2017
พระกิตติคุณและชีวิตที่ดี
มีนาคม 2017


พระกิตติคุณและ ชีวิตที่ดี

จากคำปราศรัยให้ข้อคิดทางวิญญาณเรื่อง “ชีวิตที่ดี” ที่มหาวิทยาลัยบริคัม ยังก์–ไอดาโฮ วันที่ 18 ธันวาคม ค.ศ. 2015 ดูบทความเต็มเป็นภาษาอังกฤษที่ web.byui.edu/devotionalsandspeeches

ในสภาวการณ์เลวร้ายที่สุด เมื่อทุกอย่างพังทลาย ครอบครัวและพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์คือสิ่งจำเป็น

ภาพ
Father and daughters

หลายคนพูดถึงความเครียดของการไล่ล่าความฝันและสิ่งที่พวกเขาปรารถนา ข้าพเจ้ายอมรับเป้าหมายเหล่านั้น แต่ปรารถนาจะให้ท่านตรึกตรองจุดประสงค์ที่ใหญ่กว่านั้นในชีวิตท่าน

ความสำนึกคุณต่อพร

ก่อนอื่น ข้าพเจ้าหวังว่าท่านจะสำนึกคุณต่อพรของท่าน—โดยเฉพาะอย่างยิ่งมรดกของท่าน ความสำนึกคุณและความอ่อนน้อมถ่อมตนเกี่ยวข้องกันมาก เราอยู่ในยุคที่ถือเอาตนเองเป็นศูนย์กลาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเราสามารถใช้สื่อสังคมส่งเสริมตนเองได้ง่าย ไม่มีสิ่งใดสำคัญกว่าการสำนึกคุณและอ่อนน้อมถ่อมตน ผู้ที่ครอบครองคุณลักษณะสองอย่างนี้แสดงถึงความซาบซึ้งใจต่อพรของพวกเขาขณะพวกเขาทำตามแบบอย่างของพระผู้ช่วยให้รอด

โรเจอร์ บี. พอร์เตอร์เพื่อนข้าพเจ้าเป็นศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดและเป็นสมาชิกที่ซื่อสัตย์ของศาสนจักรกล่าวในพิธีรับปริญญาที่ฮาร์วาร์ดเมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 2015 ว่าความสำนึกคุณ “เรียกร้องให้เรายอมรับว่าเราเป็นหนี้ผู้อื่น” และ “มักเกี่ยวข้องเสมอกับการน้อมรับของขวัญที่ได้มาโดยไม่ต้องซื้อหาหรือไม่พึงได้รับ” เขาทิ้งท้ายว่า “ถ้าคุณเลือกยอมให้ความสำนึกคุณเป็นองค์ประกอบสำคัญของชีวิตคุณ นั่นจะเป็นประโยชน์ต่อคุณ จะช่วยคุณต่อต้านการล่อลวงให้ยอมจำนนต่อความจองหองและถลำไปในความรู้สึกว่าตนมีสิทธิ์ จะช่วยให้คุณมองเห็นคนดีและยอมรับคนคิดบวก จะช่วยให้คุณเข้าใจความขรุขระบนถนนและความยากลำบากที่คุณจะเผชิญครั้งแล้วครั้งเล่า จะช่วยให้คุณใส่ใจคนที่โชคดีน้อยกว่าคุณผู้ที่คุณสามารถเป็นพรแก่ชีวิตพวกเขาได้”1

ภาพ
Grandfather and grandson washing dishes

ข้าพเจ้าขอแนะนำว่าเราต้องสำนึกคุณเป็นพิเศษต่อมรดกของเรา เมื่อเราได้รับพรให้มีบิดามารดาผู้ประเสริฐ เราควรสำนึกคุณ ทั้งหมดนี้คือหนี้ที่เราแต่ละคนมีต่อมรดกของเรา ภาษิตเก่าแก่ของจีนกล่าวว่า “เมื่อท่านดื่มน้ำ อย่าลืมบ่อที่ให้น้ำนั้น”

