2014
ผู้สอนศาสนา ประวัติครอบครัว และงานพระวิหาร
ตุลาคม 2014


ผู้สอนศาสนา ประวัติครอบครัว และงานพระวิหาร

จากคำปราศรัยในการสัมมนาประธานคณะเผยแผ่คนใหม่เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน ค.ศ. 2013

ภาพ
Two photos, one of a young man using a laptop computer, the other of a and a missionary teaching a man

ที่การชุมนุมศักดิ์สิทธิ์ซึ่งจัดขึ้นในพระวิหารเคิร์ทแลนด์ วันที่ 6 เมษายน ค.ศ. 1837 ศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธกล่าวว่า “จากทั้งหมดที่กล่าวมา หน้าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดและสำคัญที่สุดคือสั่งสอนพระกิตติคุณ”1

เกือบเจ็ดปีพอดีเมื่อท่านประกาศในวันที่ 7 เมษายน ค.ศ. 1844 ว่า “ความรับผิดชอบอันใหญ่หลวงที่สุดในโลกนี้ที่พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบให้เราคือ แสวงหาคนตายของเรา อัครสาวกกล่าวว่า ‘[พวกเขาจะดีพร้อมไม่ได้หากไม่มีพวกเรา]’ [ดู ฮีบรู 11:40] เพราะจำเป็นที่อำนาจการผนึกจะอยู่ในมือเราเพื่อผนึกลูกหลานของเราและคนตายของเราสำหรับสมัยการประทานความสมบูรณ์แห่งเวลา—สมัยการประทานตามสัญญาที่พระเยซูคริสต์ทรงทำไว้ก่อนการวางรากฐานของโลกเพื่อความรอดของมนุษย์”2

บางคนอาจสงสัยว่าทั้งการสั่งสอนพระกิตติคุณ และ การค้นหาคนตายของเราจะเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบใหญ่หลวงที่สุดที่พระผู้เป็นเจ้าทรงมอบให้บุตรธิดาของพระองค์ไปพร้อมๆ กันได้อย่างไร จุดประสงค์ของข้าพเจ้าคือแนะนำว่าคำสอนเหล่านี้เน้นเอกภาพและความเป็นหนึ่งเดียวของงานแห่งความรอดยุคสุดท้าย งานเผยแผ่ศาสนากับงานพระวิหารและประวัติครอบครัวเป็นด้านที่เสริมกันและเกี่ยวพันกันของงานอันสำคัญยิ่งงานหนึ่ง “ที่จะทำให้แผนงานสำเร็จเมื่อเวลาครบบริบูรณ์แล้ว คือที่จะทรงรวบรวมทุกสิ่งทั้งที่อยู่ในสวรรค์และในแผ่นดินโลกให้อยู่ในพระคริสต์” (เอเฟซัส 1:10)

ข้าพเจ้าสวดอ้อนวอนขอให้อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ช่วยท่านและข้าพเจ้าขณะที่เราพิจารณางานแห่งความรอดอันน่าอัศจรรย์ในยุคสุดท้ายไปพร้อมๆ กัน

ใจและศาสนพิธีฐานะปุโรหิต

การสั่งสอนพระกิตติคุณและการค้นหาคนตายของเราเป็นความรับผิดชอบสองอย่างที่พระเจ้าทรงกำหนดเพื่อเชื่อมโยงทั้งกับใจเราและกับศาสนพิธีฐานะปุโรหิต แก่นแท้ในงานของพระเจ้าคือเปลี่ยนใจ หันใจ และทำให้ใจบริสุทธิ์ผ่านพันธสัญญาและศาสนพิธีที่ประกอบโดยสิทธิอำนาจฐานะปุโรหิตที่ถูกต้อง

คำว่า ใจ ใช้ในงานมาตรฐานเกิน 1,000 ครั้งและเป็นสัญลักษณ์ของความรู้สึกในใจของแต่ละคน ด้วยเหตุนี้ใจเรา—ผลรวมของความปรารถนา ความเอื้ออาทร ความตั้งใจ เจตนา และเจตคติ—จึงบ่งบอกว่าเราเป็นใครและกำหนดสิ่งที่เราจะเป็น

