สถาบัน
บทที่ 8: การสอนข่าวสารเรื่องการฟื้นฟู (ตอน 2)


8

การสอนข่าวสารเรื่องการฟื้นฟู (ตอน 2)

คำนำ

ข่าวสารเรื่องการฟื้นฟูคือ พระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ ซึ่งรวมถึงหลักคำสอนนิรันดร์ สิทธิอำนาจฐานะปุโรหิต และศาสนพิธีแห่งความรอด ได้รับการฟื้นฟูบนแผ่นดินโลกผ่านศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธ โดยผ่านพระกิตติคุณที่ได้รับการฟื้นฟูของพระเยซูคริสต์—พระกิตติคุณเดียวกับที่เปิดเผยในทุกสมัยการประทานพระกิตติคุณ—บุตรธิดาทุกคนของพระผู้เป็นเจ้าสามารถได้รับชีวิตนิรันดร์ ผู้มุ่งหวังจะเป็นผู้สอนศาสนาควรเข้าใจอย่างชัดเจนถึงแนวคิดเรื่องการละทิ้งความเชื่อและการฟื้นฟูอีกทั้งควรพร้อมอธิบายเรื่องนี้ให้เข้าใจง่ายและเป็นพยานด้วยพลัง

การเตรียมล่วงหน้า

ข้อเสนอแนะสำหรับการสอน

นิมิตของโจเซฟ สมิธเกี่ยวกับพระบิดาบนสวรรค์และพระเยซูคริสต์

ฉาย คลิปวีดิทัศน์ ตอนแรกจากคำพูดของประธานโธมัส เอส. มอนสันเรื่อง “มาเถิด ท่านบุตรพระเจ้า” ซึ่งประธานมอนสันเล่าประสบการณ์การเปลี่ยนใจเลื่อมใสของเอลเมอร์ พอลลาร์ด

ภาพ
ประธานโธมัส เอส. มอนสัน

“ขณะรับใช้เป็นประธานคณะเผยแผ่ในแคนาดาเมื่อ 50 กว่าปีก่อน มีผู้สอนศาสนาหนุ่มคนหนึ่งมาจากชนบทเล็กๆ เขาตื่นเต้นกับขนาดของเมืองโทรอนโต เขาเป็นคนเตี้ยแต่สูงส่งในประจักษ์พยาน หลังจากเขากับคู่ของเขามาถึงได้ไม่นาน เขาแวะที่บ้านของเอลเมอร์ พอลลาร์ด ในออซาวา ออนแทรีโอ แคนาดา ด้วยความรู้สึกเห็นใจที่ชายหนุ่มทั้งสองต้องเดินจากบ้านหนึ่งไปอีกบ้านหนึ่งท่ามกลางพายุหิมะที่บดบังทัศนียภาพ คุณพอลลาร์ดจึงเชิญผู้สอนศาสนาทั้งสองเข้าบ้าน ผู้สอนศาสนานำเสนอข่าวสารของพวกเขา เขาไม่รู้สึกถึงพระวิญญาณ และเมื่อถึงเวลาเขาขอให้ทั้งสองกลับไปแล้วอย่ากลับมาอีก คำพูดสุดท้ายที่เขาพูดกับเอ็ลเดอร์ทั้งสองขณะเดินออกจากเฉลียงหน้าบ้านเป็นคำพูดปรามาสว่า ‘คุณบอกผมไม่ได้หรอกว่าคุณเชื่อจริงๆ ว่าโจเซฟ สมิธเป็นศาสดาพยากรณ์ของพระผู้เป็นเจ้า!