พระคัมภีร์บอกชัดเจนว่าเราต้องให้เกียรติบิดามารดา สุภาษิตกล่าวว่า “ลูกเอ๋ย จงเฝ้ารักษาบัญญัติของพ่อเจ้า และอย่าละทิ้งคำสอนของแม่เจ้า” (สุภาษิต 6:20) เอเฟซัสสอนเราว่า “จงให้เกียรติบิดามารดาของเจ้า” (ดู เอเฟซัส 6:2–3; ดู อพยพ 20:12ด้วย) เกอเธ่นักปรัชญาผู้ยิ่งใหญ่ชาวเยอรมันกล่าวทำนองนี้ “สิ่งที่ท่านยืมมาจากมรดกของบรรพบุรุษ จงหาใหม่เพื่อจะได้ครอบครองอย่างแท้จริง!”2 เห็นชัดเจนว่าเราต้องสำนึกคุณบิดามารดาและลงมือทำอย่างสร้างสรรค์เพื่อให้ได้สิ่งที่พวกท่านหวังจะมอบให้เรา

หลักธรรมนิรันดร์ตรงข้ามกับปรัชญาทางโลก

นอกจากกระตุ้นให้ท่านมีความสำนึกคุณแล้ว ข้าพเจ้าประสงค์จะแบ่งปันคำแนะนำบางประการที่ปฏิบัติได้จริงซึ่งอาจจะช่วยให้ท่านมีความสุขและประสบความสำเร็จในการบรรลุถึงชีวิตที่มีความหมาย ซึ่งมักจะเรียกกันว่า “ชีวิตที่ดี”

ในบทความเมื่อเร็วๆ นี้ ลอร์ดโจนาธาน แซคส์ อดีตหัวหน้าผู้นำศาสนายิวของ United Hebrew Congregations of the British Commonwealth พูดถึงข้อกังวลที่ข้าพเจ้ามีเกี่ยวกับบทบาทที่ลดลงของศาสนา ค่านิยมทางศีลธรรม และความหมายในชีวิตปัจุบัน เขากล่าวว่า

“หากมีสิ่งหนึ่งที่สถาบันใหญ่ของโลกปัจจุบันไม่ทำ สิ่งนั้นคือการให้ความหมาย …

“วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ตลาดเสรี และ … รัฐประชาธิปไตยเปิดทางให้เราบรรลุผลสำเร็จอย่างคาดไม่ถึงในความรู้ เสรีภาพ ความคาดหวังและความมั่งคั่งของชีวิต สิ่งเหล่านั้นรวมอยู่ในบรรดาสัมฤทธิผลสูงสุดของอารยธรรมมนุษย์ที่ต้องปกป้องและหวงแหน

“แต่นั่นไม่ตอบคำถามสามข้อที่คนช่างคิดทุกคนจะถามบ้างเป็นบางครั้งในชีวิตเขาว่า ฉันเป็นใคร ฉันอยู่ที่นี่ทำไม ต่อจากนี้ฉันจะมีชีวิตอย่างไร ผลคือศตวรรษที่ 21 ทิ้งทางเลือกไว้ให้เรามากที่สุดและทิ้งความหมายไว้ให้เราน้อยที่สุด”3

ข้อความอ้างอิงข้างต้นแสดงสาระของข่าวสารข้าพเจ้าไว้อย่างสวยหรู ข้าพเจ้าเป็นห่วงอย่างยิ่งที่ชีวิตที่ดีบนพื้นฐานพระชนม์ชีพและคำสอนของพระเยซูคริสต์บัดนี้เป็นรองจากโลกทัศน์เกี่ยวกับชีวิตที่ดี

สำหรับพวกเราเหล่าสมาชิกของศาสนจักร พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ การฟื้นคืนพระชนม์ และการชดใช้ของพระองค์เป็นรากฐานสำหรับทั้งหมดที่จำเป็นอีกทั้งนำความหมายมาสู่ชีวิตนี้ด้วย พระผู้ช่วยให้รอดทรงดลใจให้เกิดความเชื่อและมาตรฐานความประพฤติที่กำหนดไว้ว่าอะไรถูกศีลธรรม ชอบธรรม พึงปรารถนา และส่งผลให้เกิดชีวิตที่ดี อย่างไรก็ตาม หลักธรรมและศีลธรรมพื้นฐานที่พระผู้ช่วยให้รอดทรงสอนกำลังถูกโจมตีอย่างรุนแรงในโลกปัจจุบัน คริสต์ศาสนาถูกโจมตีเช่นกัน

นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่ เคล็ดลับสำหรับชีวิตที่ดีเป็นเรื่องถกเถียงกันมาหลายศตวรรษ เมื่ออัครสาวกเปาโลอยู่ในกรุงเอเธนส์ เขาเผชิญหน้า “ปรัชญาเมธีบางคนในพวกเอปิคู- เรียนและในพวกสโตอิก” (กิจการของอัครทูต 17:18) พวกสโตอิกเชื่อว่าความดีสูงสุดคือคุณงามความดี ส่วนพวกเอ- ปิคูเรียนเชื่อว่าความดีสูงสุดคือความพึงพอใจ พวกสโตอิกจำนวนมากกลายเป็นคนหยิ่งจองหองและใช้ปรัชญาของตนเป็น “วิธีส่งเสริม … ความมักใหญ่ใฝ่สูงและความชั่วช้าสามานย์” พวกเอปิคูเรียนจำนวนมากกลายเป็นคนเจ้าสำราญผู้ถือคติพจน์ที่ว่า “จงกินจงดื่มเถิด เพราะพรุ่งนี้เราก็ตาย”4 คนมากมายในโลกวิชาการชี้ให้เห็นมานานแล้วว่าการสนับสนุนฌาณปัญญาของอริสโตเติลเป็นพิมพ์เขียวสำหรับชีวิตที่ดี น่าสนใจตรงที่ว่าปรัชญาทางโลกที่เหมือนกันนี้ซึ่งขัดแย้งกับคริสต์ศาสนายุคแรกยังมีอยู่มากมายในทุกวันนี้ในรูปแบบที่ต่างจากเดิมเล็กน้อย

นอกจากนี้ ปรัชญาใหม่ๆ มากมายขัดแย้งโดยตรงกับพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ นี่เกิดขึ้นเร็วมาก ภาษาที่ใช้ในพระคัมภีร์มอรมอนคือ “ในเวลาเพียงไม่กี่ปี” (ฮีลา- มัน 7:6) ขณะนี้ชาวโลกส่วนใหญ่เรียก “ความชั่วว่าดี, และความดีว่าชั่ว” (2 นีไฟ 15:20) อันที่จริง วลีในพระคัมภีร์สองวลีนี้สะท้อนสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในสมัยของเรา สิ่งที่ถือว่าถูกศีลธรรมเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มีการออกห่างอย่างไม่น่าเชื่อจากความประพฤติตามหลักศีลธรรมอันเป็นพื้นฐานของชีวิตที่ดี บางคนดูหมิ่นคริสต์ศาสนาโดยยอมรับคำลวงโลกที่ว่าในคริสต์ศาสนา ความสุขไม่เกี่ยวกับชีวิตนี้แต่เกี่ยวกับสวรรค์เท่านั้น5 ข้าพเจ้ารับรองกับท่านว่าการทำตามพระผู้ช่วยให้รอดนำความสุขเข้ามาในชีวิตนี้ และ ในสวรรค์

คุณงามความดีที่น่าสรรเสริญตรงข้ามกับคุณงามความดีในประวัติส่วนตัว

ภาพ
Family scripture study

เรื่องท้าทายบางเรื่องไม่เพียงเกี่ยวกับความดีและความชั่วเท่านั้น บางอย่างเรียกร้องให้เราทำการเลือกโดยยึดหลักอะไรดีที่สุด ไม่ใช่แค่อะไรดี6

