การประชุมใหญ่สามัญ
ความมั่นใจในพันธสัญญาผ่านพระเยซูคริสต์
การประชุมใหญ่สามัญเดือนเมษายน 2024


ความมั่นใจในพันธสัญญาผ่านพระเยซูคริสต์

เมื่อเราเข้าพระนิเวศน์ของพระเจ้า เราเริ่มการเดินทางศักดิ์สิทธิ์ของการเรียนรู้ที่จะเป็นสานุศิษย์ที่สูงขึ้นและศักดิ์สิทธิ์ขึ้นของพระคริสต์

พี่น้องที่รัก ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนขอให้เราได้รับการฟื้นฟูทางวิญญาณด้วยข่าวสารที่ได้รับการดลใจจากผู้นำของเราสุดสัปดาห์นี้และชื่นชมยินดีในสิ่งที่ข้าพเจ้าชอบเรียกว่า “ความมั่นใจในพันธสัญญาผ่านพระเยซูคริสต์” ความมั่นใจนี้คือความเชื่อมั่นอันเงียบสงบแต่แน่นอนในการรับพรที่พระผู้เป็นเจ้าทรงสัญญาสำหรับคนที่รักษาพันธสัญญา และเป็นที่ต้องการอย่างยิ่งท่ามกลางสภาวการณ์ท้าทายของยุคสมัยของเรา

การก่อสร้างพระนิเวศน์ใหม่ของพระเจ้าทั่วโลก ภายใต้การนําด้วยการดลใจของประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสัน สร้างความชื่นชมยินดีอย่างมากในหมู่สมาชิกศาสนจักรและเป็นสัญลักษณ์สำคัญของการขยายอาณาจักรของพระเจ้า

เมื่อครุ่นคิดถึงประสบการณ์อันน่าทึ่งของข้าพเจ้าในการอุทิศพระวิหารเฟเธอร์ริเวอร์ แคลิฟอร์เนียเมื่อเดือนตุลาคมที่แล้ว ข้าพเจ้าสงสัยว่าบางครั้งเราหลงไปกับความตื่นเต้นที่จะมีพระวิหารใหม่ในเมืองและชุมชนของเราจนละเลยจุดประสงค์อันศักดิ์สิทธิ์ยิ่งกว่าของพันธสัญญาศักดิ์สิทธิ์ที่ทำในพระวิหารหรือไม่

หน้าพระวิหารแต่ละแห่งมีข้อความศักดิ์สิทธิ์จารึกว่า “ศักดิ์สิทธ์แด่พระเจ้า”1 ถ้อยคำที่ได้รับการดลใจเหล่านี้เป็นคำเชื้อเชิญที่ชัดเจนว่าเมื่อเราเข้าพระนิเวศน์ของพระเจ้า เราเริ่มการเดินทางศักดิ์สิทธิ์ของการเรียนรู้ที่จะเป็นสานุศิษย์ที่สูงขึ้นและศักดิ์สิทธิ์ขึ้นของพระคริสต์ เมื่อเราทำพันธสัญญาในความศักดิ์สิทธิ์ต่อพระผู้เป็นเจ้าและให้คำมั่นว่าจะติดตามพระผู้ช่วยให้รอด เราได้รับพลังในการเปลี่ยนแปลงใจเรา ฟื้นฟูจิตวิญญาณเรา และทำให้ความสัมพันธ์ของเรากับพระองค์ลึกซึ้งขึ้น ความพยายามเช่นนั้นนำมาซึ่งการชำระจิตวิญญาณของเราให้บริสุทธิ์และสร้างสายสัมพันธ์ศักดิ์สิทธิ์กับพระผู้เป็นเจ้าและพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงสัญญาว่าเราสามารถสืบทอดของประทานแห่งชีวิตนิรันดร์เป็นมรดก2 ผลลัพธ์ของการเดินทางศักดิ์สิทธิ์นี้คือเราได้รับความมั่นใจที่สูงขึ้นและศักดิ์สิทธิ์ขึ้นสำหรับชีวิตประจำวันของเราภายในพันธสัญญาที่เราทำผ่านพระเยซูคริสต์