จุดประสงค์ของพระเจ้าสำหรับงานเผยแผ่ศาสนาคือเชื้อเชิญคนทั้งปวงให้มาหาพระคริสต์ รับพรแห่งพระกิตติคุณที่ได้รับการฟื้นฟู และอดทนจนกว่าชีวิตจะหาไม่ผ่านศรัทธาในพระคริสต์3 เราไม่แบ่งปันพระกิตติคุณเพียงเพื่อเพิ่มจำนวนคนและความเข้มแข็งของศาสนจักรยุคสุดท้าย แต่เราพยายามทำหน้าที่รับผิดชอบที่พระเจ้าทรงกำหนดให้ประกาศความจริงในแผนแห่งความสุขของพระบิดา ความเป็นพระเจ้าของพระบุตรองค์เดียวผู้ถือกำเนิดของพระองค์ พระเยซูคริสต์ และประสิทธิผลของการพลีพระชนม์ชีพเพื่อชดใช้ของพระผู้ช่วยให้รอด การเชื้อเชิญคนทั้งปวงให้ “มาหาพระคริสต์” (ดู โมโรไน 10:30–33) การประสบ “การเปลี่ยนแปลงอันลึกซึ้ง” ในใจ (ดู แอลมา 5:12–14) และการมอบศาสนพิธีแห่งความรอดให้แต่ละบุคคลที่ยังไม่อยู่ใต้พันธสัญญาในความเป็นมรรตัยคือวัตถุประสงค์พื้นฐานของการสั่งสอนพระกิตติคุณ

การทำให้คนเป็นและคนตายได้รับความสูงส่งเป็นจุดประสงค์ของพระเจ้าสำหรับการสร้างพระวิหารและการประกอบศาสนพิธีแทนผู้วายชนม์ เราไม่นมัสการในพระวิหารศักดิ์สิทธิ์เพียงเพื่อให้แต่ละบุคคลหรือครอบครัวมีประสบการณ์ที่น่าจดจำ แต่เราพยายามทำหน้าที่รับผิดชอบที่พระเจ้าทรงกำหนดให้มอบศาสนพิธีแห่งความรอดและความสูงส่งให้ครอบครัวมนุษย์ทั้งหมด การปลูกฝังสัญญาที่ทำไว้กับบรรพบุรุษ แม้กับอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ ไว้ในใจลูกหลาน การหันใจลูกหลานไปหาบรรพบุรุษของพวกเขา รวมถึงการค้นคว้าประวัติครอบครัวและประกอบศาสนพิธีแทนผู้วายชนม์ในพระวิหารคืองานที่เป็นพรแก่บุคคลในโลกวิญญาณที่ยังไม่อยู่ใต้พันธสัญญา

ภาพ
Cordoba, Argentina Temple rendering.

ศาสนพิธีฐานะปุโรหิตเป็นเส้นทางสู่พลังอำนาจของความเป็นเหมือนพระผู้เป็นเจ้า

“และฐานะปุโรหิตดังกล่าวที่เหนือกว่าดูแลพระกิตติคุณและถือกุญแจแห่งความลี้ลับของอาณาจักร, แม้กุญแจแห่งความรู้เรื่องพระผู้เป็นเจ้า.

“ฉะนั้น, ในศาสนพิธีของฐานะปุโรหิตนี้, พลังอำนาจของความเป็นเหมือนพระผู้เป็นเจ้าจึงแสดงให้ประจักษ์.

“และปราศจากศาสนพิธีของฐานะปุโรหิตนี้, และสิทธิอำนาจของฐานะปุโรหิต, พลังอำนาจของความเป็นเหมือนพระผู้เป็นเจ้าไม่แสดงให้ประจักษ์แก่มนุษย์ในเนื้อหนัง” (คพ. 84:19–21)

โปรดพิจารณานัยสำคัญจริงๆ ของข้อเหล่านี้ บุคคล ต้อง ผ่านประตูแห่งบัพติศมาก่อนและรับของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์—มุ่งหน้าต่อไปหลังจากนั้นตามเส้นทางแห่งพันธสัญญาและศาสนพิธีที่นำไปหาพระผู้ช่วยให้รอดและพรแห่งการชดใช้ของพระองค์ (2 นีไฟ 31) ศาสนพิธีฐานะปุโรหิตจำเป็นต่อการ “มาหาพระคริสต์ [อย่างเต็มที่], และได้รับการทำให้ดีพร้อมในพระองค์” (ดู โมโรไน 10:30–33) หากปราศจากศาสนพิธี แต่ละบุคคลจะไม่สามารถรับพรทั้งหมดที่เกิดขึ้นได้โดยผ่านการพลีพระชนม์ชีพเพื่อการชดใช้อันไม่มีขอบเขตและเป็นนิรันดร์ของพระเจ้า (ดู แอลมา 34:10–14)—แม้แต่พลังอำนาจของความเป็นเหมือนพระผู้เป็นเจ้า