เดวิด บรูคส์ให้แนวคิดในบทความชื่อ “The Moral Bucket List” ว่ามี “คุณงามความดีสองแบบ คุณงามความดีในประวัติส่วนตัวกับคุณงามความดีที่น่าสรรเสริญ คุณงามความดีในประวัติส่วนตัวคือทักษะที่ท่านนำเข้าสู่ท้องตลาด คุณงามความดีที่น่าสรรเสริญคือคุณงามความดีที่คนกล่าวถึงในงานศพของท่าน”7 บรูคส์สรุปอย่างถูกต้องว่าคุณงามความดีที่น่าสรรเสริญสำคัญกว่ามาก นี่มีความหมายต่อข้าพเจ้ามากเพราะข้าพเจ้าเคยมีประสบการณ์เมื่ออยู่ในวัยยี่สิบห้าซึ่งมีผลลึกซึ้งต่อข้าพเจ้า ประสบการณ์นี้เกี่ยวข้องกับงานศพของคนดีสองคนที่เกิดขึ้นห่างกันไม่กี่วัน นี่เป็นเรื่องจริง แต่ข้าพเจ้าเปลื่ยนชื่อและตั้งใจจะปิดบังข้อเท็จจริงบางอย่าง

ข้าพเจ้าอายุ 25 ปี สำเร็จการศึกษาจากคณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด และเพิ่งเริ่มอาชีพทนาย ข้าพเจ้าใช้โลกของวันทำงานไปกับคนมีการศึกษาสูงผู้สะสมทรัพย์สมบัติไว้มากมาย พวกเขาเป็นคนมีน้ำใจ และโดยทั่วไปเป็นคนมีเสน่ห์และมีมารยาท

สมาชิกศาสนจักรที่ข้าพเจ้าคบหาต่างจากพวกเขามาก สมาชิกส่วนใหญ่มีสมบัติทางโลกเล็กน้อย พวกเขาเป็นคนดีมาก และส่วนใหญ่มีความหมายในชีวิต ตอนนี้เองที่ชายวัยเกษียณสองคนสิ้นชีวิต ข้าพเจ้ารู้จักพวกเขามานานหลายปี งานศพของพวกเขาจัดห่างกันเพียงไม่กี่วัน และข้าพเจ้าเดินทางไปร่วมทั้งสองงาน ข้าพเจ้าขอเรียกคนหนึ่งว่าคุณมั่งคั่งและเรียกอีกคนหนึ่งว่าคุณซื่อสัตย์ ข้าพเจ้าจำงานศพของทั้งสองได้อย่างแม่นยำเพราะพวกเขาแสดงให้เห็นความสำคัญของการเลือกที่ทุกคนมีอยู่ตรงหน้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่อายุยังน้อย พวกเขาแสดงให้เห็นความซับซ้อนของการแยกแยะระหว่างคุณงามความดีในประวัติส่วนตัวกับคุณงามความดีที่น่าสรรเสริญเช่นกัน

สมัยเป็นหนุ่ม ทั้งคุณมั่งคั่งและคุณซื่อสัตย์รับใช้งานเผยแผ่ ตามคำบอกเล่า พวกเขาทั้งคู่เป็นผู้สอนศาสนาที่ทุ่มเทมาก หลังจากเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ชีวิตพวกเขาเริ่มผกผัน คุณมั่งคั่งแต่งงานกับสาวสวยที่ต่อมาแข็งขันน้อยในศาสนจักร คุณซื่อสัตย์แต่งงานกับสาวสวยทัดเทียมกันแต่แข็งขันเต็มที่ในศาสนจักร การตัดสินใจครั้งนี้ตีกรอบการตัดสินใจที่เหลือของชีวิตพวกเขามากกว่าปัจจัยอื่น ในประสบการณ์ของข้าพเจ้า เมื่อคู่สามีภรรยายังคงแน่วแน่และซื่อสัตย์ต่อพระผู้ช่วยให้รอดและความสำคัญนิรันดร์ของครอบครัว คุณงามความดีที่น่าสรรเสริญมักจะคงอยู่เสมอ