“แล้วเขาก็ปิดประตู” (“มาเถิด ท่านบุตรพระเจ้า,” เลียโฮนา, พ.ค. 2013, 68)

หลังจากดูคลิปแล้ว ให้ถามว่า

  • ถ้าท่านเป็นผู้สอนศาสนาหนึ่งในสองคนนั้น ท่านน่าจะมีความคิดและความรู้สึกอย่างไรขณะออกจากบ้านของคุณพอลลาร์ด

  • ณ จุดนี้ท่านจะทำอะไร

ฉาย คลิปวีดิทัศน์ตอน 2 ซึ่งเป็นเรื่องราวที่เหลือของประธานมอนสัน

ภาพ
ประธานโธมัส เอส. มอนสัน

“เอ็ลเดอร์ทั้งสองเดินมาตามทาง หนุ่มบ้านนอกของเราพูดกับคู่ของเขาว่า ‘เอ็ลเดอร์ เรายังไม่ได้ตอบคุณพอลลาร์ดเลยนะ เขาบอกว่าเราไม่ได้เชื่อว่าโจเซฟ สมิธเป็นศาสดาพยากรณ์ที่แท้จริง เรากลับไปแสดงประจักษ์พยานกับเขาเถอะ’ ตอนแรกผู้สอนศาสนาที่มีประสบการณ์มากกว่าลังเล แต่ในที่สุดก็ยอมไปกับคู่ของเขา ทั้งสองกลัวจับใจเมื่อเข้าใกล้ประตูบ้านที่เพิ่งถูกไล่ออกมา พวกเขาเคาะประตู เผชิญหน้ากับคุณพอลลาร์ด ทนอึดอัดใจอยู่พักหนึ่ง แล้วด้วยอำนาจของพระวิญญาณ ผู้สอนศาสนาที่ด้อยประสบการณ์พูดว่า ‘คุณพอลลาร์ด คุณบอกว่าเราไม่เชื่อจริงๆ ว่าโจเซฟ สมิธเป็นศาสดาพยากรณ์ของพระผู้เป็นเจ้า ผมเป็นพยานต่อคุณว่าโจเซฟเป็นศาสดาพยากรณ์ของพระผู้เป็นเจ้า ท่านแปลพระคัมภีร์มอรมอน ท่านเห็นพระผู้เป็นเจ้าพระบิดาและพระเยซูพระบุตร ผมรู้เรื่องนี้’

“ในเวลาต่อมา คุณพอลลาร์ดซึ่งเดี๋ยวนี้คือบราเดอร์พอลลาร์ดยืนในการประชุมฐานะปุโรหิตประกาศว่า ‘คืนนั้นผมนอนไม่หลับ ผมได้ยินคำพูดดังก้องในหูว่า “โจเซฟ สมิธเป็นศาสดาพยากรณ์ของพระผู้เป็นเจ้า ผมรู้เรื่องนี้ ผมรู้เรื่องนี้ ผมรู้เรื่องนี้” วันต่อมาผมโทรศัพท์ขอให้ผู้สอนศาสนากลับมา ข่าวสารและประจักษ์พยานของพวกเขาผนึกกำลังกันเปลี่ยนแปลงชีวิตผมและชีวิตของครอบครัวผม’” (“มาเถิด ท่านบุตรพระเจ้า,” เลียโฮนา, พ.ค. 2013, 68)

ถามว่า

  • ท่านคิดว่าเหตุใดประจักษ์พยานของผู้สอนศาสนาเกี่ยวกับศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธจึงมีผลลึกซึ้งต่อคุณพอลลาร์ด

ให้นักเรียนเปิดโจเซฟ สมิธ—ประวัติในพระคัมภีร์ไข่มุกอันล้ำค่า ขอให้นักเรียนคนหนึ่งอ่านออกเสียงข้อ 5-6แล้วให้นักเรียนอีกคนหนึ่งอ่านออกเสียงข้อ 7–9 จากนั้นให้ถามนักเรียนว่า

  • ท่านจะสรุปข้อเหล่านี้ให้เป็นหนึ่งหรือสองประโยคว่าอย่างไร

ให้นักเรียนคนหนึ่งอ่านออกเสียง โจเซฟ สมิธ—ประวัติ 1:10 ขณะอ่านข้อเหล่านี้ ขอให้นักเรียนพิจารณาว่าการค้นหาความจริงด้านศาสนาของโจเซฟ สมิธคล้ายกับการค้นหาของคนจำนวนมากที่พวกเขาจะพบในงานเผยแผ่อย่างไร จากนั้นให้ถามว่า