งานของพระเจ้าเป็นงานสูงส่งงานหนึ่งที่เน้นเรื่องใจ พันธสัญญา และศาสนพิธีฐานะปุโรหิต

ความหมายโดยนัย

หลักคำสอนอันศักดิ์สิทธิ์นี้บอกนัยสำคัญสองประการสำหรับงานของเราในศาสนจักร

หนึ่ง บ่อยครั้งที่เราอาจเน้นมากเกินไปให้แยกประเภทของงานแห่งความรอดกับนโยบายและระเบียบปฏิบัติที่เกี่ยวข้อง ข้าพเจ้าเกรงว่าพวกเราหลายคนอาจมุ่งเน้นงานของพระเจ้าเพียงด้านเดียวมากจนเราไม่ได้รับพลังเต็มที่ของการทำงานแห่งความรอดนี้ที่ครอบคลุมทุกด้าน

ขณะพระเจ้าทรงพยายามรวบรวมสิ่งสารพัดเข้าเป็นหนึ่งเดียวในพระคริสต์ เรามักจะแยกส่วนและศึกษาเฉพาะด้านที่จำกัดความเข้าใจและวิสัยทัศน์ของเรา เมื่อมาถึงขีดสุดเราก็จะให้ความสำคัญกับการบริหารโปรแกรมและเพิ่มสถิติมากกว่าการเชื้อเชิญแต่ละบุคคลให้เข้าสู่พันธสัญญาและรับศาสนพิธีอย่างมีค่าควร ท่าทีเช่นนี้จำกัดการทำให้บริสุทธิ์ ปีติ การเปลี่ยนใจเลื่อมใสอย่างต่อเนื่อง พลังและความคุ้มครองทางวิญญาณที่มาจาก “การยอมถวายใจ [เรา] ต่อพระผู้เป็นเจ้า” (ฮีลามัน 3:35) การเพียงแค่ทำและกาเครื่องหมายว่าทำทุกอย่างแล้วตามหน้าที่ในรายการพระกิตติคุณยาวเหยียดที่ “ต้องทำ” ไม่ได้ทำให้เราสามารถรับรูปลักษณ์ของพระองค์ไว้ในสีหน้าของเราหรือทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอันลึกซึ้งในใจได้เลย (ดู แอลมา 5:14)

สอง วิญญาณของเอลียาห์เป็นศูนย์รวมและสำคัญยิ่งต่องานแห่งการประกาศพระกิตติคุณ บางทีพระเจ้าอาจจะทรงกำลังเน้นความจริงนี้ตามลำดับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นคราวฟื้นฟูความสมบูรณ์ของพระกิตติคุณสู่แผ่นดินโลกในยุคสุดท้ายนี้

ในป่าศักดิ์สิทธิ์ โจเซฟ สมิธเห็นและพูดกับพระบิดานิรันดร์และพระเยซูคริสต์ นิมิตดังกล่าวนำเข้าสู่ “เวลาครบบริบูรณ์ [สมัยการประทานความสมบูรณ์แห่งเวลา]” (เอเฟซัส 1:10) และทำให้โจเซฟได้เรียนรู้เกี่ยวกับพระลักษณะแท้จริงของพระผู้เป็นเจ้าสามพระองค์และการเปิดเผยต่อเนื่อง

ประมาณสามปีต่อมา เพื่อตอบคำสวดอ้อนวอนที่จริงใจในคืนวันที่ 21 กันยายน ค.ศ. 1823 ห้องนอนของโจเซฟเต็มไปด้วยแสงสว่างจนห้อง “สว่างยิ่งกว่าตอนเที่ยงวัน” (โจเซฟ สมิธ—ประวัติ 1:30) รูปกายหนึ่งปรากฏที่ข้างเตียง เรียกชื่อเด็กหนุ่ม และประกาศว่า “ท่านเป็นผู้ส่งสารที่ส่งมาจากที่ประทับของพระผู้เป็นเจ้า … และชื่อของท่านคือโมโรไน” (โจเซฟ สมิธ—ประวัติ 1:33) ท่านแนะนำโจเซฟเกี่ยวกับการออกมาของพระคัมภีร์มอรมอน และจากนั้นโมโรไนได้อ้างคำพูดจากหนังสือของมาลาคีในพันธสัญญาเดิม โดยใช้ภาษาต่างจากที่ใช้ในฉบับคิงส์เจมส์เล็กน้อย