ตอนนี้ข้าพเจ้าจะพูดเพิ่มเติมเกี่ยวกับคุณมั่งคั่ง เขามีความสัมพันธ์อันดีกับผู้อื่นและห่วงใยผู้อื่นมาก เขาเริ่มทำงานกับบริษัทใหญ่ของสหรัฐและสุดท้ายได้เป็นประธานบริษัทนั้น เขามีรายได้งามและอาศัยอยู่ในบ้านใหญ่หลังงามบนเนื้อที่กว้างใหญ่ไพศาล นั่นคือสาเหตุที่ข้าพเจ้าตัดสินใจเรียกเขาว่าคุณมั่งคั่ง พูดได้ว่าการเลือกอาชีพของเขาไม่ใช่แค่ดีหรือดีกว่าแต่ดีที่สุด

แต่การเลือกด้านครอบครัวและศาสนจักรของเขาไม่ดีเลย เขาเป็นคนดีและไม่ได้เลือกทำชั่วแต่อย่างใด แต่การเลือกด้านครอบครัวและอิทธิพลต่อลูกๆ เกือบทั้งหมดเน้นที่การศึกษาและงานอาชีพ หลักๆ คือเน้นคุณงามความดีในประวัติส่วนตัวที่มีค่ามากในท้องตลาด บุตรชายของเขาเริ่มงานอาชีพที่ดีมาก แต่พวกเขาไม่แข็งขันในศาสนจักร พวกเขาแต่งงานกับหญิงสาวที่ไม่เป็นสมาชิก ข้าพเจ้าไม่รู้ข้อเท็จจริงทั้งหมดเกี่ยวกับบุตรชายของเขา แต่การแต่งงานของทุกคนลงเอยด้วยการหย่าร้าง

คุณมั่งคั่งกับภรรยากลายเป็นสมาชิกแข็งขันน้อย พวกเขามีประวัติดีในการเข้าร่วมกิจกรรมทางสังคมและกิจกรรมชุมชน เขาถือเสมอว่าตนเป็นแอลดีเอสและภูมิใจกับงานเผยแผ่ของเขา แต่เขาไม่ไปโบสถ์ เขาจะบริจาคเงินให้โครงการก่อสร้างของศาสนจักรเป็นครั้งคราวและช่วยเหลือสมาชิกแอลดีเอสในอาชีพการงานของคนเหล่านั้น นอกจากนี้เขายังเป็นอิทธิพลเรื่องความซื่อสัตย์ ความสุจริต และไมตรีจิตในทุกตำแหน่งของเขาด้วย

งานศพของเขาจัดที่โบสถ์ไม่สังกัดนิกายที่สุสานแห่งหนึ่ง ผู้บริหารระดับสูงและบุคคลสำคัญจำนวนมากมาร่วมงานศพ รวมทั้งผู้ว่าการรัฐที่เขาอยู่ ทุกคนที่มาร่วมงานศพอายุเลย 50 ปียกเว้นลูกหลานของเขาและข้าพเจ้า โดยรวมแล้วถือว่าเป็นงานศพที่เศร้าหมอง ไม่มีการสอนหลักธรรมพื้นฐานของแผนแห่งความสุข และกล่าวถึงพระเยซูคริสต์เพียงเล็กน้อย ชีวิตของคุณมั่งคั่งอาศัยคุณงามความดีในประวัติส่วนตัวแทบจะทั้งหมด

การตัดสินใจเรื่องอาชีพของคุณซื่อสัตย์ประสบผลสำเร็จน้อยกว่ามาก ธุรกิจเล็กๆ ที่เขาทำเป็นงานแรกล้มเหลวเมื่อธุรกิจถูกไฟไหม้และเขาสูญเสียทุกอย่าง ต่อมาเขาตั้งธุรกิจเล็กๆ แต่แทบทำเงินไม่ได้เลย เขามีบ้านหลังเล็กแต่พอเหมาะ เขามีความสุขกับงานของเขาและการปฏิบัติสัมพันธ์กับผู้คน อาชีพของเขาดีและน่าพอใจแต่ไม่โดดเด่นหรือไม่อาจเรียกได้ว่าดีที่สุด อาชีพของเขาไม่ใช่คุณงามความดีในประวัติส่วนตัว

