญญาณ ของพระเจ้ารับสั่งกับผมว่าให้วางมือแต่งตั้งคุณไปทำงานเผยแผ่’ ข้าพเจ้าตอบว่า ‘ผมพร้อมแล้วครับ’”1

ภายใต้การกำกับดูแลของอธิการของท่าน วิลฟอร์ด วูดรัฟฟ็ได้รับการวางมือ แต่งตั้งเป็นปุโรหิตเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน ค.ศ. 1834 และไต้รับการเรียกให้รับ ใช้งานเผยแผ่ในสหรัฐตอนใต้ ท่านรับใช้ด้วยศรัทธาและความพากเพียร โดย เริ่มด้นชั่วชีวิตของการรับใช้เป็นผู้สอนศาสนาในการช่วยให้คนหลายพันคน น้อมรับพระกิตติคุณที่ได้รับการฟืนฟู ประธานฮีเบอร์ เจ. แกรนท์พูดถึงท่านว่า “ข้าพเจ้าเชื่อว่าคนที่เคยเดินอยู่บนพื้นพิภพนี้ไม่มีใครทำให้จิตวิญญาณเลื่อมใส พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ได้มากกว่าท่าน”2

ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1840 ไม่นานหลังจากได้รับการวางมือแต่งตั้งเป็น อัครสาวก เอ็ลเดอร์วิลฟอร์ด วูดรัฟฟก็ไปถึงประเทศอังกฤษเพื่อรับใช้เป็นผู้ สอนศาสนา ท่านเริ่มการรับใช้ในอำเภอสแตฟฟอร์ดไชร์ โดยได้รับความสำเร็จ มากทีเดียว “มี 40 คนเพิ่มเข้ามาในศาสนาจักรโดยบัพติศมา” ท่านรายงาน “และประตูหลายบานเปิดกว้าง และท่ามกลางความรุ่งเรืองของงานนี้ ขณะลุก ขึ้นพูดต่อหน้าคนกลุ่มใหญ่ในเมืองแฮนลีย์ เมื่อวันที่ 1 มีนาคม พระเจ้าทรง แสดงให้ประจักษ์ต่อข้าพเจ้าว่านี่จะเปีนครั้งสุดท้ายที่ข้าพเจ้าจะเตือนคนเหล่า นั้นเป็นเวลาหลายวัน และขณะลุกขึ้นบอกผู้คนว่านี่จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เขาจะได้ ยินเสืยงข้าพเจ้าเป็นเวลาหลายวัน พวกเขาแปลกใจ เพราะเมื่อข้าพเจ้าเข้าไป ในบ้าน พวกเขาคาดหวังเช่นเดียวกับข้าพเจ้าว่าข้าพเจ้าจะอยู่กับพวกเขาหลาย เดือน แต่วิถีทางและความนึกคิดของพระผู้เป็นเจ้าไม่เหมือนวิถีทางและความ นึกคิดของเราในทุกๆ ด้าน”

เอ็ลเดอร์วูดรัฟฟ็สวดอ้อนวอนทูลถามพระเจ้าในวันรุ่งขึ้นว่าท่านควรไปที่ใด ท่านเล่าว่า “โดยเชื่อว่าเป็นสิทธิพิเศษและหน้าที่ของข้าพเจ้าที่จะรู้พระประสงค์ ของพระเจ้าในเรื่องนี้ ข้าพเจ้าจึงทูลขอพระบิดาบนสวรรค์ในพระนามของพระ เยซูคริสต์ไห้ทรงสอนพระประสงค์ของพระองค์แก่ข้าพเจ้าในเรื่องดังกล่าว และ ขณะทูลขอ พระเจ้าประทานและทรงแสดงต่อข้าพเจ้าว่าพระองค์ประสงค์ให้ ข้าพเจ้าไปทางใด้ฃองประเทศอังกฤษในทันที ข้าพเจ้าสนทนากับบราเดอร์วิล เลียม เบนโบว์ เขาเคยอยู่ในเฮียร์ฟอร์ดไชร์และมีมิตรสหายอยู่ที่นั่น และ ปรารถนาอย่างมากให้ข้าพเจ้าไปเยือนเขตนั้นของประเทศ [เขา] เสนอตัวพา ข้าพเจ้าไปที่บ้านพี่ชายของเขาและจ่ายค่าโดยสารให้ข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้ายอมรับ ด้วยความยินดี”3