“ดูเถิด, เราจะเปิดเผยฐานะปุโรหิตแก่เจ้า, โดยมือของเอลียาห์ศาสดาพยากรณ์, ก่อนการมาของวันสำคัญยิ่งและน่าพรั่นพรึงของพระเจ้า … และท่านจะปลูกสัญญาที่ทำกับบรรพบุรุษไว้ในใจของลูกหลาน, และใจของลูกหลานจะหันไปหาบรรพบุรุษของพวกเขา. หากไม่เป็นเช่นนั้น ทั้งแผ่นดินโลกจะร้างลงสิ้น ณ การเสด็จมาของพระองค์” (โจเซฟ สมิธ—ประวัติ 1:38–39)

คำแนะนำที่โมโรไนให้ศาสดาพยากรณ์หนุ่มรวมสาระสำคัญพื้นฐานสองประการนี้ไว้ด้วย ได้แก่ (1) พระคัมภีร์มอรมอน และ (2) ถ้อยคำของมาลาคีทำนายบทบาทของเอลียาห์ในการฟื้นฟู “สรรพสิ่งตามที่พระเจ้าตรัสไว้โดยปากของบรรดาผู้เผยพระวจนะบริสุทธิ์ของพระองค์ตั้งแต่กาลโบราณมา” (กิจการ 3:21) ด้วยเหตุนี้ เหตุการณ์ที่นำเข้าสู่การฟื้นฟูจึงเปิดเผยความเข้าใจที่ถูกต้องเกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้าสามพระองค์ ยืนยันความเป็นจริงของการเปิดเผยต่อเนื่อง เน้นความสำคัญของพระคัมภีร์มอรมอน คาดหวังงานแห่งความรอดและความสูงส่งสำหรับทั้งคนเป็นและคนตาย

ตอนนี้โปรดพิจารณาบทบาทของพระคัมภีร์มอรมอนในการเปลี่ยนแปลงใจ—และวิญญาณของเอลียาห์ในการหันใจ

พระคัมภีร์มอรมอนผนวกกับพระวิญญาณของพระเจ้าเป็น “เครื่องมือยอดเยี่ยมที่สุดเครื่องมือเดียวที่พระผู้เป็นเจ้าประทานให้เราใช้ทำให้ชาวโลกเปลี่ยนใจเลื่อมใส”4 การฟื้นฟูพระคัมภีร์เล่มนี้เป็นศิลาหลักของศาสนาเราและจำเป็นต่อการนำจิตวิญญาณมาหาพระผู้ช่วยให้รอด พระคัมภีร์มอรมอนเป็นพยานหลักฐานอีกเล่มหนึ่งของพระเยซูคริสต์—พยานยืนยันอันสำคัญยิ่งถึงความเป็นพระเจ้าของพระผู้ไถ่ในโลกที่นับวันจะใฝ่ทางโลกและชอบเยาะเย้ยถากถางมากขึ้น ใจเปลี่ยนเมื่อบุคคลนั้นอ่านและศึกษาพระคัมภีร์มอรมอนและสวดอ้อนวอนด้วยเจตนาแท้จริงเพื่อเรียนรู้ความจริงของพระคัมภีร์ดังกล่าว

วิญญาณของเอลียาห์คือ “การแสดงให้ประจักษ์ของพระวิญญาณบริสุทธิ์โดยทรงเป็นพยานถึงความศักดิ์สิทธิ์ของครอบครัว”5 อิทธิพลที่เด่นชัดนี้ของพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นพยานอันทรงพลังถึงแผนแห่งความสุขของพระบิดาและดึงดูดผู้คนให้ค้นหาและใส่ใจบรรพชนตลอดจนสมาชิกครอบครัวของพวกเขา—ทั้งอดีตและปัจจุบัน วิญญาณของเอลียาห์มีผลต่อทั้งคนในและคนนอกศาสนจักรทั้งยังเป็นเหตุให้ใจหันไปหาบรรพบุรุษ