  • อะไรคือคำถามที่เด็กหนุ่มโจเซฟ สมิธขวนขวายหาคำตอบ

  • อะไรทำให้โจเซฟ สมิธตัดสินใจได้ยากว่าจะนับถือนิกายใด

  • คำถามของโจเซฟ สมิธคล้ายกับคำถามที่ผู้คนในทุกวันนี้มีอย่างไร

ให้นักเรียนคนหนึ่งอ่าน โจเซฟ สมิธ—ประวัติ 1:11-13 จากนั้นให้ถามว่า

  • โจเซฟเรียนรู้หลักธรรมอะไรเกี่ยวกับวิธีพบความจริงทางวิญญาณ (ถึงแม้นักเรียนจะใช้คำพูดต่างกัน แต่พวกเขาควรกล่าวหลักธรรมนี้: เราสามารถเรียนรู้ความจริงทางวิญญาณจากพระผู้เป็นเจ้าถ้าเราสวดอ้อนวอนทูลขอคำตอบและเต็มใจปฏิบัติตาม)

  • ท่านจะใช้แบบอย่างของศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธช่วยคนที่ปรารถนาจะพบความจริงทางวิญญาณได้อย่างไร

ให้นักเรียนอ่าน โจเซฟ สมิธ—ประวัติ 1:14-19ในใจ ขณะพวกเขาอ่าน ให้พวกเขานึกถึงผลอันยั่งยืนที่นิมิตแรกมีต่อชาวโลกและต่อชีวิตพวกเขา หลังจากพวกเขาใช้เวลาสองสามนาทีเพื่ออ่านให้จบ ให้ถามคำถามดังนี้

  • เหตุผลอะไรบ้างที่ปฏิปักษ์โจมตีโจเซฟ สมิธก่อนพระบิดาบนสวรรค์และพระบุตรของพระองค์พระเยซูคริสต์จะทรงปรากฏ (ปฏิปักษ์ต้องการขัดขวางไม่ให้โจเซฟเรียนรู้ความจริงทางวิญญาณและด้วยเหตุนี้จึงขัดขวางไม่ให้เกิดการฟื้นฟูในที่สุด)

  • นิมิตแรกเริ่มเอาชนะผลของการละทิ้งความเชื่อครั้งใหญ่อย่างไร (เน้นความจริงนี้กับนักเรียน: โดยผ่านนิมิตแรก สวรรค์เปิดอีกครั้งและการฟื้นฟูเริ่มต้น

  • เราสามารถเรียนรู้ความจริงเกี่ยวกับหลักคำสอนอะไรบ้างจากนิมิตแรก (พระบิดาและพระบุตรทรงเป็นพระสัตภาวะแยกกัน สวรรค์เปิด เราจะได้รับการเปิดเผย และอื่นๆ)

  • ท่านคิดว่าเหตุใด สั่งสอนกิตติคุณของเรา จึงแนะนำให้ผู้สอนศาสนาสอนเรื่องนิมิตแรกในช่วงการไปหาผู้สนใจครั้งแรก

  • การเรียนรู้เรื่องการปรากฏของพระบิดาบนสวรรค์และพระบุตรของพระองค์พระเยซูคริสต์จะช่วยผู้สนใจในการค้นหาความจริงทางวิญญาณได้อย่างไร

เพื่อช่วยให้นักเรียนเข้าใจความสำคัญของนิมิตแรกลึกซึ้งขึ้น ให้แจกเอกสารชื่อ “รากฐานอันอัศจรรย์แห่งศรัทธาของเรา” ซึ่งมีคำพูดส่วนหนึ่งของประธานกอร์ดอน บี. ฮิงค์ลีย์