วันที่ 4 มีนาคม ค.ศ. 1840 เอ็ลเดอร์วูดรัฟฟและวิลเลียม เบนโบว์มาถึง บ้านของจอห์นพี่ชายของวิลเลียม “ในหนึ่งชั่วโมงหลังจากมาถึงบ้านของเขา” ประธานวูดรัฟฟ็เล่า “ข้าพเจ้าก็ทราบว่าเหตุใดพระเจ้าทรงส่งข้าพเจ้ามาที่นั่น… ข้าพเจ้าพบชายหญิงกลุ่มหนึ่งประมาณหกร้อยคน พวกเขารวมตัวกันโดยใช้ชื่อ ว่ายู1ในเต็ดเบรเธร็น และกำลังแสวงหาระเบียบสมัยโบราณ พวกเขาต้องการพระ กิตติคุณตามที่ศาสดาและอัครสาวกเคยสอนไว้เช่นเดียวกับที่ข้าพเจ้าต้องการใน วัยเยาว์”4

ครอบครัวเบนโบว์ยอมรับข่าวสารเรื่องการฟืนฟูอย่างรวดเร็ว และวิลเลียม กลับไปสแตฟฟอร์ดไชร์ “หลังจากมีโอกาสเห็นบราเดอร์จอห์น เบนโบว์และ ทุกคนในครอบครัว…รับบัพติศมาเข้ามาในพันธสัญญาใหม่และเป็นนิจ”5 เอ็ล เดอร์วูดรัฟฟ็พักอยู่ในเขตนั้นประมาณแปดเดือน ท่านเล่าในเวลาต่อมาว่า “สามสิบวันแรกหลังจากมาถึงเฮียร์ฟอร์ดไชร์ ข้าพเจ้าให้บัพติศมานักเทศน์สี สิบห้าคนและสมาชิกหลายร้อยคน…เรานำคนเข้ามาสองพันคนหลังจากทำงาน ได้ประมาณแปดเดือน”6

ประธานวูดรัฟฟ็เขียนถึงประสบการณ์ดังกล่าวว่า “ประวัติศาสตร์ทั้งมวล ของคณะเผยแผ่เฮียร์ฟอร์ดไชร์แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการฟ้งสุรเสียง สงบแผ่วเบาของพระผู้เป็นเจ้าและการเปีดเผยของพระวิญญาณบริสุทธี้ พระเจ้า ทรงมีคนพร้อมรับพระกิตติคุณที่นั่น พวกเขากำลังสวดอ้อนวอนขอความสว่าง และความจริง และพระเจ้าทรงส่งข้าพเจ้าไปหาเขา”7

ประมาณสองปีหลังจากเอ็ลเดอร์วูดรัฟฟ็รับใช้ในประเทศอังกฤษ พระวิญ- ญาณทรงนำท่านไปสั่งสอนพระกิตติคุณให้กลุ่มคนที่เล็กกว่า นั่นก็คือครอบครัว ของท่านเอง ในปีตุพรของท่านที่ให้โดยโจเซฟ สมิธ ซีเนียร์ ท่านไต้รับสัญญา ว่าท่านจะ “นำคนในครอบครัวของบิดาเข้ามาในอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า”8 คริสต์ศักราช 1838 ขณะรับใช้งานเผยแผ่ในเขตใกล้บ้านเกิด ท่านร้สีกว่าถึง เวลาแล้วที่คำพยากรณ์นี้จะเป็นจริง ท่านเขียนว่า

“ข้าพเจ้าใช้…เวลาสิบแปดวันในฟาร์มิงดันและเอวอนไปเยี่ยมคนในครอบ ครัวของบิดา ลุงป้าบ้าอา ลูกพี่ลูกน้อง เพี่อนบ้านและมิตรสหายเพี่อสั่งสอน พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์แก1เขา และพยายามนำเขาเข้ามาในอาณาจักรของ พระผู้เปีนเจ้า…โดยความช่วยเหลือของพระผู้เปีนเจ้า ข้าพเจ้าสั่งสอนพระกิตติ คุณอย่างซื่อสัตย์ให้คนในครอบครัวของบิดา ทุกคนที่อยู่กับท่านและญาติๆ อีก หลายคน”

วันที่ 1 กรกฎาคม ค.ศ. 1838 เอ็ลเดอร์วูดรัฟฟ็ให้บัพติศมาหกคน รวมถึง ทุกคนที่อยู่ในบ้านของบิดาด้วย อันเปีนไปตามสัญญาที่ให้ไวัในปีตุพรของท่าน “วันนั้นเปีนวันที่จิตวิญญาณของข้าพเจ้าปีติอย่างแห้จริง” ท่านกล่าว “คุณพ่อ ของข้าพเจ้า มารดาเลี้ยง และน้องสาวต่างมารดาอยู่ในจำนวนที่รับบัพติศมาด้วย หลังจากนั้นข้าพเจ้าให้บัพติศมาญาติอีกหลายคน ข้าพเจ้าร้สืกว่างานของวันนี้วัน เดียวชดเชยการทำงานทั้งหมดของข้าพเจ้าในการปฏิบัติศาสนกิจ

