คำสอนของประธานศาสนจักร
บทที่ 5: เดินในความสว่างแห่งประจักษ์พยาน


บทที่ 5

เดินในความสว่างแห่งประจักษ์พยาน

ความสว่างแห่งประจักษ์พยานของเราจะพัฒนาไปเป็น “ความเจิดจ้าของความแน่นอน” ใต้อย่างไร?

บทนำ

ฮาโรลต์ บี. ลี เป็นพยานพิเศษถึงพระผู้ช่วยให้รอดพระเยซูคริสต์มานานกว่า 32 ปี ท่านเป็นพยานว่า ‘‘ด้วยสำนึกในความบริสุทธิ์ใจทั้งมวล และด้วยสุดจิตวิญญาณ ของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าแสดงประจักษ์พยานต่อท่านว่า ข้าพเจ้าทราบว่าพระเยซูทรง พระชนม์ พระองค์ทรงเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของโลก”1

ท่านกล่าวถึงวิธีที่จะมีประจักษ์พยาน ดังนี้

“ครั้งหนึ่ง บาทหลวงหนุ่มนิกายแคธอลิคกับผู้สอนศาสนาสเตคจากโคโลราโดมา เยี่ยมข้าพเจ้า ข้าพเจ้าถามเขาว่ามาทำไม เขาตอบว่า ‘ผมตั้งใจมาพบท่านครับ’

“‘มีอะไรหรือ’ ข้าพเจ้าถาม

‘“คืออย่างนี้ครับ’ เขาตอบ ‘ผมด้นหาแนวคิดบางอย่างมานานแต่ยังหาไม่พบ แต่ผมคิดว่าตอนนี้ผมพบแล้วในชุมชนมอรมอน’

‘‘สิงนั้นนาไปสู่การสนทนาราวครึ่งชั่วโมง ข้าพเจ้าบอกเขาว่า ‘หลวงพ่อครับ เมื่อ ใด ที่ใจหลวงพ่อเริ่มบอกบางสิงที่ความคิดของหลวงพ่อไม่รู้ เมื่อนั้นหลวงพ่อกำลัง ได้รับพระวิญญาณของพระเจ้า’

“เขายิ้มพลางกล่าวว่า ‘ผมคิดว่าสิงนั้นเกิดขึ้นกับผมแล้ว’

‘“ล้าอย่างนั้น อย่ารอนานเกินไปนะครับ’ ข้าพเจ้าพูดกับเขา

“สองสามสัปดาห์ต่อมา ข้าพเจ้าได้รับโทรศัพท์จากเขา เขาพูดว่า ‘วันเสาร์หน้า ผมจะรับบัพติศมาเป็นสมาชิกของศาสนาจักร เพราะใจผมบอกบางสิงที่ความคิดของ ผมไม่รู้’

“เขาเปลี่ยนใจเลื่อมใสแล้ว เขาเห็นสิงที่เขาน่าจะเห็น เขาได้ยินสิงที่เขาน่าจะได้ยิน เขาเข้าใจสิงที่เขาน่าจะเข้าใจ และเขาก็ได้ทำบางสิง เขามีประจักษ์พยาน”2

คำสอนของฮาโรลด์ บี. ลี

ประจักษ์พยานคืออะไร?

นิยามที่เรียบง่ายของประจักษ์พยาน คือ การเป็ดเผยจากสวรรค์สู่มนุษย์ที่มี ศรัทธา ผู้เขียนสดุดีสะท้อนความคิดเดียวกันนี้ว่า “… กฎเกณฑ์ (ประจักษ์พยาน) ของพระเจ้านั้นแน่นอน …” (สดุดี 19:7) อัครสาวกเปาโลประกาศว่า “… ไม่มีผู้ได อาจพูด [หรือรู้] ว่า พระเยซูเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า นอกจากผู้ที่พูดโดยพระวิญญาณ บริสุทธึ้” (1 โครีนธ์ 12:3) ศาสดาสอนเพิ่มเติมว่าหากท่านจะ “ทูลถามด้วยใจจริง ด้วยเจตนาแท้จริง โดยมีศรัทธาในพระคริสต์ พระองค์จะทรงแสดงความจริงของ เรื่องให้ประจักษ์แก่ท่านโดยอำนาจของพระวิญญาณบริสุทธึ้ และโดยอำนาจของพระ วิญญาณบริสุทธี้ท่านจะรู้ความจริงของทุกเรื่อง” (โมโรไน 10:4-5) …