ความมั่นใจเช่นนั้นเป็นยอดของความสัมพันธ์ศักดิ์สิทธิ์ของเรากับพระผู้เป็นเจ้าและสามารถช่วยให้เราเพิ่มความภักดีและความสำนึกคุณต่อพระเยซูคริสต์และการพลีพระชนม์ชีพเพื่อการชดใช้ของพระองค์ ความมั่นใจนี้เสริมความสามารถของเราในการรักและรับใช้ผู้อื่น และความมั่นใจนี้เสริมกำลังจิตวิญญาณเราให้อยู่ในโลกมลทินอันมืดมนและน่าท้อใจมากขึ้นเรื่อยๆ ความมั่นใจนี้ทำให้เราเอาชนะเมล็ดพันธุ์แห่งความสงสัยและความท้อแท้ ความกลัวและความคับข้องใจ ความเสียใจและความสิ้นหวัง ที่ศัตรูพยายามยัดเยียดเข้ามาในใจเรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อชีวิตยากลำบาก การทดลองยาวนาน หรือสภาวการณ์ต่างๆ เป็นเรื่องยาก ข้อพระคัมภีร์ให้คำแนะนำที่ถูกต้องแก่เราแต่ละคนขณะเผชิญลมแรงของการท้าทายทางโลกในปัจจุบันว่า: “อย่า​ละ‍ทิ้ง​ความ​ไว้​วาง‍ใจ​ของ​ท่าน”3

พี่น้องที่รัก ผู้ที่ได้รับความมั่นใจอย่างแท้จริงในพันธสัญญาที่ทำไว้ในพระนิเวศน์ของพระเจ้าผ่านพระเยซูคริสต์จะมีพลังอันทรงพลังที่สุดอย่างหนึ่งที่เราเข้าถึงได้ในชีวิตนี้

อย่างที่เราได้ศึกษาพระคัมภีร์มอรมอนใน จงตามเรามา ปีนี้ เราได้เห็นวิธีที่นีไฟแสดงตัวอย่างอันงดงามของพลังความเชื่อมั่นในพันธสัญญาประเภทนี้ผ่านความซื่อสัตย์ เมื่อเขาเผชิญความล้มเหลวและการท้าทายเช่นการได้มาซึ่งแผ่นจารึกตามที่พระเจ้าทรงบัญชา นีไฟแม้จะเศร้าใจยิ่งเพราะความกลัวและความขาดศรัทธาของเลมันกับเลมิวเอล แต่ยังคงมั่นใจว่าพระเจ้าจะทรงมอบแผ่นจารึกให้ เขาพูดกับพี่ๆ ว่า “พระเจ้าทรงพระชนม์อยู่ฉันใด, และเรามีชีวิตอยู่ฉันใด, เราจะไม่ลงไปหาบิดาของเราในแดนทุรกันดารฉันนั้นจนกว่าเราจะทำสำเร็จในสิ่งซึ่งพระเจ้าทรงบัญชาเรา”4 เพราะนีไฟมั่นใจในคำสัญญาของพระเจ้า เขาจึงสามารถบรรลุผลสำเร็จในสิ่งซึ่งเขาได้รับบัญชาให้ทำ5 ต่อมาในนิมิต นีไฟเห็นอิทธิพลของความมั่นใจประเภทนี้ โดยเขียนว่า “ข้าพเจ้า, นีไฟ, เห็นเดชานุภาพของพระเมษโปดกของพระผู้เป็นเจ้า, ว่าลงมาบนวิสุทธิชนของศาสนจักรของพระเมษโปดก, และบนผู้คนแห่งพันธสัญญาของพระเจ้า, ซึ่งกระจัดกระจายอยู่บนทั่วพื้นพิภพ; และพวกเขามีอาวุธคือความชอบธรรมและเดชานุภาพของพระผู้เป็นเจ้าในรัศมีภาพอันยิ่งใหญ่”6