“ใครเลยจะเข้าใจได้ถึงความปีติยินดี ความปลาบปลื้ม ความสุข และความ อบอุ่นใจที่เอ็ลเดอร์แห่งอิสราเอลรู้สืกขณะเปีนเครื่องมือในพระหัตถ์ของพระผู้ เปีนเจ้าเพื่อนำบิดา มารดา น้องสาว น้องชาย หรือลูกหลานคนอื่นๆ ของ แอดัมผ่านประตูเข้าสู่ชีวิตและความรอด ไม่มีใครเข้าใจ เว้นแต่เขาจะประสบ สิ่งเหล่านี้ และมีประจักษ์พยานในพระเยซูคริสต์และการดลใจของพระผู้เป็น เจ้าผู้ทรงมหิทธิฤทธึ้”9

คำสอนของวิลฟอร์ด วูดรัฟฟ้

พระผู้เปีนเจ้าทรงถือว่าเราต้องรับผิดชอบ ต่อการแบ่งป๋นพระกิตติคุณกับผู้อื่น

มนุษยชาติในทุกยุคสมัยล้วนแสวงหาความสุข พวกเขาปรารถนาความสงบ สุขในสังคมและครอบครัว และเมื่อนึกถึงอนาคตกว้างไกล พวกเขาปรารถนา จะมีส่วนร่วมในพรที่พูดไว้เกี่ยวกับสถานะของการดำรงอยู่ แต่หารู้ไม่ว่าจะได้มา อย่างไร เว้นแต่ผู้รับใช้ของพระผู้เป็นเจ้าจะมาชี้ทางแห่งชีวิต10

เราคือคนกลุ่มเดียวที่ยอมรับพระกิตติคุณ ฐานะปุโรหิต และพันธสัญญาศักดี้ สิทธี้ในสมัยของเรา และเราจะต้องรับผิดชอบต่อการใช้สิ่งเหล่านี้ให้เป็นประ โยชน์ จากนั้นเราควรพากเพียรและซื่อสัตย์ในการเสนอความรอดอันยิ่งใหญ่นี้ ต่อลูกหลานมนุษย์ ในการเสริมสร้างไซอันและอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าของ เรา11

แม้คนเหล่านี้จะไม่สำคัญในสายตาของโลก แต่พระผู้เป็นเจ้าแห่งสวรรค์ทรง ถือว่าเรามีความรับผิดชอบต่อการสั่งสอนพระกิตติคุณนี้แก่ทุกประเทศภายใต้ฟ้า สวรรค์ และเราต้องทำ มิฉะนั้นแล้วเราจะถูกกล่าวโทษ เราหลีกเลี่ยงไม่ไต้ เพราะอะไรหรือ เปาโลกล่าวว่า เพราะ “ถ้าข้าพเจ้าไม่ประกาศ วิบัติจะเกิดแก่ ข้าพเจ้า” [1 โครินธ์ 9:16] มีพระกิตติคุณเดียว ไม่เคยมีพระกิตติคุณอื่น และ จะไม่มี เปาโลกล่าวว่า “แม้แต่เราเอง หรือทูตสวรรค์ ถ้าประกาศข่าวประ เสริฐอื่นแก่ท่าน ซึ่งขัดกับข่าวประเสริฐที่เราได้ประกาศแก่ท่านไปแล้วนั้นก็จะ ต้องถูกแช่งสาป” [กาลาเทีย 1:8] ท่านสิทธิชนทั้งหลายของพระผู้เปีนเจ้าผู้ทรง พระชนม์ พระกิตติคุณนั้น…อยู่ในมือเรา ล่งมาให้เราโดยการปฏิบัติของเทพ— พระกิตติคุณเดียวกับที่สอนตั้งแต่แอดัมจนถึงพระคริสต์ ตั้งแต่พระคริสต์จนถึง วันเวลาและชั่วอายุของเรา เมื่อพระผู้เป็นเจ้าทรงมีผู้คนบนแผ่นดินโลก12