พระผู้เป็นเจ้าทรงพระชนม์! พระเยซูคือพระผู้ช่วยให้รอดของโลก! พระกิตติคุณ ของพระเยซูคริสต์ตามที่มีอยู่อย่างครบถ้วนในพระคัมภีร์สมัยโบราณและป้จจุบันเป็น ความจริง! ข้าพเจ้ารู้เรื่องเหล่านี้เพราะพระวิญญาณทรงเป็นพยานต่อวิญญาณข้าพเจ้า3

ข้าพเจ้าจะเล่าประสบการณ์หนึ่งให้ท่านฟังเกี่ยวกับผู้บริหารธุรกิจคนหนึ่งของธา ภรรยากับลูก ๆ เป็นสมาชิก แต่ตัวเขาไม่ได้เป็น … เขาพูดกับข้าพเจ้าว่า “ผมเข้าร่วม ศาสนาจักรไม่ได้จนกว่าผมจะมีประจักษ์พยาน” ผมบอกเขาว่า “คราวหน้าเมื่อคุณมา ที่ซอลท้เลค ให้แวะมาหาผมหน่อย” เราคุยกันหลังจากการประชุมธุรกิจในอีกไม่กี่ สัปดาห์ต่อมา ข้าพเจ้าพูดกับเขาว่า “ผมไม่ทราบว่าคุณรูไหมว่าคุณมีประจักษ์พยาน หรือไม่มี คุณรู่ไหมว่าประจักษ์พยานคืออะไร” ด้วยเหตุนี้เขาจึงอยากรู้ว่าประจักษ์ พยานคืออะไร ข้าพเจ้าตอบเขาว่า “เมื่อถึงเวลาที่ใจคุณบอกบางสิงที่ความคิดของคุณ ไม่รู้ นั้นแหละ พระวิญญาณของพระเจ้ากำลังบอกคุณ” ข้าพเจ้าพูดต่อไปว่า “เท่าที่ ผมรู้จักคุณ มีหลายสิงที่คุณรู้อยู่แก่ใจว่าเป็นความจริง ไม่มีเทพองค์ใดมาตบไหล่คุณ และบอกคุณว่านึ่เป็นความจริง” พระวิญญาณของพระเจ้าเป็นตังที่พระอาจารย์ ตรัสว่า “ลมใคร่จะพัดไปข้างไหนก็พัดไปข้างนั้น และท่านได้ยินเสียงลมนั้น แต่ท่าน ไม่รู้ว่าลมมาจากไหน และไปที่ไหน คนที่บังเกิดจากพระวิญญาณก็เป็นอย่างนั้นทุก คน” (ยอห์น 3:8) ข้าพเจ้าจึงพูดกับเพื่อนนักธุรกิจว่า “จำไว้ว่าประจักษ์พยานของ คุณจะไม่มาในลักษณะที่ตื่นเต้นเร้าใจ แต่เมื่อประจักษ์พยานมาถึง นั้าตาแห่งความ ยินดีจะเปียกชุ่มหมอนของคุณในตอนกลางคืน เพื่อนรัก คุณจะรู้ว่าเมื่อใดที่ประจักษ์ พยานมาถึง”4

ข้าพเจ้าแสดงประจักษ์พยานต่อท่านว่า ข้าพเจ้าทราบว่าพระผู้ช่วยให้รอดทรงพระ ชนม์พยานอันทรงพลังที่สุดที่บอกท่านว่าพระองค์ทรงพระชนม์จะมาถึงเมื่ออำนาจของ พระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นพยานต่อจึตวิญญาณของท่านว่าพระองค์ทรงพระชนม์ พยานของพระวิญญาณทรงพลังยิ่งกว่าการได้เห็น ทรงพลังยิ่งกว่าการได้เดินและพูด กับพระองค์ ซึ่งโดยการนี้ท่านจะถูกตัดสินหากท่านหันมาต่อด้านพระองค์ แต่เป็น ความรับผิดชอบของทุกท่าน เซ่นเดียวกับของข้าพเจ้า ที่จะมีประจักษ์พยานนี้น มีผู้ถามเราอยู่บ่อยๆ ว่า เราจะรับการเปิดเผยอย่างไร? พระเจ้าตรัสไวํในการเปิดเผย ต่อผู้น่าในยุคแรกว่า “เราจะบอกเจ้าในความคิดของเจ้าและในใจของเจ้าโดยพระ วิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งจะสถิตอยู่ในใจของเจ้า นี่คือการเปิดเผยซึ่งโมเสสน่าลูกหลาน อิสราเอลข้ามทะเลแดง” [ค.พ. 8:2–3] เมื่อพระวิญญาณองค์นั้นเป็นพยานต่อวิญญาณของเรา นั้นคือการเปิดเผยที่มาจากพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพ5