ข้าพเจ้าได้เห็นด้วยตนเองว่าคำสัญญาและเดชานุภาพอันเปี่ยมด้วยความรักของพระเจ้าหลั่งไหลเข้ามาในชีวิตบุตรธิดาของพระผู้เป็นเจ้า สร้างความเข้มแข็งให้พวกเขาเผชิญสภาวการณ์ของชีวิต ไม่นานมานี้ภรรยาข้าพเจ้ากลับมาบ้านหลังจากนมัสการในพระวิหาร และเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่าเธอรู้สึกประทับใจอย่างยิ่งกับสิ่งที่เธอประสบที่นั่น เมื่อเธอเข้าไปในพระนิเวศน์ของพระเจ้า เธอเห็นชายคนหนึ่งบนเก้าอี้เข็นกำลังเคลื่อนตัวอย่างช้าๆ และหญิงคนหนึ่งกำลังเดินโดยใช้ไม้เท้าอย่างยากลำบาก ทั้งคู่เข้ามานมัสการพระเจ้าในพระนิเวศน์ของพระองค์อย่างกล้าหาญ ขณะภรรยาข้าพเจ้าเดินเข้าไปในบริเวณศาสนพิธีขั้นเตรียม เธอเห็นซิสเตอร์ใจดีคนหนึ่งแขนขาดหนึ่งข้าง—และอีกข้างมีแค่บางส่วน—กำลังประกอบศาสนพิธีที่เธอได้รับมอบหมายอย่างงดงามราวกับอยู่ในสวรรค์

ขณะข้าพเจ้ากับภรรยาคุยกันเกี่ยวกับประสบการณ์นั้น เราสรุปว่ามีเพียงความมั่นใจจากใจจริงในคำสัญญานิรันดร์ที่พระผู้เป็นเจ้าประทานผ่านพันธสัญญาศักดิ์สิทธิ์ที่ทำกับพระองค์ในพระนิเวศน์ของพระองค์เท่านั้น ที่สามารถทำให้สานุศิษย์น่าอัศจรรย์เหล่านั้นของพระคริสต์ออกจากบ้านในวันอากาศหนาวเหน็บวันนั้น ไม่ว่าสภาวการณ์ส่วนตัวในชีวิตจะเป็นอย่างไร

เพื่อนที่รัก หากมีสิ่งเดียวที่เราสามารถครอบครอง—และสิ่งเดียวที่เราสามารถส่งต่อให้ลูกหลานซึ่งจะช่วยแต่ละคนในการทดสอบและการทดลองเบื้องหน้า—สิ่งนั้นคงจะเป็นความมั่นใจในพันธสัญญาที่ทำผ่านพระเยซูคริสต์ การได้รับการครอบครองศักดิ์สิทธิ์ดังกล่าวจะช่วยให้พวกเขาดำเนินชีวิตตามที่พระเจ้าทรงสัญญากับผู้ติดตามที่ซื่อสัตย์ของพระองค์: “สานุศิษย์ของเราจะยืนอยู่ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์, และจะไม่หวั่นไหว”7

เราจะได้รับความมั่นใจเช่นนั้นผ่านพระเยซูคริสต์อย่างไร? สิ่งนี้มาโดยความถ่อมตน การทำให้ชีวิตมีศูนย์กลางอยู่ที่พระผู้ช่วยให้รอด ดำเนินชีวิตตามหลักธรรมพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ รับศาสนพิธีแห่งความรอดและความสูงส่ง และให้เกียรติพันธสัญญาที่เราทำกับพระผู้เป็นเจ้าในพระนิเวศน์ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์

ในคำปราศรัยปิดการประชุมใหญ่สามัญเดือนตุลาคม 2019 ศาสดาพยากรณ์ที่รักของเราเตือนเราเกี่ยวกับขั้นตอนสำคัญในการบรรลุความมั่นใจในพันธสัญญา โดยกล่าวว่า: “ความมีค่าควรส่วนบุคคลในการเข้าพระนิเวศน์ของพระเจ้าเรียกร้องการเตรียมทางวิญญาณส่วนบุคคลมากทีเดียว … ความมีค่าควรส่วนบุคคลเรียกร้องการเปลี่ยนใจเลื่อมใสในความคิดและจิตใจอย่างสมบูรณ์เพื่อจะเป็นเหมือนพระเจ้ามากขึ้น เป็นพลเมืองที่ซื่อสัตย์ เป็นแบบอย่างที่ดีขึ้น และเป็นคนบริสุทธิ์มากขึ้น”8 ดังนั้น หากเราเปลี่ยนการเตรียมเข้าพระวิหาร เราจะเปลี่ยนประสบการณ์ในพระวิหาร ซึ่งจะเปลี่ยนชีวิตเรานอกพระวิหาร “เมื่อนั้นความมั่นใจของท่านจะแข็งแกร่งขึ้นในการประทับอยู่ของพระผู้เป็นเจ้า; และหลักคำสอนแห่งฐานะปุโรหิตจะกลั่นลงมาบนจิตวิญญาณท่านดังหยาดน้ำค้างจากฟ้าสวรรค์”9