ไม1เคยมีคนกลุ่มใดนับแต่พระผู้เป็นเจ้าทรงสร้างโลกจะอยู่ภายใด้ความรับผิด ชอบที่เข้มงวดกว่าเราเพื่อจะเตือนผู้คนในรุ่นนี้ด้วยการเปล่งเสืยงของเราให้นาน และดัง ทั้งวันและคืนเท่าที่เรามีโอกาส และประกาศพระคำของพระผู้เป็นเจ้า ต่อคนรุ่นนี้ เราถูกเรียกร้องให้ทำเช่นนั้น นี่คือการเรียกของเรา นี่คือหน้าที่ของ เรา นี่คือธุระของเรา13

ข้าพเจ้าลุยมาแล้วทั้งหนองบึงและว่ายข้ามแม่นํ้าหลายสาย ขอขนมปังจาก บ้านนี้ไปบ้านโน้น และอุทิศตนทำงานนี้เกือบห้าสิบปี เพราะอะไรหรือ มีทอง ในแคลิฟอร์เนียมากพอจะจ้างข้าพเจ้าให้ทำเช่นนั้นหรือ เปล่าเลย สิ่งที่ข้าพเจ้า ทำและสิ่งที่พี่น้องชายทำ เราทำเพราะเราได้รับบัญชาจากพระผู้เป็นเจ้า นี่คือการ เรียกที่เรามีในปัจจุบัน เราสั่งสอนและทำงานทั้งที่บ้านและต่างแดน และเราตั้ง ใจว่าจะทำงานของเราต่อไปโดยความช่วยเหลือของพระผู้เป็นเจ้า ตราบที่เรามี เสรีภาพในการทำเช่นนั้น14

ข้าพเจ้าคิดอยู่หลายครั้งว่าในฐานะเอ็ลเดอร์แห่งอิสราเอลและในฐานะสิทธิ ชนยุคสุดท้าย เรายังไม่เข้าใจฐานะของเราต่อเบื้องพระพักตร์พระเจ้า งานที่เรียก ร้องจากมือเราเป็นงานใหญ่และสำคัญยิ่ง นี่คืองานของพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงมหิทธิ ฤทธี้ เรามีความรับผิดชอบในการมอบพระกิตติคุณของพระคริสต์โห้ทุกประชา ชาติของแผ่นดินโลก… เรามีความรับผิดชอบในเรื่องนี้และในการสร้างพระวิหาร ถวายพระผู้สูงสุด ซึ่งเราจะเข้าไปทำพิธีการเพี่อความรอดของคนตายของเราใน นั้น15

และจากนั้น เรามีหน้าที่สั่งสอนคนรอบข้างเราที่บ้าน เพราะจำเป็นต้องสั่ง สอนที่บ้านเช่นเดียวกับต่างแดน16

เราพบความปีติยินดียิ่งในการช่วยให้ผู้อื่น มาสู่พระคริสต์และเจริญก้าวหน้าสู่ความสูงส่ง

ท่านให้หลักธรรมแห่งชีวิตและความรอดแก’จิตวิญญาณดวงหนึ่งและปฏิบัติ พิธีการเหล่านี้เพื่อเขา และท่านเป็นเครื่องมือในพระหัตถ์ของพระผู้เป็นเจ้าใน ความรอดของจิตวิญญาณดวงนั้น ไม1มืสิ่งใดที่ให้ลูกหลานมนุษย์เทียบไต้กับสิ่ง นี้…

…พระเจ้า [ตรัส] “และหากเป็นไปว่า เจ้าจะทำงานตลอดวันเวลาของเจ้า ในการป๋าวร้องการกลับใจแก่คนพวกนี้ และนำแม้จิตวิญญาณเดียวมาส่เรา ความ สุขของเจ้าพร้อมด้วยเขาจะใหญ่ยิ่งเพียงใดในอาณาจักรของพระบิดาของเรา” [ค.พ. 18:15]…เราสั่งสอนพระกิตติคุณแก่ทุกประชาชาติ ตระกูล ภาษา และ ผู้คน ตราบเท่าที่พระเจ้าจะทรงเปีดประตูให้เราและเรามีโอกาสไป โลกทุกวันนี้ ยังคงเต็มไปด้วยผู้คนที่ไม่ได้ยินพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ และถึงแม้ฐานะ ปุโรหิตจะวางอยู่บนบ่าของเรา เรายังคงอยู่ภายใต้ข้อผูกมัดและยังคงมีความรับ ผิดชอบต่อความรอดของลูกหลานมนุษย์ตราบเท่าที่เรามีโอกาสมอบของประ ทานเหล่านี้แก่บุตรธิดาของแอดัม ลองคิดดูสิว่าโดยการน้อมรับพระกิตติคุณของ พระคริสต์ เราจะได้เปีนทายาทของพระผู้เปีนเจ้าและทายาทร่วมกับพระเยซู คริสต์ เราจะมีส่วนไนการฟืนคืนชีวิตแรก เราจะออกมาจากหลุมฝืงศพและห่อ หุ้มด้วยรัศมีภาพ ความเป็นอมตะ และชีวิตนิรันดร์ และผ่านเข้าไปในที่ประทับ ของพระผู้เป็นเจ้าและพระเมษโปดก และอยู่กับพระองค์ชั่วนิรันดรในสวรรค์! ใครเข้าใจเรื่องนี้ ผู้อาศัยของแผ่นดินโลกเข้าใจไหม เขาไม่เข้าใจ…ข้าพเจ้าทราบ ดีว่า เราพึ่งพาพระเจ้าในทุกเรื่อง พระเจ้าทรงเป็นพระผู้ปกป้กรักษาเรา พระองค์ ทรงเป็นผู้ลิขิตความรอดของเรา พระเยซูคริสต์ทรงพลีพระชนม์ชีพเพื่อไถ่เรา โดยพระโลหิตของพระองค์ และโดยการนั้นเราจึงมีพรเหล่านี้มอบให้เรา…