[เมื่อลาซารัสเสียชีวิต พระผู้ช่วยให้รอดทรงประกาศต่อมารธาว่า] “เราเป็นเหตุให้ คนทั้งปวงเป็นขึ้นและมีชีวิต ผู้ที่วางใจในเรานั้น ถึงแม้ว่าเขาตายแล้วก็ยังจะมีชีวิตอิก และทุกคนที่มีชีวิดและวางใจในเราจะไม่ตายเลย” ครั้นแล้ว พระองค์ทอดพระเนตร มารธาพลางตรัสว่า “เจ้าเชื่ออย่างนี่ใหม” และจากส่วนลึกของสตรีที่ถ่อมใจผู้นี้ มีบาง สิงเถิดขึ้นและเธอตอบด้วยความนั้นใจเซ่นเดียวกับเปโตรว่า “เชื่อพระองค์เจ้าข้า ข้า พระองค์เชื่อว่าพระองค์ทรงเป็นพระครีสค์ พระบุตรของพระเจ้าที่เสด็จมาในโลก” [ยอหัน 11:25–27]

เธอได้ประจักษ์พยานนั้นมาจากไหน? ไม่ใช่จากการอ่านหนังสือ ไม่ใช่จากการดีก-บาศาสนศาสตร์ วิทยาศาสตร์ หรือปรัชญา เธอมีพยานในใจเช่นเดียวกับที่เปโตรมี หากพระอาจารย์ทรงตอบ พระองค์จะตรัสว่า “เจ้าเป็นสุขแล้วมารธา เพราะว่ามนุษย์ มีได้แจ้งความนี้แก่เจ้า แต่พระบิดาผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงแจ้งให้ทราบ” … สิงลํ้าค่า ที่สุดในบรรดาสิงทั้งปวงที่ท่านจะมีได้คือ มีพยานในใจท่านว่าเรื่องเหล่านี้จรีง6

มีไม่กี่คนที่เห็นพระผู้ช่วยให้รอดหน้าต่อหน้าในชีวิตมตะ แต่เราทุกคนที่ได้รับพร ด้วยของประทานแห่งพระวิญาณบริสุทธหลังจากบัพดีศมาจะมีความเชื่อนั้นโดยสม บูรณ์ถึงการดำรงอยู่ของพระองค์ราวกับเราเคยเห็น แท้จริงแล้ว หากเรามีศรัทธาใน การดำรงอยู่จริงของพระองค์แม้จะไม่ได้แลเห็น พระอาจารย์ตรัสเป็นนัยไวิในพระ-ดำรัสต่อโธมัสว่าผู้ที่ “ไม่เห็น … แต่เชื่อ” (ยอหัน 20:29) จะได้รับพรที่ใหญ่ยิ่งขึ้น เพราะ “เราดำเนินโดยความเชื่อ (ศรัทธา) มีใช่ตามที่ตามองเห็น” (2 โครินธ์ 5:7) แม้จะไม่เห็น แต่เชื่อ เราก็จะชื่นซมด้วยความปีติยินดีอันไม่อาจจะเอ่ยได้เมื่อได้รับผล จากศรัทธา แม้ความรอดของจิตวิญญาณของเรา (ดู 1 เปโตร 1:8–9)7

เราจะสรุปหรือพูดได้โหมว่า บุคคลใดก็ตามที่ได้รับประจักษ์พยานอันแท้จริง บุคคลนั้นได้รับการเปิดเผยจากพระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงพระชนม์ มีฉะนั้นเขาคงไม่มีประ จักษ์พยาน? ใครก็ตามที่มีประจักษ์พยาน คนนั้นได้รับของประทานแห่งการพยากรณ์ ได้รับวิญญาณแห่งการเปีดเผย เขามีของประทานซึ่งโดยสิงนั้นทำให้ศาสดาสามารถ พูดเรื่องต่าง ๆ อันเป็นส่วนหนึ่งของความรับผิดชอบของพวกท่านได้ …