ในทางกลับกัน การเลือกครอบครัวและศาสนจักรของเขาเป็นการเลือกที่ดีที่สุด เขากับภรรยาแข็งขันเต็มที่ในศาสนจักร เขารับใช้ตามที่ได้รับเรียก บ่อยครั้งเป็นครู เขาเข้าพระวิหารบ่อยๆ และเป็นผู้ดำรงฐานะปุโรหิตที่ซื่อสัตย์ เขามีความสัมพันธ์อันดีโดยเฉพาะอย่างยิ่งกับครอบครัวใหญ่และหลานๆ หลายคนของเขา พวกเขาทุกคนมีการศึกษาดี แต่ที่เขาเน้นมากที่สุดคือการดำเนินชีวิตเหมือนพระคริสต์ ในวัยเกษียณ เขากับภรรยารับใช้งานเผยแผ่ด้วยกัน แม้จะประสบการทดลอง รวมทั้งการเสียชีวิตของบุตรชายคนหนึ่งในสงครามโลกครั้งที่ 2 แต่เขาได้รับความพึงพอใจและปีติตลอดชีวิตเพราะจุดประสงค์และความหมายที่ได้จากครอบครัวและพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์

งานศพของเขาในอาคารประชุมวอร์ดใหญ่โตและเปี่ยมด้วยปีติ คนทุกวัยเข้าร่วม รวมทั้งหลานกลุ่มใหญ่และคนหนุ่มสาวจำนวนมากที่เขารับใช้ มีการสอนแผนแห่งความสุขและพระผู้ช่วยให้รอดทรงเป็นศูนย์รวมของพิธี นั่นเป็นงานศพที่วิสุทธิชนยุคสุดท้ายพึงถือเป็นแบบอย่าง ผู้พูดกล่าวถึงอุปนิสัย ความมีน้ำใจ ความห่วงใยผู้อื่น ศรัทธาและความรักที่เขามีต่อพระเจ้าพระเยซูคริสต์

การเลือกและชีวิตที่ดี

ภาพ
Family at the temple

ข้าพเจ้าบอกไปแล้วว่างานศพของสองคนนี้เกิดขึ้นตรงจังหวะพอดี ข้าพเจ้ารับใช้งานเผยแผ่มาแล้ว และข้าพเจ้ารักศาสนจักร ข้าพเจ้าเพิ่งเริ่มอาชีพและประทับใจกับคนที่มีความสำเร็จทางโลกและงานอาชีพ ข้าพเจ้าทราบดีว่าการเลือกที่ข้าพเจ้าทำจะกำหนดความสุขของข้าพเจ้าในชีวิตนี้และมรดกที่ข้าพเจ้าจะทิ้งไว้ ข้าพเจ้าทราบดีเช่นกันถึงความสำคัญนิรันดร์ของการเลือกที่อยู่ตรงหน้าข้าพเจ้า ข้าพเจ้าเห็นชัดเจนว่าการเลือกมีความสำคัญนิรันดร์ สิ่งที่มีความสำคัญต่อข้าพเจ้ามากที่สุดเกี่ยวกับชีวิตที่เพิ่งพูดถึงคือข้าพเจ้าทราบดีว่าทุกคนสามารถทำการเลือกที่สำคัญที่สุดได้ โดยไม่คำนึงถึงพรสวรรค์ ความสามารถ โอกาส หรือสภาพเศรษฐกิจของพวกเขา ข้าพเจ้าทราบดีว่าสำหรับข้าพเจ้า ลูกๆ ในอนาคต และทุกคนที่ข้าพเจ้าจะมีโอกาสเป็นอิทธิพลต่อพวกเขา การให้พระผู้ช่วยให้รอด ครอบครัวของข้าพเจ้า และศาสนจักรมาก่อนถึอว่าจำเป็น การทำเช่นนั้นจะส่งผลให้เกิดชีวิตที่ดี