…ไม1มีการเรียกใดที่มนุษย์ไต้รับจะยิ่งใหญ่ไปกว่าการมีสิทธิและอภิสิทธิ”ออก ไปช่วยจิตวิญญาณของมนุษย์ให้รอด ช่วยเขาโดยการสั่งสอนพระกิตติคุณ โดย การปฏิบัติพิธีการแห่งพระนิเวศของพระผู้เป็นเจ้าให้เขาเพื่อเขาจะได้รับการเตรียม ให้พร้อมเข้าไปในอาณาจักรสวรรค์และในรัศมีภาพชั้นสููง…

ข้าพเจ้าคิดอยู่หลายครั้งว่าตัวเรามิได้เห็นคุณค่าของพรที่เราได้รับและอยู่ใน รัศมีที่เราเอื้อมถึง ใจเราควรจดจ่ออยู่กับการเสริมสร้างอาณาจักรของพระผู้เป็น เจ้า ไซอันของพระผู้เป็นเจ้า และงานของพระผู้เป็นเจ้าขณะอยู่ที่นี่และมีอำนาจ กระทำสิ่งเหล่านี้ นี่คือหน้าที่ของเราในฐานะฝ่ายประธานและในฐานะอัครสาวก ไม่เพียงทำงานด้วยตนเองเท่านั้น แต่ส่งเอ็ลเดอร์แห่งอิสราเอลออกไปในบรรดา ประชาชาติของแผ่นดินโลกเพื่อประกาศพระกิตติคุณด้วย ประตูเปีดแล้ววันนี้ ในบรรดาประเทศมากมายเพื่อการเผยแพร่พระกิตติคุณของพระคริสต์ และนำผู้ คนมาส่พระคริสต์เพื่อเขาจะได้รับพร17

ข้าพเจ้าใช้เวลาเกือบทั้งชีวิตในศาสนาจักรนี้ และนับจากเวลาที่เข้ามาในศาส นาจักร ข้าพเจ้าไปทำงานเผยแผ่และไม่เคยหยุดเลยนับจากวันนั้นจนถึงวันนี้ ข้าพเจ้าปลื้มปีติเสมอในเรื่องนี้และปลื้มปีติในวันนี้ เมื่อข้าพเจ้าตายและทอดร่าง นี้ลงไป ข้าพเจ้าไม่ต้องการให้ใครลุกขึ้นพูดว่าข้าพเจ้าละเลยหน้าที่ในการพยา- ยามให้ความรอดแก’เขาทั้งที่ทำได้ ข้าพเจ้ายินดีเสมอในการสั่งสอนพระกิตติคุณ ข้าพเจ้ายินดีปฏิบัติพิธีการแห่งชีวิตและความรอดทั้งที่บ้านและต่างแดน เพราะ ข้าพเจ้าทราบว่านี่คืองานของพระผู้เป็นเจ้าและข้าพเจ้าทราบตราบจนทุกวันนี้18

แทนที่จะวิพากษ์วิจารณ์ศาสนาของผู้อื่น เราควรดำเนินชีวิต โดยแสดงให้เห็นถึงความจริงและความดีฃองเรา