ภาพ
รากฐาน เอกสารแจก

ให้นักเรียนคนหนึ่งอ่านออกเสียงสามบรรทัดแรก จากนั้นให้ถามว่า

  • เหตุใด “ความเข้มแข็งทั้งหมด” ของศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายจึงขึ้นอยู่กับความถูกต้องแท้จริงของนิมิตแรก (นักเรียนควรเข้าใจว่าถ้าเรื่องราวของโจเซฟ สมิธเป็นจริง เมื่อนั้นข้ออ้างที่ว่าศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายเป็นศาสนจักรเดียวบนแผ่นดินโลกที่ได้รับความเห็นชอบและสิทธิอำนาจครบถ้วนของพระบิดาบนสวรรค์และพระเยซูคริสต์ย่อมเป็นจริงเช่นกัน)

  • ตามที่ประธานฮิงค์ลีย์กล่าว งานของโจเซฟ สมิธแตกต่างในด้านใดจากงานของผู้นำศาสนาคนก่อนๆ ผู้ปฏิรูปแนวทางปฏิบัติในการนมัสการและหลักคำสอนต่างๆ

ให้เวลานักเรียนสองสามนาทีอ่านเอกสารที่เหลือในใจ ขณะพวกเขาอ่าน จงกระตุ้นให้พวกเขาทำเครื่องหมายคำ วลี หรือข้อความที่สะดุดตาพวกเขา หลังจากนักเรียนอ่านจบแล้ว ให้เชิญสองสามคนแบ่งปันสิ่งที่ทำเครื่องหมายไว้และอธิบายว่าเหตุใดจึงสำคัญต่อพวกเขา ท่านอาจจะถามคำถามดังนี้

  • เหตุใดบางคนจึงยอมรับความจริงเรื่องนิมิตของโจเซฟ สมิธได้ยาก

  • เมื่อพิจารณาหลักธรรมที่ศึกษาในบทก่อน นิมิตแรกสอดคล้องกับรูปแบบของสมัยการประทาน การละทิ้งความเชื่อ และการฟื้นฟูอย่างไร (หลังจากช่วงเวลาของการละทิ้งความเชื่อ นิมิตแรกเป็นการเริ่มการฟื้นฟูและสมัยการประทานพระกิตติคุณสมัยใหม่ เฉกเช่นในสมัยการประทานก่อนหน้านี้ พระผู้เป็นเจ้าทรงเรียกศาสดาพยากรณ์ให้ฟื้นฟูความจริงพระกิตติคุณและสิทธิอำนาจฐานะปุโรหิต โจเซฟ สมิธได้รับเรียกเป็นศาสดาพยากรณ์ “เมื่อเวลาครบสมบูรณ์แล้ว [สมัยการประทานความสมบูรณ์แห่งเวลา]” [เอเฟซัส 1:10] นี่หมายความว่าพระกิตติคุณจะไม่สูญหายผ่านการละทิ้งความเชื่อแต่จะยังอยู่บนแผ่นดินโลกจนถึงการเสด็จมาครั้งที่สองของพระคริสต์)

  • การช่วยให้ผู้สนใจเข้าใจรูปแบบการละทิ้งความเชื่อดังกล่าวนี้ในพระคัมภีร์และการฟื้นฟูจะช่วยให้เขายอมรับความจริงของนิมิตแรกและการฟื้นฟูพระกิตติคุณในยุคปัจจุบันได้อย่างไร

เชื้อเชิญให้ชั้นเรียนเปิด หน้า 37 ใน สั่งสอนกิตติคุณของเรา และอ่านสามย่อหน้าสุดท้ายในใจโดยมองหาสิ่งที่ได้รับการฟื้นฟูหรือได้รับการสถาปนาอีกครั้งผ่านการฟื้นฟู จากนั้นขอให้นักเรียนแบ่งปันสิ่งที่พบ ท่านอาจต้องการให้สมาชิกชั้นเรียนกล่าวถึง (1) การฟื้นฟูสิทธิอำนาจ กุญแจ และศาสนพิธีฐานะปุโรหิต (2) การสถาปนาศาสนจักรของพระคริสต์อีกครั้ง (3) การเรียกอัครสาวกสิบสอง (4) การเริ่มสมัยการประทานพระกิตติคุณสมัยใหม่ และ (5) การเรียกศาสดาพยากรณ์ที่มีชีวิต