ในสภาวการณ์เลวร้ายที่สุด เมื่อทุกอย่างพังทลาย ครอบครัวและพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์คือสิ่งจำเป็น ลองนึกถึงท่านบิดาลีไฮในพระคัมภีร์มอรมอนที่บรรยายว่าท่าน “ออกไปในแดนทุรกันดาร. และท่านทิ้งบ้านท่าน, และแผ่นดินแห่งมรดกของท่าน, และทองของท่าน, และเงินของท่าน, และของมีค่าของท่าน, และมิได้เอาสิ่งใดไปกับท่านเลย, นอกจากครอบครัวท่าน” (1 นีไฟ 2:4)

คนรุ่นนี้มีความท้าทายให้ปกป้องศรัทธาและครอบครัว นักวิจัยคนหนึ่งนึกย้อนไปไกลถึงอินเดียและกรีซสมัยโบราณ เขาสรุปว่าประชากรที่ไม่มีศาสนาทุกที่ในประวัติศาสตร์ล้วนประสบกับจำนวนประชากรลดน้อยถอยลง8 เมื่อเร็วๆ นี้สื่อมวลชนเน้นเรื่องอัตราการเกิดที่ลดลงมากในโลกปัจจุบัน Wall Street Journal ประกาศในบทความหน้าแรกชื่อ “The World’s New Population Time Bomb: Too Few People.” บทความบอกว่าในปี 2016 “เป็นครั้งแรกตั้งแต่ปี 1950 … ประชากรวัยทำงานลดลง”9

การขาดศรัทธาและการลดลงของประชากรเกี่ยวข้องกันอย่างเห็นได้ชัด แผนนิรันดร์ของพระบิดาสำหรับบุตรธิดาของพระองค์ขึ้นอยู่กับศรัทธาและครอบครัว ในการสำรวจหลายต่อหลายครั้ง ข้าพเจ้ารู้สึกซาบซึ้งใจที่วิสุทธิชนยุคสุดท้ายจรรโลงศรัทธาในพระเจ้าพระเยซูคริสต์และยังคงแต่งงานและมีบุตร

บางคนอาจไม่มีโอกาสแต่งงานหรือมีบุตร แต่คนที่ทำตามพระผู้ช่วยให้รอดและพระบัญญัติอย่างชอบธรรม—ผู้ที่รับใช้บุตรธิดาของพระบิดาโดยไม่เห็นแก่เหน็ดเหนื่อย—“จะได้รับพรที่สัญญาไว้ในนิรันดร”10

เมื่อเราประสบความยุ่งยากและการทดลองของชีวิต เหตุการณ์มากมายเที่เราควบคุมได้เล็กน้อยหรือไม่ได้เลยเกิดขึ้นเสมอ แต่ในเรื่องของหลักธรรม ความประพฤติ การถือปฏิบัติศาสนา และการดำเนินชีวิตอย่างชอบธรรมนั้น เราควบคุมได้ ศรัทธาของเราและการนมัสการพระผู้เป็นเจ้าพระบิดาและพระบุตรของพระองค์พระเยซูคริสต์เป็นการเลือกที่เราทำ

เอ็ลเดอร์นีล เอ. แม็กซ์เวลล์ (1926–2004) แห่งโควรัมอัครสาวกสิบสองอ้างอิงคำพูดของวิลเลียม ลอว์บาทหลวงชาวอังกฤษในศตวรรษที่ 18 โดยกล่าวไว้ชัดเจนที่สุดดังนี้ “หากท่านไม่เลือกอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้าก่อน สุดท้ายสิ่งที่ท่านเลือกแทนจะไม่ส่งผลใดๆ เลย”11

ภาพ
Father working at computer

ภาพถ่ายประกอบโดยพอล คอนราดท์/The Image Bank/Getty Images

โปรดเข้าใจว่าในการเล่าเรื่องจริงของชายสองคนที่ข้าพเจ้าเรียกว่าคุณมั่งคั่งกับคุณซื่อสัตย์ ข้าพเจ้าไม่ได้สนับสนุนให้สนใจเป้าหมายเกี่ยวกับการศึกษาหรืออาชีพน้อยลง แต่ตรงกันข้าม เราควรทำทุกอย่างที่ทำได้เพื่อส่งเสริมความสำเร็จในสองด้านนี้ สิ่งที่ข้าพเจ้ากำลังบอกคือเมื่อเรายกเป้าหมายเกี่ยวกับการศึกษาและอาชีพให้อยู่เหนือครอบครัว ศาสนจักร และประจักษ์พยานในพระผู้ช่วยให้รอด ผลร้ายที่ไม่ตั้งใจของการเน้นคุณงามความดีในประวัติส่วนตัวมากเกินไปจะเกิดขึ้นแน่นอน

ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าท่านจะได้รับปีติและความสุขที่ท่านปรารถนาและที่พระผู้เป็นเจ้าทรงต้องการให้ท่านหากท่านปฏิบัติดังนี้

  • สำนึกคุณต่อพรของท่าน—โดยเฉพาะอย่างยิ่งมรดกของท่าน

  • ปฏิบัติหลักธรรมนิรันดร์ที่จะนำความหมายมาสู่ชีวิตท่าน

  • ตั้งใจว่าจะให้คุณงามความดีที่น่าสรรเสริญอยู่เหนือคุณงามความดีในประวัติส่วนตัวของท่าน

  • พร้อมจะรายงานพระผู้ช่วยให้รอดว่าท่านดำเนินชีวิตดีแล้ว

การพบกันครั้งสำคัญที่สุดที่เราแต่ะคนจะมีในอีกด้านหนึ่งของม่านคือการพบกับพระผู้ช่วยให้รอด “องค์ทวารบาล” (2 นีไฟ 9:41) ไม่ว่าบรรพชนของเราเป็นใครและเราร่ำรวยหรือยากจน เราจะต้องรายงานเรื่องการปฏิบัติตามพระบัญญัติที่เราได้รับ เราควรดำเนินชีวิตจนเราสามารถ “เข้าประตูของพระองค์ด้วยการขอบพระคุณและเข้าบริเวณพระนิเวศของพระองค์ด้วยการสรรเสริญ จงขอบพระคุณพระองค์ จงถวายสาธุการแด่พระนามของพระองค์” (สดุดี 100:4)

เราจะต้องการรายงานอย่างเบิกบานใจว่าเราดำเนินชีวิตดีแล้วจริงๆ

อ้างอิง

  1. โรเจอร์ บี. พอร์เตอร์, คำปราศรัยในพิธีประสาทปริญญาบัตร, ดันสเตอร์เฮาส์, มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด, 28 พฤษภาคม 2015.

  2. โจฮานน์ วูล์ฟแกงก์ ฟอน เกอเธ่ Faust, trans. Bayard Taylor (1912), 1:28.

  3. โจนาธาน แซคส์, “How to Defeat Religious Violence,Wall Street Journal, Oct. 2, 2015, C2; ดู โจนาธาน แซคส์, Not in God’s Name: Confronting Religious Violence (2015), 13 ด้วย.

  4. ดู เฟรเดอริก ดับเบิลยู. ฟาร์ราร์ The Life and Work of St. Paul (1895), 304.

  5. ดู คาร์ล ซีเดอร์สตรอม, “The Dangers of Happiness,New York Times, July 18, 2015, 8.

  6. ดู ดัลลิน เอช. โอ๊คส์, “ดี ดีกว่า ดีที่สุด,” เลียโฮนา, พ.ย. 2007,133–137.

  7. เดวิด บรูคส์, “Moral Bucket List,New York Times, Apr. 11, 2015, SR1, nytimes.com; ดู เดวิด บรูคส์, The Road to Character (2015), xi ด้วย.

  8. ดู ไมเคิล บลัม, ใน เดวิด บรูคส์, “Peace within the Texts,New York Times, Nov. 17, 2015, A23, nytimes.com.

  9. Greg Ip,The World’s New Population Time Bomb: Too Few People,Wall Street Journal, Nov. 24, 2015, 1.

  10. คู่มือเล่ม 2: การบริหารงานศาสนจักร (2010), 1.3.3.

  11. นีล เอ. แม็กซ์เวลล์, “Response to a Call,Ensign, May 1974, 112; ดู วิลเลียม ลอว์, ใน ed. Wayne Martindale and Jerry Root (1989), 172 ด้วย.