เมื่อท่านไปสั่งสอนพระกิตติคุณในละแวกใกล้เคียง อย่าพยายาม‘รอบ้านของ เขาก่อนจะสร้างหลังที่ดีกว่าให้เขา อย่าโจมตีศาสนาของผู้อื่นไม่ว่าท่านจะไปที่ ใด จงยอมให้ทุกคนนับถือศาสนาของเขา เขามีสิทธี้ทำเช่นนั้น หากเขาไม่ยอม รับประจักษ์พยานของท่านเกี่ยวกับพระกิตติคุณของพระคริสต์ นั่นเป็นเรื่องของ เขา ไม่ใช่ของท่าน อย่าใช้เวลาของท่านทำลายนิกายและกลุ่มอื่น เราไม่มีเวลา ทำเช่นนั้น และไม่มีสิทธิ”ทาเช่นนั้น19

จงทูลขอปัญญาด้วยศรัทธา การสวดอ้อนวอน และความอ่อนน้อมถ่อมตน และขอให้พระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้าชี้นำท่านในการทำงานทั้งหมดของท่าน ปัญญาเป็นของประทานยิ่งใหญ่ที่สุดประการหนึ่งของพระผู้เป็นเจ้า และเสียง ของปัญญาจะไม่บอกให้เราใช้เวลาทำสงครามกับนิกายต่างๆ คัดค้านความคิด เห็นของมนุษย์ และเยาะเย้ยศาสนาที่อยู่รายรอบ เพราะนั่นจะทำให้ผู้คนไม่ฟ้ง เรา ปีดใจมนุษย์จากความสว่างและความจริง ความคิดเห็นและศาสนาของผู้อื่น มีค่าต่อเขาเท่าๆ กับศาสนาของเรามีค่าต่อเรา…จงให้ ความรอด เป็นสาระ สำคัญของท่าน ในความอ่อนโยนและความอ่อนน้อมถ่อมตน ด้วยพลังอำนาจ แห่งความจริงนิรันดร์ ปัญญา ความสว่างและความรู้ที่ซ่อนไว้ในหลักธรรมเบื้อง ด้นของพระกิตติคุณแห่งพระบุตรของพระผู้เป็นเจ้า ท่านจะเป็นเครื่องมือในการ ช่วยจิตวิญญาณของมนุษย์ให้รอด และพวกเขาจะชื่นชมยินดีพร้อมกับท่านที่ เขาได้เห็นความสว่างนั้น เราไม่ควรสอนนอกเหนือพระกิตติคุณ หรือสอนเรื่อง ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการเรียกของเรา หรือต่อล้อต่อเถียงในเรื่องที่หาประโยชน์อัน ใดมิได้ เรารู้จักด้นไม้ทุกด้นเพราะผลของมัน หากเราซื่อสัตย์ต่อพระเจ้า ดำเนิน ตามวิถีที่รอบคอบและชาญฉลาด ผลดีจะออกมาตามการทำงานของเราอย่าง แน่นอน20

การปฏิบัติตามหลักธรรมพระกิตติคุณในชีวิตควรเป็นเป็าหมายของสมาชิก ทุกคนในศาสนาจักร ไม่มีวิธีใดทำให้โลกเชื่อมั่นในความจริงดียิ่งกว่าการแสดง ให้เห็นผลจากการกระทำของเราและการปฏิบัติต่อกันและต่อมนุษย์ เราทำงาน สูงส่ง และควรมีมาตรฐานสูงของความบริสุทธิ้แห่งชีวิตอยู่ในพวกเราเพื่อให้ สอดคล้องกับงานเหล่านี้21

พระวิญญาณบริสุทธิให้การนำทางสำหรับคนที่แบ่งปีน พระกิตติคุณและคนที่ยอมรับ

เคล็ดลับความสำเร็จของเราเกี่ยวกับการทำให้เปลี่ยนใจเลื่อมใสคือ เราสั่ง สอนพระกิตติคุณเดียวกับที่พระเยซูทรงสั่งสอนในความเรียบง่ายและความชัด เจน และพระวิญญาณบริสุทธี้ทรงสถิตอยู่กับคนที่รับพระกิตติคุณ โดยทำให้ใจ เขาเปียมด้วยปีติและความยินดีอย่างบอกไม่ถูก และทำให้เขาเป็นหนึ่ง และเมื่อ นั้นเขาจะรู้ด้วยตนเองว่าคำสอนนั้นเป็นของพระผู้เป็นเจ้าหรือของมนุษย์22

เอ็ลเดอร์แห่งอิสราเอลหลายร้อยหลายพันคนเหล่านี้…มีพลังอำนาจออกไป ต่างแดน…และสั่งสอนพระกิตติคุณอย่างไรจนทำให้บุตรธิดาของแอดัมเลื่อมใส พวกเขาสั่งสอนโดยอำนาจของพระผู้เป็นเจ้า ไม่มีเอ็ลเดอร์คนใดในศาสนาจักร นี้มีอำนาจออกไปทำตามพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้า [ยกเว้น] โดยพลังอำ นาจของพระผู้เป็นเจ้า หากเรามีพลังอำนาจใด นั่นมาจากพระผู้เป็นเจ้า และเรา ควรวางใจพระองค์ไนทุกเรื่อง23