พระเจ้าทรงช่วยให้เราทุกคนได้รับประจักษ์พยานนั้น ซึ่งเป็นสิงสำคัญที่สุดที่เรา ต้องเตรียมรับรู้ สุดท้าย เมื่อเราได้รับความคิดหนึ่งจากสวรรค์ว่าโจเซฟ สมิธเป็น ศาสดา และพระกิตติคุณเป็นความจริง ความยุ่งยากภายนอกทั้งหมดก็จะมลายหาย ไปเหมือนนั้าด้างแข็งก่อนตะวันรุ่ง8

เราจะเตรียมตัวรับประจักษ์พยานอย่างไร?

มืผู้อ้างว่า [พระผู้ช่วยให้รอด] ตรัสด้งนี้ “… แผ่นดินของพระเจ้าอยู่ในท่านทั้ง หลาย” (ดู ลูกา 17:21 ฉบับภาษาอังกฤษ) การแปลที่ถูกต้องกว่านี้น่าจะอ่านได้ ความว่า “แผ่นดินของพระเจ้าอยู่ท่ามกลางท่านทั้งหลาย” (หมายเหตุ: ไบเบิลฉบับ ภาษาไทยแปลได้ลูกต้อง) แต่เมื่อข้าพเจ้าคิดถึงข้อความ “แผ่นดินของพระเจ้าอยู่ ในท่านทั้งหลาย” ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงประสบการณ์ของเรากับนักคิกษามหาวิทยาลัย บรีคัมยัง … ในไลออนเฮ้าส์ ที่นั่น เราขอให้นักคิกษาสิบหกคน ซึ่งเป็นตัวแทนของสิบ หกประเทศ ยืนขึ้นบอกว่าเขารู้จักและยอมรับพระกิตติคุณได้อย่างไร … พร้อมทั้ง แสดงประจักษ์พยานของเขา นับเป็นคาคืนที่น่าสนใจที่สุด เราได้ยินเยาวชนชายหญิง จากเม็กซิโก อาร์เจนตินา บราซิล และประเทศแถบสแกนดิเนเวีย ฝรั่งเศส และ อังกฤษ เรื่องราวจะเป็นในหานองเดียวกัน เมื่อเขาเริ่มเล่าว่าพบพระกิตติคุณได้อย่าง ไร เขาจะเริ่มอย่างนี้: เขากำลังใฝ่หาความจริง เขากำลังแสวงหาความสว่าง เขายังไม่ พอใจ และในระหว่างด้นหาความจริงอยู่นั้น มืคนมาหาเขาพร้อมกับความจริงของ พระกิตติคุณ เขาสวดอ้อนวอนทูลถามพระเจ้าอย่างหนัก ด้วยความตั้งใจ และด้วย สุดใจของเขา เขาได้รับประจักษ์พยานจากสวรรค์ซึ่งทำให้เขารู้ว่านี่คือพระกิตติคุณ ของพระเยซูคริสต์ … ด้งนั้น ภายในใจของทุกคนที่แสวงหาความจริงอย่างซื่อสัตย์ หากเขามืความปรารถนาที่จะรู้ และศึกษาด้วยเจตนาแท้จริงและด้วยศรัทธาในพระ เจ้าพระเยซูคริสต์ แผ่นดินสวรรค์จะอยู่ในเขา หรืออีกนัยหนึ่ง อำนาจที่จะได้รับแผ่น ดินนั้นจะเป็นของเขา9

รากฐานของประจักษ์พยานส่วนตัวต้องเป็นชีวิตที่ชอบธรรมและบริสุทขึ้หาไม่แล้ว พระวิญญาณจะเป็นพยานถึงความศักตั้สิทขึ้ของภารกิจของพระเจ้าหรืองานนี้ในวัน เวลาของเราไม่ได้10

สิงแรกที่จะขาดเสียมิได้ … เพื่อใหิได้มาซึ่งประจักษ์พยาน คือ ต้องแน่ใจว่า “สภาพ” ทางวิญญาณของบุคคลนั้นอยู่ในระเบิยบที่ถูกด้อง ความคิดและร่างกาย ของเขาต้องสะอาดหากเขาอยากมิของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทขึ้ ซึ่งโดยสิง นั้นเขาจะรู้ถึงความแน่นอนของเรื่องทางวิญญาณ11