อธิการที่ข้าพเจ้ารู้จักเรียกชั้นเรียนเด็กโตที่สุดในปฐมวัยว่าไม่ใช่ชั้นเรียน “ปฐมวัย” แต่เป็นชั้นเรียน “เตรียมเข้าพระวิหาร” ในเดือนมกราคม อธิการให้สมาชิกชั้นเรียนและครูมาที่ห้องทำงานเพื่อพูดคุยว่าพวกเขาจะใช้เวลาตลอดทั้งปีเตรียมเข้าพระวิหารอย่างไร อธิการใช้เวลาทบทวนคำถามสัมภาษณ์ใบรับรองพระวิหารที่เกี่ยวข้อง ซึ่งต่อมาได้รวมอยู่ในบทเรียนปฐมวัยของพวกเขา เขาเชื้อเชิญให้เด็กๆ เตรียมพร้อมเพื่อว่าเมื่อพวกเขามาที่ห้องอธิการในอีกหนึ่งปี พวกเขาจะมั่นใจ มั่นใจในพันธสัญญา พร้อมรับใบรับรองพระวิหารและเข้าไปในพระนิเวศน์ของพระเจ้า ปีนี้อธิการคนนี้มีเด็กหญิงสี่คนที่ตื่นเต้น เตรียมพร้อม และมั่นใจมากที่จะไปพระวิหารจนอยากให้อธิการพิมพ์ใบรับรองในวันปีใหม่ตั้งแต่เวลา 00:01 น.

การเตรียมตัวไม่ได้มีไว้สำหรับผู้ที่ไปพระวิหารครั้งแรกเท่านั้น เราทุกคนควรเตรียมตัวอยู่ตลอดเพื่อไปพระนิเวศน์ของพระเจ้า สเตคหนึ่งที่ข้าพเจ้ารู้จักใช้คติที่ว่า “บ้านเป็นศูนย์กลาง ศาสนจักรสนับสนุน และมุ่งหน้าไปพระวิหาร” มุ่งหน้า10 เป็นคำที่น่าสนใจ หมายถึงการตรงไปสู่เป้าหมาย แต่ยังมีนัยถึงการมุ่งมั่นตั้งใจ ตั้งหน้าทำอย่างจริงจัง และแน่วแน่ต่อเป้าหมายด้วย ดังนั้นการมุ่งหน้าไปพระวิหารจึงทำให้เราแน่วแน่ต่อพระผู้ช่วยให้รอด โดยให้การนำทางที่ถูกต้องและความมั่นคงแก่เราขณะรับรองว่าเราจะมีความมั่นใจในพันธสัญญาผ่านพระเยซูคริสต์ ดังนั้น เราทุกคนควรตั้งใจเพิ่มความมุ่งมั่นดังกล่าวโดยนัดหมายครั้งต่อไปกับพระเจ้าในพระนิเวศน์ศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ ไม่ว่าพระวิหารจะอยู่ใกล้หรือไกล11

ศาสดาพยากรณ์ที่รักของเรา ประธานรัสเซลล์ เอ็ม. เนลสัน เตือนเราเกี่ยวกับหลักธรรมสำคัญเหล่านี้โดยกล่าวว่า: “พระวิหารเป็นศูนย์กลางของการเสริมสร้างศรัทธาและความทรหดทางวิญญาณของเราเพราะพระผู้ช่วยให้รอดและหลักคำสอนของพระองค์เป็นหัวใจของพระวิหาร ทุกอย่างที่สอนในพระวิหารผ่านการสอนและผ่านพระวิญญาณจะเพิ่มความเข้าใจเราเรื่องพระเยซูคริสต์ ศาสนพิธีที่จำเป็นผูกมัดเรากับพระองค์ผ่านพันธสัญญาฐานะปุโรหิตศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นเมื่อเรารักษาพันธสัญญา พระองค์ย่อมประสาทพรเราด้วยเดชานุภาพ ของพระองค์ ที่เยียวยาและเสริมความเข้มแข็ง โอ้ เราจะต้องการเดชานุภาพของพระองค์มากเพียงใดในวันข้างหน้า”12