เมื่อผู้มีอำนาจสั่งสอนพระกิตติคุณ เขาสัญญาในพระนามของพระเยซูคริสต์ กับทุกคนที่เชื่อและปฏิบัติตามว่าพวกเขาจะได้รับพระวิญญาณบริสุทธิ๙ โดยอาศัย คำสัญญานี้ คนเหล่านั้นจะรู้ด้วยตนเองว่าพระกิตติคุณเป็นของพระผู้เป็นเจ้าหรือ เป็นของมนุษย์ หากผู้ไม่มีอำนาจออกไปเสแสร้งประกาศพระกิตติคุณนี้ และ ไม่ว่าเขาจะมีความสามารถและพรสวรรค์เพียงใด คำสอนของเขาจะถูกตรวจ สอบ เพราะคำสัญญาซึ่งต้องติดตามผู้เชื่อในพระคริสต์จะไม่เป็นจริง เขาจะไม่ได้ รับพระวิญญาณบริสุทธึ๋ซึ่งมอบของประทานแก่มนุษย์ และด้วยเหตุนี้ความผิด พลาดในคำสอนของมนุษย์จึงถูกเปิดโปง ทั้งนี้เพื่อจะไม่มีใครถูกหลอก24

หากท่านไม่มีพระวิญญาณบริสุทธึ๋อยู่ด้วยเมื่อออกไปสั่งสอนพระกิตติคุณ ท่านจะทำหน้าที่ของท่านไม่ได้ แต่เมื่อท่านมี ท่านจะปลอดภัยไม่ว่าจะไปที่ใด และคำพูดของท่านจะมีผลในใจของผู้ซื่อสัตย์และอ่อนโยนของแผ่นดินโลก25

ไม1สำคัญว่าคนที่กำลังสั่งสอนพระกิตติคุณจะอายุเท่าใด ไม่ว่าจะยี่สิบห้า เก้า สิบ หรือห้าร้อยปี ขอเพียงได้รับการดลใจจากพระวิญญาณและพลังอำนาจของ พระผู้เป็นเจ้าเท่านั้นก็พอ26

ขอพระเจ้าทรงดำเนินไปเบื้องหน้าเรา และทรงเตรียมทางให้เราเข้าถึงจิตใจผู้ คน เพื่อเราจะกระทำคุณความดีและเพื่ออาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าจะกลิ้งออก ไป27

ข้อเสนอแนะสำหรับศึกษาและสอน

พิจารณาแนวคิดต่อไปนี้ขณะสืกษาบทเรียนหรือขณะเตรียมสอน ดูความช่วย เหลือเพิ่มเติมได้ที่หน้า ⅴ–ⅸ

  • ทบทวนเรื่องราวของเอ็ลเดอร์วิลฟอร์ด วูดรัฟฟ็คราวไปที่บ้านของจอห์น เบน’โบว์ (หน้า 91-93) มีผู้พาเอ็ลเดอร์วูดรัฟฟ็ไปที่ฟาร์มเบนโบว์ด้วยวิธีใด ขณะอ่านเรื่องนี้ ท่านเรียนร้อะไรจากตัวอย่างของวิลเลียม เบนโบว์

  • ให้หาคำหรือวลีในหน้า 93-94 ที่แสดงให้เห็นว่าวิลเลียม เบนโบว์และวิล ฟอร์ด วูดรัฟพีร้สืกอย่างไรเมื่อสมาชิกในครอบครัวน้อมรับพระกิตติคุณ ท่าน ร้สืกอย่างไรเมื่อผู้เป็นที่รักเข้าร่วมศาสนาจักรหรือกลับส่ความแข็งขันในศาส- นาจักร

  • ทบทวนคำพูดของประธานวูดรัฟฟ้เกี่ยวกับความรับผิดชอบของเราในการ แบ่งปันพระกิตติคุณ (หน้า 94-96) โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เราทำอะไรได้บ้าง เพื่อแบ่งปันพระกิตติคุณกับสมาชิกครอบครัวและมิตรสหาย เราจะทำงานกับ ผู้สอนศาสนาเต็มเวลาในวิธีใดได้บ้าง

  • เราจะบรรลุความรับผิดชอบในการสอนพระกิตติคุณ “แก่ประชาชาติต่างๆ ของแผ่นดินโลก” ในวิธีใดได้บ้าง (หน้า 96)