ถึงเวลาแล้วที่เราต้องใช้ประโยชน์อย่างเต็มที่มากขึ้นจากการผนึกกำลังกันของการเปลี่ยนแปลงอันลึกซึ้งในใจที่ส่วนใหญ่แล้วเกิดขึ้นได้จากพลังทางวิญญาณของพระคัมภีร์มอรมอนกับการหันใจไปหาบรรพบุรุษซึ่งทำสำเร็จผ่านวิญญาณของเอลียาห์ ความปรารถนาจะเชื่อมโยงกับอดีตสามารถเตรียมบุคคลให้พร้อมรับคุณธรรมแห่งพระวจนะของพระผู้เป็นเจ้าและเสริมสร้างศรัทธา การหันใจไปหาบรรพบุรุษช่วยให้บุคคลต้านทานอิทธิพลของปฏิปักษ์และเพิ่มพลังการเปลี่ยนใจเลื่อมใสได้ดีที่สุด

ดูวีดิทัศน์ตอนที่สอง ประธานคณะเผยแผ่กำลังพูดถึงวิธีที่ผู้สอนศาสนาพูดคุยกับผู้คนเกี่ยวกับประวัติครอบครัว

หลักธรรม

ตอนนี้ข้าพเจ้าต้องการระบุหลักธรรมสี่ข้อเกี่ยวกับพลังทางวิญญาณที่เป็นผลจากการเปลี่ยนแปลงใจและการหันใจ

  1. ใจและการเปลี่ยนใจเลื่อมใส การหันไปหาบรรพบุรุษปลุกใจและเตรียมใจรับการเปลี่ยนแปลงอันลึกล้ำ ด้วยเหตุนี้วิญญาณของเอลียาห์จึงช่วยในการเปลี่ยนใจเลื่อมใส

    ดูวีดิทัศน์ตอนที่สาม ประวัติครอบครัวช่วยให้ผู้คนเปลี่ยนใจเลื่อมในพระกิตติคุณอย่างไร

  2. ใจและการรักษาให้คงอยู่ การหันไปหาบรรพบุรุษค้ำจุนและเพิ่มพลังให้ใจที่เคยประสบการเปลี่ยนแปลงอันลึกซึ้ง ด้วยเหตุนี้วิญญาณของเอลียาห์จึงช่วยในการรักษาผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสใหม่ให้คงอยู่

    ดูวีดิทัศน์ตอนที่สี่ ประวัติครอบครัวและงานพระวิหารช่วยผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสใหม่อย่างไร

  3. ใจและการนำกลับสู่ความแข็งขัน การหันไปหาบรรพบุรุษทำให้ใจที่แข็งกระด้างอ่อนโยนลงหลังจากประสบการเปลี่ยนแปลงอันลึกซึ้ง ด้วยเหตุนี้ วิญญาณของเอลียาห์จึงเป็นกุญแจในการนำกลับสู่ความแข็งขัน

    ดูวีดิทัศน์ตอนที่ห้า ประวัติครอบครัวและงานพระวิหารช่วยให้สมาชิกกลับมาแข็งขันในศาสนจักรอย่างไร

  4. ใจและผู้สอนศาสนาที่กล้าหาญ ผู้สอนศาสนาที่เคยปะสบทั้งการเปลี่ยนแปลงอันลึกซึ้งและการหันใจจะเป็นผู้รับใช้ที่กล้าหาญ อุทิศตน และเปลี่ยนใจเลื่อมใสมากขึ้น

    ดูวีดิทัศน์ตอนที่หก ประวัติครอบครัวและงานพระวิหารช่วยเยาวชนเตรียมรับใช้งานเผยแผ่อย่างไร

เนื่องด้วยกองกำลังผู้สอนศาสนาพร้อมมากขึ้นและเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เราจึงไม่สามารถใช้เฉพาะความสำเร็จด้านการเผยแผ่ในอดีตกำหนดวิถีและวิธีการของเราสำหรับอนาคต พระเจ้าทรงดลใจเรื่องเทคโนโลยีและเครื่องมือซึ่งเปิดทางให้เราได้ประโยชน์จากเอกภาพของงานเผยแผ่ศาสนากับงานพระวิหารและประวัติครอบครัวมากกว่าช่วงเวลาก่อนหน้านี้ในสมัยการประทานของเรา และไม่ใช่ความบังเอิญที่นวัตกรรมเหล่านี้ออกมาประจวบกับเวลาที่ต้องการอย่างมากเพื่อทำให้งานเผยแผ่ศาสนารุดหน้าทั่วโลก งานของพระเจ้าเป็นงานสูงส่งงานหนึ่งซึ่งเน้นเรื่องใจที่เปลี่ยนและการหันใจ พันธสัญญาศักดิ์สิทธิ์ และพลังอำนาจของความเป็นเหมือนพระผู้เป็นเจ้าซึ่งแสดงให้ประจักษ์ผ่านศาสนพิธีฐานะปุโรหิต