พระผู้ช่วยให้รอดทรงปรารถนาให้เราพร้อมเพื่อเข้าใจอย่างแจ่มแจ้งชัดเจนว่าจะปฏิบัติตนให้ถูกต้องอย่างไรเมื่อเราทำพันธสัญญากับพระบิดาบนสวรรค์ในพระนามของพระองค์ ทรงต้องการให้เราพร้อมรับประสบการณ์ในเอกสิทธิ์ คำสัญญา และความรับผิดชอบของเรา เพื่อเตรียมพร้อมรับความเข้าใจและการตื่นตัวทางวิญญาณที่เราต้องการในชีวิตนี้ ข้าพเจ้าทราบว่าเมื่อพระเจ้าทรงเห็นแม้เพียงประกายความปรารถนาหรือแสงริบหรี่ของความพยายามอันชอบธรรมในความเต็มใจที่จะทำให้ชีวิตเรามีศูนย์กลางในพระองค์ และในศาสนพิธีและพันธสัญญาที่เราทำในพระนิเวศน์ของพระองค์ พระองค์จะทรงอวยพรเราในวิธีที่สมบูรณ์แบบด้วยปาฏิหาริย์และพระเมตตาอันละเอียดอ่อนที่เราต้องการยิ่ง

พระนิเวศน์ของพระเจ้าเป็นที่ซึ่งเราสามารถเปลี่ยนไปในวิธีที่สูงขึ้นและศักดิ์สิทธิ์ขึ้น ดังนั้น เมื่อเราเดินออกจากพระวิหาร เปลี่ยนไปโดยความหวังในคำสัญญาของพันธสัญญา มีเดชานุภาพจากเบื้องบนเป็นอาวุธ เราจะนำพระวิหารไปกับเราในบ้านและชีวิตเราด้วย ข้าพเจ้ารับรองกับท่านว่าการมีพระวิญญาณแห่งพระนิเวศน์ของพระเจ้าอยู่ในเราเปลี่ยนแปลงเราโดยสิ้นเชิง

เราเรียนรู้จากพระวิหารเช่นกันว่าหากเราต้องการให้พระวิญญาณของพระเจ้าไม่ถูกขวางกั้นในชีวิตเรา เราจะไม่มีและต้องไม่มีความรู้สึกไม่ดีต่อใครได้เลย การให้พื้นที่ในใจหรือความคิดเราสำหรับความรู้สึกหรือความคิดที่ไม่ดีจะทำให้เกิดคำพูดและการกระทำที่ไม่ดี ไม่ว่าจะในโซเชียลมีเดียหรือในบ้าน ทำให้พระวิญญาณของพระเจ้าถอนตัวไปจากใจเรา เพราะฉะนั้น โปรดอย่าละทิ้งความมั่นใจของท่าน แต่ให้ความมั่นใจของท่านแข็งแกร่งขึ้น

การเร่งสร้างพระวิหารอย่างต่อเนื่องจะยังคงสร้างความตื่นเต้น สร้างแรงบันดาลใจ และเป็นพรแก่เราต่อไป สำคัญยิ่งกว่านั้น เมื่อเราเปลี่ยนการเตรียมตัวเข้าพระวิหาร เราจะเปลี่ยนประสบการณ์ของเราในพระวิหาร ซึ่งจะเปลี่ยนชีวิตเรานอกพระวิหาร ขอให้การเปลี่ยนแปลงนี้ทำให้เรามั่นใจในพันธสัญญาศักดิ์สิทธิ์ที่ทำกับพระผู้เป็นเจ้าผ่านพระเยซูคริสต์ พระผู้เป็นเจ้าทรงพระชนม์ พระเยซูทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอด และนี่คือศาสนจักรที่ได้รับการฟื้นฟูของพระองค์บนแผ่นดินโลก ข้าพเจ้าประกาศความจริงเหล่านี้ด้วยความคารวะในพระนามศักดิ์สิทธิ์ของพระผู้ช่วยให้รอด พระเยซูคริสต์ เอเมน