เพื่อช่วยให้นักเรียนรู้สึกถึงความจริงและความสำคัญของนิมิตแรกและการฟื้นฟู ขอให้ชั้นเรียนตอบคำถามดังต่อไปนี้

  • ท่านได้รับประจักษ์พยานยืนยันความจริงและความสำคัญของนิมิตแรกอย่างไร

  • ประจักษ์พยานของท่านเกี่ยวกับนิมิตแรกมีอิทธิพลต่อความเชื่อของท่านในการฟื้นฟูพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์อย่างไร

ถามว่านักเรียนคนใดต้องการแบ่งปันประจักษ์พยานเกี่ยวกับนิมิตแรกหรือการฟื้นฟูบ้าง

แบ่งชั้นเรียนออกเป็นคู่ๆ จัดนักเรียนเป็นกลุ่มเล็กๆ กลุ่มละสี่คน (แต่ละกลุ่มมีสองคู่) ให้เวลานักเรียนพอสมควรเพื่อเตรียมสอนบทเรียนสั้นๆ สามถึงสี่นาทีเกี่ยวกับนิมิตแรกและการฟื้นฟู อธิบายว่าการสอนของพวกเขาควรเรียบง่ายและชัดเจน ให้นักเรียนทบทวนเนื้อหาใน สั่งสอนกิตติคุณของเรา หน้า 36-37หรือ หน้า 11 ในจุลสารผู้สอนศาสนาชื่อ การฟื้นฟูพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ กระตุ้นให้นักเรียนใช้คำพูดของตนอธิบายประสบการณ์ของโจเซฟ สมิธ (ยกเว้นเมื่อพวกเขาอ้างอิงหรืออ่านจาก โจเซฟ สมิธ—ประวัติ 1:16-17) เตือนให้พวกเขาสรุปด้วยประจักษ์พยานของตน มอบหมายให้คู่หนึ่งในแต่ละกลุ่มสอนอีกคู่หนึ่ง

เมื่อนักเรียนสอนเสร็จแล้ว ให้แต่ละกลุ่มสนทนาในกลุ่มว่าผู้สอนทำอะไรได้ดีระหว่างการสอนและผู้สอนจะทำให้ดีขึ้นได้อย่างไร

จากนั้นสลับบทบาทและให้อีกคู่หนึ่งสอน ต้องมีเวลาสำหรับคำติชม หลังจากสอนครบทุกคู่แล้ว ให้เชิญสมาชิกชั้นเรียนแบ่งปันข้อคิดจากประสบการณ์ของพวกเขากับคนที่เหลือในชั้นเรียน

อาจเป็นประโยชน์ถ้านักเรียนของท่านรู้วิธีตอบคำถามยากๆ เกี่ยวกับเรื่องราวต่างๆ ของนิมิตแรกที่โจเซฟ สมิธเขียน อธิบายว่าท่านศาสดาพยากรณ์เขียนเรื่องเราวเกี่ยวกับนิมิตแรกในโจเซฟ สมิธ—ประวัติเมื่อปี 1838 อันเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์อย่างเป็นทางการของศาสนจักรที่จัดพิมพ์ให้ชาวโลกได้อ่าน เพราะโจเซฟ สมิธบันทึกประสบการณ์ของท่านมากกว่าหนึ่งครั้ง จึงมีเรื่องราวเกี่ยวกับนิมิตแรกอยู่ที่อื่นด้วย อธิบายให้นักเรียนฟังว่าแต่ละเรื่องที่บันทึกไว้นั้นแตกต่างกันตรงที่การเน้นและรายละเอียด นักวิจารณ์บางคนโต้แย้งอย่างไม่มีเหตุผลว่าความแตกต่างของเรื่องเล่าซ้ำเป็นหลักฐานยืนยันว่านั่นเป็นเรื่องแต่ง อย่างไรก็ดี เมื่อคนๆ หนึ่งเล่าประสบการณ์หนึ่งซ้ำๆ ในสภาวะแวดล้อมหลากหลายกับผู้ฟังต่างกลุ่มตลอดหลายปี แต่ละครั้งที่เล่ามักจะเน้นประสบการณ์อีกแง่หนึ่งและมีรายละเอียดพิเศษบางอย่าง ตัวอย่างเช่น ความแตกต่างที่คล้ายกับของนิมิตแรกมีอยู่ในเรื่องราวการเห็นนิมิตของเปาโลบนถนนไปเอมมาอูส (ดู กิจการของอัครทูต 9:3-9; 22:6-11; 26:12-18)