  • เหตุใดบางครั้งเราจึงไม่กล้าแบ่งปันพระกิตติคุณ เราจะเอาชนะความกลัวได้ อย่างไร

  • เหตุใดงานสอนศาสนาจึงเป็นประสบการณ์อันน่ายินดีเช่นนั้น (ดูหน้า 96-97) ท่านเคยมีประสบการณ์ใดที่ท่านรู้สืกปีติยินดีในการแบ่งปันพระกิตติคุณ

  • เหตุใดการไม่วิพากษ์วิจารณ์ศาสนาของผู้อื่นจึงเป็นเรื่องสำคัญ (ดูหน้า 98) เราจะเป็นพยานถึงความจริงของศาสนาจักรโดยไม่วิพากษ์วิจารณ์ศาสนาจักร อื่นได้อย่างไร

  • ทบทวนย่อหน้าสุดท้ายในหน้า 98 การกระทำของเราส่งผลต่อความคิดเห็น ของผู้อื่นเกี่ยวกับศาสนาจักรในทางใด

  • ขณะอ่านคำพูดของประธานวูดรัฟฟ็เกี่ยวกับพระวิญญาณบริสุทธ์และการรับ ใช้เป็นผู้สอนศาสนา ท่านเรียนรู้อะไร (ดูหน้า 99-100) เราต้องทำอะไรเพื่อ ให้คู่ควรแก่ความเป็นเพื่อนของพระวิญญาณ

ข้อพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้อง: มัทธิว 28:19–20; ค.พ. 4; 18:10–16; 42:11–14; 50:13–22; 60:2–3; 84:88; 88:81

อ้างอิง

  1. History of Wilford Woodruff (จาก ปลายปากกาของท่านเอง)” Millennial Star, March 25, 1865, 183.

  2. Gospel Standards, comp. G. Homer Durham (1941), 20.

  3. “Elder Woodruff’s Letter,” Times and Seasons, March 1, 1841, 327.

  4. ใน Brian H. Stuy, comp., Collected Discourses Delivered by President Wilford Woodruff, His Two Counselors, the Twelve Apostles, and Others, 5 vols. (1987-92), 4:378.

  5. Times and Seasons, March 1, 1841, 328.

  6. ใน Collected Discourses, 4:378.

  7. “Leaves from My Journal,” Millennial Star, November 28, 1881, 767.

  8. “Leaves from My Journal,” Millennial Star, September 19, 1881, 606.

  9. Millennial Star, September 19, 1881, 606–7.

  10. The Discourses of Wilford Woodruff, sel. G. Homer Durham (1946), 259.

  11. Deseret News, May 27, 1857, 91.

  12. ใน Collected Discourses, 4:379.

  13. Deseret News: Semi-Weekly, July 6, 1880, 1.

  14. The Discourses of Wilford Woodruff, 133.

  15. Deseret News: Semi-Weekly, February 29, 1876, 1.

  16. ใน Collected Discourses, 5:47.

  17. ใน Collected Discourses, 5:104-6.

  18. ใน Collected Discourses, 5:107.

  19. ใน Collected Discourses, 4:326.

  20. “To the Officers and Members of The Church of Jesus Christ of Latter-day Saints in the British Islands,” Millennial Star, February 1845, 141–42.

  21. “An Epistle to the Members of The Church of Jesus Christ of Latter-day Saints,” Millennial Star, November 14, 1887, 729.

  22. The Discourses of Wilford Woodruff, 136.

  23. ใน Collected Discourses, 1:206.

  24. The Discourses of Wilford Woodruff, 135–36.

  25. ใน Conference Report, April 1898, 32.

  26. The Discourses of Wilford Woodruff, 275.

  27. “Correspondence,” Millennial Star, August 1840, 93.

ภาพ
farm of John Benbow

ฟาร์มของจอห์น เบนโบว์ การศึกมาไบเบิลอย่างพากเพียรทำให้จอห์น เบนโบว์ ครอมครัวและมิตรลหายพร้อมรับพระกิตติคุฌที่ได้รับการฟืนฟู

ภาพ
visiting neighbors

ขณะที่ตั้งใจสร้างมิตรไมตรีกับผู้อื่น พระเจ้าจะทรงเปีดโอกาส ให้เราได้แน่งปีนทระกิตติคุณ

ภาพ
missionary couple praying together

ขฌะที]ราพยายามแบ่งปันพระกิตติคุฌ เราต้องทูลขอการนำทาง ข’องพระวิญญาณบริสุทธิ