การเปลี่ยนใจเลื่อมใสต้องมีความหมายมากกว่าการเป็นเพียงสมาชิกที่ “ถือบัตร” ของศาสนาจักรโดยมีใบเสร็จส่วนสิบ บัตรสมาชิกภาพ ใบรับรองพระวิหาร ฯลฯ แต่ หมายถึงการเอาชนะอุปนิสัยที่ชอบวิพากษํวิจารณ์และพยายามอยู่ตลอดเวลาที่จะปรับ ปรุงความอ่อนแอภายในให้ดีขึ้น ไม่ใช่แค’สิงที่ปรากฏให้เห็นแต่ภายนอกเท่านั้น12

เมื่อผู้สอนศาสนาของเราออกไปสอน เรากล่าวกับผู้ที่อยู่ในบรรดาผู้คนที่ผู้สอน ศาสนาสอนว่า “เราไม่ไต้ขอให้ท่านเข้าร่วมศาสนาจักรเพียงเพื่อใส่ซื่อของท่านไวํใน บันทึก เราไม่ไต้สนใจสิงนั้น เรามาพบท่านเพื่อมอบของขวัญขึ้นใหญ่ที่สุดที่โลกจะ ให้โต้ นั้นคือของขวัญแห่งอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า สิงนี้จะเป็นของท่านหากท่าน เพียงแต่ยอมรับและเชื่อ” นั้นคือการท้าทายที่เราให้กับโลก “เราสอนคำสอนของ ศาสนาจักรของพระเยซูคริสต์และแสดงประจักษ์พยานถึงความศักดสิทธึของงานนี้ แก่ท่านไต้ แต่พยานถึงความจริงของสิงที่เราสอนต้องมาจากการเสาะแสวงหาของ ท่านเอง”

เรากล่าวกับผู้คนที่เราสอนว่า “ขอให้ท่านทูลถามพระเจ้า คืกษา ปฏิบัติ และสวด อ้อนวอน นี่คือขั้นตอนที่จะนำผู้คนมาสู่ศาสนาจักร และเป็นวิธีเดียวกับที่ใข้มาตั้งแต่ ต้นเพื่อนำผูซื่อสัตยในใจทุกหนแห่งมาสู่ศาสนาจักร13

ขณะที่พระเยซูทรงแหงนพระพักตร์ขึ้นดูฟ้าและสวดอ้อนวอนว่า “ถึงเวลาแล้ว” [ดู ยอห้น 17:1] พระองค์ตรัสความจริงอันลึกขึ้งซึ่งควรจะมีความหมายอย่างยิ่งต่อ จิตวิญญาณทุกดวงดังนี้ “และนี่แหละคือชีวิตนิรันดร์ คือที่เขาจะรู้จักพระองค์ ผู้ทรง เป็นพระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว และรู้จักพระเยซูคริสต์ที่พระองค์ทรงใช้มา” (ยอห้น 17:3) แม้พระดำรัสนี้จะกินนัยลึกขึ้งเกินกว่าจะพูดถึงในที่นี้ แต่ข้าพเจ้าใคร่อยากจะ นำข้อคิดหนึ่งออกมา ท่านจะรู้จักพระบิดาและพระบุตรไต้อย่างไร? … เราเริ่มไต้ความ รู้โดยการคืก’ษ’า พระผู้ช่วยให้รอดทรงแนะนำให้ “ต้นดูในพระคัมภีร์ เพราะท่านคิด ว่าในนั้นมีชีวิตนิรันดร์ และพระคัมภีร์นั้นเป็นพยานให้แก่เรา” (ยอห้น 5:39) ใน นั้นมีประวัติศาสตร์การติดต่อของพระผู้เป็นเจ้ากับมนุษยํในทุกสมัยการประทาน งาน รวมทั้งถ้อยคำของศาสดาและของพระผู้ช่วยให้รอดตามที่ให้โวั “ด้วยการดลใจ จากพระผู้เป็นเจ้า” ดังที่อัครสาวกเปาโลกล่าว “และเป็นประโยซนํในการสอน การ ดักเตือนว่ากล่าว การปรับปรุงแก่ไขคนให้ดี และการอบรมในทางธรรม เพื่อคนของ พระเจ้าจะพรักพร้อมที่จะกระทำการดีทุกอย่าง” (2 ทึโมธี 3:16–17) เยาวชนต้อง ไม่ปล่อยให้วันใดผ่านไป โดยไมใต้อำนหนังสือดักตั้สิทธเหล่านี้