การเชื้อเชิญให้ผู้อื่นอ่านพระคัมภีร์มอรมอน

เริ่มสร้างความเชื่อมโยงของบทเรียนส่วนนี้โดยให้นักเรียนคนหนึ่งอ่านออกเสียงสองย่อหน้าสุดท้ายในคำนำของพระคัมภีร์มอรมอน เชื้อเชิญให้นักเรียนมองหาคำสัญญาซึ่งให้แก่คนที่เลือกอ่านพระคัมภีร์มอรมอน ไตร่ตรอง และทูลถามพระผู้เป็นเจ้าว่าจริงหรือไม่ เชื้อเชิญให้นักเรียนแบ่งปันสิ่งที่พบ

ให้นักเรียนเปิดหน้า 38 ใน สั่งสอนกิตติคุณของเรา และให้นักเรียนคนหนึ่งอ่านออกเสียงย่อหน้าแรกในหัวข้อ “พระคัมภีร์มอรมอน: พยานหลักฐานอีกเล่มหนึ่งของพระเยซูคริสต์” ช่วยให้นักเรียนค้นพบหลักธรรมที่สอนในย่อหน้านี้โดยถามว่า

  • เหตุใดพระคัมภีร์มอรมอนจึงเป็นเครื่องมือที่ทรงอานุภาพและมีคุณค่าสำหรับผู้สอนศาสนา (ช่วยให้นักเรียนเห็นว่าพระคัมภีร์มอรมอนประกอบด้วยพระกิตติคุณอันเป็นนิจ เป็นหลักฐานยืนยันว่าโจเซฟ สมิธเป็นศาสดาพยากรณ์ของพระผู้เป็นเจ้า และเป็นพยานหลักฐานอีกเล่มหนึ่งของพระเยซูคริสต์ (ดู คพ. 20:8-11)

เพื่อช่วยให้นักเรียนเข้าใจหลักคำสอนนี้ดีขึ้น ให้ถามคำถามต่อไปนี้สักสองสามข้อ

  • เหตุใดพระคัมภีร์มอรมอนจึงเป็นหลักฐานยืนยันว่าโจเซฟ สมิธเป็นศาสดาพยากรณ์ (ถ้ามีคนสรุปว่าพระคัมภีร์มอรมอนเป็นความจริง พวกเขาต้องสรุปด้วยว่าโจเซฟ สมิธกำลังทำตามการนำทางจากพระเจ้าให้ค้นพบและแปลพระคัมภีร์มอรมอน และเป็นศาสดาพยากรณ์ของพระผู้เป็นเจ้า)

  • ผู้สนใจได้รับพรอย่างไรเมื่อพวกเขาอ่านพระคัมภีร์มอรมอนและได้รับพยานว่าเป็นความจริง (พวกเขาจะรู้ว่าโจเซฟ สมิธเป็นศาสดาพยากรณ์ พวกเขาจะพร้อมยอมรับการฟื้นฟูพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์และได้รับศาสนพิธีแห่งความรอด)