สรุปและประจักษ์พยาน

พระเจ้าทรงประกาศว่า “เราสามารถทำงานของเราเองได้” (2 นีไฟ 27:21) และ “เราจะเร่งงานของเราเมื่อถึงเวลา” (คพ. 88:73) เราเป็นพยานถึงการเร่งงานของพระองค์

เรามีชีวิตและรับใช้ในสมัยการประทานความสมบูรณ์แห่งเวลา การรับรู้ความสำคัญนิรันดร์ของสมัยการประทานอันโดดเด่นที่เรามีชีวิตอยู่ควรมีอิทธิพลต่อทั้งหมดที่เราทำและพยายามจะเป็น งานแห่งความรอดที่ต้องทำให้สำเร็จในวันเวลาสุดท้ายเป็นงานใหญ่ กว้างไกล จำเป็น และเร่งด่วน เราแต่ละคนควรสำนึกคุณเพียงใดต่อพรและความรับผิดชอบของการมีชีวิตอยู่ในช่วงเวลาพิเศษนี้ของสมัยการประทานสุดท้าย เราควรอ่อนน้อมถ่อมตนเพียงใดที่รู้ว่า “จากเขาผู้ที่ประทานให้มากก็เรียกร้องจากเขามาก” (คพ. 82:3)

การสั่งสอนพระกิตติคุณและการค้นหาคนตายเป็นส่วนเสริมกันของงานอันสำคัญยิ่งงานเดียว—งานแห่งความรักที่มุ่งหมายจะเปลี่ยนใจ หันใจ และทำให้ใจผู้แสวงหาความจริงอย่างซื่อสัตย์บริสุทธิ์ แนวแบ่งเขตปลอมๆ ที่เรามักวางกั้นระหว่างงานเผยแผ่ศาสนากับงานพระวิหารและประวัติครอบครัวกำลังถูกลบ นี่เป็นงานอันสำคัญยิ่งงานเดียวของความรอด6

เราเริ่มเข้าใจบทบาทของงานพระวิหารและประวัติครอบครัวในการช่วยให้ผู้สนใจหรือสมาชิกที่แข็งขันน้อยเข้าใจแผนแห่งความรอดลึกซึ้งขึ้นหรือไม่ เราตระหนักไหมว่าอิทธิพลมากสุดอย่างหนึ่งที่มีต่อการรักษาผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสให้คงอยู่คือวิญญาณของเอลียาห์ เราซาบซึ้งอย่างเต็มที่มากขึ้นหรือไม่ถึงความสำคัญของช่วงเวลาหันใจซึ่งเกิดจากการแบ่งปันเรื่องราวครอบครัวอันเป็นวิธีหาคนให้สอนทั้งโดยสมาชิกและผู้สอนศาสนา เราจะช่วยคนที่เรารับใช้ให้เข้าถึงพลังอำนาจแห่งความเป็นเหมือนพระผู้เป็นเจ้าบ่อยขึ้นได้หรือไม่โดยเข้าร่วมศาสนพิธีต่างๆ อย่างมีค่าควร เช่น ศีลระลึก บัพติศมาและการยืนยันแทนคนตาย

ขอให้ท่านมองเห็นชัดเจน ได้ยินไม่ผิด และจดจำความสำคัญของการรับใช้ในงานของพระเจ้า ของการเปลี่ยนใจ การหันใจ และการทำให้ใจบริสุทธิ์

อ้างอิง

  1. คำสอนของประธานศาสนาจักร:โจเซฟ สมิธ (2007), 356.

  2. ดู คำสอน: โจเซฟ สมิธ, 511.

  3. ดู สั่งสอนกิติคุณของเรา: แนวทางการรับใช้งานเผยแผ่ศาสนา (2004), 1

  4. เอสรา แทฟท์ เบ็นสัน, “A New Witness for Christ,” Ensign, Nov. 1984, 7.

  5. รัสเซลล์ เอ็ม. เนลสัน, “ช่วงเวลาแห่งการเก็บเกี่ยวครั้งใหม่,” เลียโฮนา, พ.ค. 1998, 39.

  6. ดู สเป็นเซอร์ ดับเบิลยู. คิมบัลล์, “The Things of Eternity—Stand We in Jeopardy?” Ensign, Jan. 1977, 3.