แต่การเรียนรู้เรื่องพระชนม์ชีพและงานของพระองค์โดยการสืกษาเท่านั้นยังไม่ พอ พระอาจารย์ทรงตอบคำถามที่ว่า เราจะรู้จักพระองค์และคำสอนของพระองค์โต้ อย่างไร ดังนี้ “ล้าผู่ใดตั้งใจประพฤติตามพระประสงค์ของพระองค์ ผู้นั้นก็จะรู้” (ยอหิน 7:17) ท่านคิดว่าคนที่ไฝเคยทดลองในห้องปฏิบัติการจะเป็นผู้รอบรู้ด้าน วิทยาศาสตร์ไต่ไหม? ท่านจะใส่ใจความคิดเห็นของนักวิจารณ์ดนตรีที่ไม่รู้เรื่อง ดนตรีหรือนักวิจารณ์คิลปะที่วาดภาพไม่เป็นไหม? เซ่นเดียวกันกับท่าน คนจะ “รู้จักพระผู้เป็นเจ้า” ก็ต่อเมื่อเขาท่าตามพระประสงค์ของพระองค์ รักษาพระบัญญัติ ของพระองค์ และปฏิบัติคุณธรรมดังที่พระเยซูทรงปฏิบัติ14

การได้ความรู้โดยศรัทธาไม่ใช่ถนนสู่การเรียนรู้ที่ง่าย ต้องอาศัยความวิริยะอุตสาหะ และความเพียรพยายามอย่างต่อเนื่องด้วยศรัทธา …

สรุปก็คือ การเรียนรู้ด้วยศรัทธาไม่ใช่งานสำหรับคนเกียจคร้าน บางคนพูดในทำ นองเดียวกันว่า กระบวนการดังกล่าวต้องใช้ความอ่อนน้อมของจิตวิญญาณทั้งดวง การเรียกความรู้ลึกและความคิดออกมาจากส่วนลีกที่สุดของบุคคลนั้น และเชื่อมโยง สิงนั้นกับพระผู้เป็นเจ้า-โดยต้องมีการเชื่อมต่อกันอย่างพอเหมาะพอดี เมื่อนั้น “ความรู่โดยศรัทธา” จึงจะมาถึง15

เราจะทำอะไรได้บ้างเพื่อเสริมสร้างประจักษ์พยานของเรา?

[พระอาจารย์ตรัสกับเปโดรว่า] “ซาตานได้ขอพวกท่านไว้ เพื่อจะฝืดร่อนเหมือน ฝืดช้าวสาลี แต่เราได้อธิษฐานเผื่อตัวท่าน เพื่อความเชื่อของท่านจะไม่ได้ขาด และ เมื่อท่านได้หันกลับแล้ว จงซูกำลังพี่น้องทั้งหลายของท่าน” (ลูกา 22:31–32) ตอน นี้ ช้าพเจ้าขอให้ท่านสังเกต พระองค์กำลังตรัสกับหัวหน้าอัครสาวกสิบสอง เราได้ อธิษฐานเผื่อตัวเจ้า จงออกไป และหันกลับ [เปลี่ยนใจเลื่อมใส] และเมื่อหันกลับแล้ว จงซูกำลังพื่น้องของเจ้า นี่หมายความว่า [เราจะ] ไม่หันกลับหรือหันกลับก็ได้ ประจักษ์พยานของท่านคือบางสิงที่ท่านมีในวันนี้แต่ท่านอาจจะไม่มีดลอดไป16

ประจักษ์พยานลบเลือนได้ง่ายเช่นเดียวกับแสงจันทร์ และเปราะบางเช่นเดียวกับ ดอกกล้วยไม้ท่านต้องเอากลับคืนมาทุกๆ เช้าในชีวิตของท่าน ท่านต้องรักษาไว้โดย การศึกษา โดยศรัทธา และโดยการสวดอ้อนวอน หากท่านปล่อยให้ตนเองโมโห โกรธา หากท่านปล่อยตัวคบค้ากับคนผิด หากท่านฟังเรื่องราวเหลวไหลหลากชนิด หากท่านติดอยู่กับการศึกษาวิชามาร หากท่านยังมัวเมากระท่าบาป ท่านคงทราบว่า ไม่มีสิงใดน่าหวาดหวั่นไปกว่าการที่พระวิญญาณของพระเจ้าไปจากท่าน จนเป็นราว กับว่าท่านได้เดินออกจากห้องที่สว่างไสวเมื่อออกไปจากตึกหลังนี้ ราวกับว่าท่านได้ ก้าวออกไปสู่ความมีด17