ให้นักเรียนคนหนึ่งอ่านออกเสียง โมโรไน 10:3-5 ถามดังนี้

  • คนๆ นั้นจะต้องทำตามขั้นตอนใดเพื่อให้ได้รับพยานว่าพระคัมภีร์มอรมอนเป็นความจริง (ถึงแม้นักเรียนจะใช้คำพูดต่างกัน แต่พวกเขาควรกล่าวหลักธรรมนี้: เมื่อเราอ่าน ไตร่ตรอง และสวดอ้อนวอนด้วยเจตนาแท้จริงเกี่ยวกับพระคัมภีร์มอรมอน พระผู้เป็นเจ้าจะทรงเปิดเผยความจริงของพระคัมภีร์เล่มนี้ต่อเราโดยอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์)

  • “ทูลถามด้วยเจตนาแท้จริง” (โมโรไน 10:4) หมายความว่าอย่างไร (ปรารถนาจะได้รับคำตอบอย่างจริงใจผ่านพระวิญญาณบริสุทธิ์และตั้งใจว่าจะทำตามคำตอบนั้น)

เพื่ออธิบายว่าเหตุใดจึงสำคัญที่ผู้สนใจต้องอ่านพระคัมภีร์มอรมอนและสวดอ้อนวอนด้วยเจตนาแท้จริงเกี่ยวกับความจริงในนั้น ให้ฉายวีดิทัศน์เรื่อง “การเชื้อเชิญให้อ่านพระคัมภีร์มอรมอน: จิงซ์” (8:06)

หยุดวีดิทัศน์ที่ 0:55 ขอให้ชั้นเรียนไตร่ตรองสักครู่ว่าพวกเขาจะมีความคิดและความรู้สึกอย่างไรถ้าพวกเขาเป็นผู้สอนศาสนาคนหนึ่งที่สอนจิงซ์ ขอให้นักเรียนสองสามคนแบ่งปันสิ่งที่พวกเขาจะกล่าวกับเธอ

ขณะฉายวีดิทัศน์ส่วนที่เหลือ ท่านอาจจะให้นักเรียนครึ่งชั้นดูว่าเหตุใดผู้สนใจต้องอ่านและสวดอ้อนวอนเกี่ยวกับพระคัมภีร์มอรมอนจึงจะได้รับพยานยืนยันความจริงในนั้น ให้อีกครึ่งชั้นดูว่าผู้สอนศาสนาพูดอะไรที่ช่วยให้จิงซ์รู้สึกอยากอ่านพระคัมภีร์มอรมอน หลังจากฉายวีดิทัศน์ ให้สนทนากับนักเรียนดังนี้

  • ผู้สอนศาสนาพูดและทำอะไรเพื่อกระตุ้นให้จิงซ์อยากอ่านและสวดอ้อนวอนเกี่ยวกับพระคัมภีร์มอรมอน

  • ผู้สอนศาสนาพูดหรือทำอะไรที่อัญเชิญพระวิญญาณบริสุทธิ์ให้เป็นพยานยืนยันถ้อยคำของพวกเขา

  • เหตุใดจึงสำคัญอย่างยิ่งที่ผู้สนใจจะอ่านและสวดอ้อนวอนเกี่ยวกับความจริงของพระคัมภีร์มอรมอน (นักเรียนพึงเข้าใจว่าผู้สอนศาสนาแค่แจกพระคัมภีร์มอรมอนเท่านั้นไม่พอ บทบาทของผู้สอนศาสนาคือช่วยให้ผู้อื่นรู้สึกถึงความสำคัญของการอ่านและสวดอ้อนวอนเกี่ยวกับพระคัมภีร์มอรมอนทั้งนี้เพื่อพวกเขาจะทราบว่าโจเซฟ สมิธเป็นศาสดาพยากรณ์ของพระผู้เป็นเจ้าและพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ได้รับการฟื้นฟู)

อธิบายให้นักเรียนฟังว่าตอนนี้พวกเขาจะมีโอกาสแสดงบทบาทสมมติของการเชื้อเชิญคนบางคนให้อ่านพระคัมภีร์มอรมอน สาธิตการแนะนำพระคัมภีร์มอรมอน การเชื้อเชิญให้อ่านและสวดอ้อนวอนเพื่อให้รู้ว่าข่าวสารในนั้นเป็นความจริง จากนั้นให้แบ่งชั้นเรียนออกเป็นคู่ๆ หรืออาจจะใช้หนึ่งในโครงแบบการสอนที่เสนอแนะอื่นๆ ในหัวข้อ “กิจกรรมการสอน” ในบทนำของคู่มือเล่มนี้

ให้เวลานักเรียนเตรียมพอสมควรเพื่อเชื้อเชิญให้ผู้สนใจอ่านพระคัมภีร์มอรมอนและสวดอ้อนวอนให้รู้ว่าเป็นความจริงหรือไม่ เชื้อเชิญให้นักเรียนอ่านในกรอบสี่เหลี่ยมชื่อว่า “ใช้พระคัมภีร์มอรมอนยืนยันความจริงของการฟื้นฟู” อยู่บนสุดหน้า 39 ของ สั่งสอนกิตติคุณของเรา นักเรียนต้องใช้ หน้า 15 ของจุลสารผู้สอนศาสนาชื่อ การฟื้นฟูพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ด้วย พวกเขาควรจบกิจกรรมฝึกปฏิบัติโดยแบ่งปันประจักษ์พยานเกี่ยวกับพระคัมภีร์มอรมอนและเชื้อเชิญให้อ่านและสวดอ้อนวอนเกี่ยวกับความจริงในนั้น

หลังจากนักเรียนทุกคนมีโอกาสฝึกแบ่งปันประจักษ์พยานเกี่ยวกับพระคัมภีร์มอรมอน ฝึกเชื้อเชิญให้อ่านและสวดอ้อนวอนแล้ว ขอให้สมาชิกชั้นเรียนแบ่งปันข้อคิดจากประสบการณ์ของพวกเขากับนักเรียนที่เหลือ

ขณะที่ท่านสรุปบทเรียน เตือนนักเรียนให้นึกถึงพรของการอ่านพระคัมภีร์มอรมอนและการเสริมสร้างประจักษ์พยานส่วนตัวก่อนเริ่มรับใช้เป็นผู้สอนศาสนาเต็มเวลา ถามว่ามีใครต้องการแบ่งปันประจักษ์พยานเกี่ยวกับพระคัมภีร์มอรมอนบ้าง แบ่งปันประจักษ์พยานของท่านเกี่ยวกับพระคัมภีร์มอรมอน และทำให้นักเรียนมั่นใจว่าพวกเขาจะพบปีติเมื่อพวกเขาเชื้อเชิญให้ผู้อื่นอ่านพยานอันทรงพลังนี้ของพระเยซูคริสต์

การเชื้อเชิญให้ปฏิบัติ

กระตุ้นให้นักเรียนประยุกต์ใช้สิ่งที่ได้เรียนรู้ในบทนี้ระหว่างสัปดาห์ที่จะมาถึง พวกเขาอาจจะทำดังนี้

  • สวดอ้อนวอนขอให้มีประจักษ์พยานเข้มแข็งขึ้นเกี่ยวกับนิมิตแรกและความจริงของพระคัมภีร์มอรมอน

  • อ่านบทความเรื่อง First Vision Accounts ในหัวข้อ Gospel Topics ของ lds.org/topics

  • ท่องจำเรื่องราวของนิมิตแรกดังที่บันทึกไว้ใน โจเซฟ สมิธ—ประวัติ 1:16-17 แบ่งปันเรื่องราวกับเพื่อนหรือสมาชิกครอบครัวและแสดงประจักษ์พยานของท่านเกี่ยวกับความสำคัญของเหตุการณ์นั้น

  • สวดอ้อนวอนขอให้ช่วยพบคนที่ท่านจะให้พระคัมภีร์มอรมอนแก่เขา ทำตามการกระตุ้นเตือนทางวิญญาณที่ท่านได้รับ