สิงที่ท่านมีอยู่ในประจักษ์พยานวันนี้จะไม่เป็นของท่านในวันพรุ่งนี่เว้นแต่ท่านจะท่า บางสิงเกี่ยวกับเรื่องนี้ ประจักษ์พยานของท่านจะเพิ่มขึ้นหรือลดลงขึ้นอยู่กับตัวท่าน ท่านจะจดจำความรับผิดชอบของท่านไหม? พระเจ้าตรัสว่า “ถ้าผู่ใดตั้งใจประพฤติ ตามพระประสงค์ของพระองค์ ผู้นั้นก็จะรู่วาคำสอนนั้นมาจากพระเจ้า หรือว่าเราพูด ตามใจชอบของเราเอง” (ยอห’น 7:17)18

ไม่มีสิทธิซนยุคสุดท้ายที่เปลี่ยนใจเลื่อมใสอย่างแท้จริงคนใดท่าผิดศิลธรรม ไม่มี สิทธิซนยุคสุดท้ายที่เปลี่ยนใจเลื่อมใสอย่างแท้จริงคนใดไม่ซื่อสัตย์ โป้ปดมดเท็จ หรือสักขโมย นั้นหมายความว่าบุคคลนั้นอาจจะมีประจักษ์พยานนับแต่วันนี้เป็นต้นไป แต่เมื่อเขาลดตัวทำสิงที่ตรงข้ามกับกฎของพระผู้เป็นเจ้า นั้นเป็นเพราะเขาสูญเสีย ประจักษ์พยานและเขาต้องพยายามเพื่อใหํไต้ประจักษ์พยานกลับคืนมา ประจักษ์ พยานไม่ใช่สิงที่ท่านมีในวันนี้และรักษาไว่ไต้ตลอดไป ประจักษ์พยานจะค่อย ๆ พัฒนา ไปเป็นความเจิดจ้าของความแน่นอน หรือลดน้อยถอยลงไปสู่ความว่างเปล่า ก็ขึ้นอยู่กับสิงที่ท่านทำต่อประจักษ์พยานนั้น ข้าพเจ้ากล่าวว่า ประจักษ์พยานที่เราเอา กลับคืนมาทุก ๆ วันคือสิงที่จะช่วยให้เรารอดพันจากกับตักของฝ่ายตรงข้าม19

ประจักษ์พยานเป็นสมอของจิตวิญญาณอย่างไร?

ครั้งหนึ่งในระหว่างการปฏิบัติศาสนกิจ [ของพระคริสต์] เปโดรหัวหน้าอัครสาวก ของพระองค์ประกาศด้วยความกระดือรือรันถึงศรัทธาและประจักษ์พยานของท่าน ในความศักดึ๋สิทธแห่งภารกิจของพระอาจารย์ว่า “พระองค์ทรงเป็นพระคริสต์ พระ บุตรของพระเจ้าผู้ทรงพระชนม์อยู่” พระเจ้าตรัสกับเปโตรโดยประกาศว่า “… มนุษย์ มีไต้แจ้งความนี้แก่ท่าน แต่พระบิดาของเราผู้ทรงสถิตในสวรรค์ทรงแจ้งให้ทราบ” และ บน “ติลานี้”—หรืออีกนัยหนึ่ง ประจักษ์พยานที่ไต้รับการเปิดเผยจากพระวิญญาณ บริสุทขึ้ การเป็ดเผยที่ว่าพระเยซูคือพระคริสต์—ศาสนาจักรของพระองค์ถูกสร้างขึ้น และ “พลังแห่งความตาย (ประตูนรก) จะมีชัยต่อคริสตจักรนั้นหามิไต้” (มัทธิว 16:16-18)20

เวลากำลังจะมาถึงและอยู่ตรงหน้าท่านแล้วบัดนี้ … หากท่านไม่มีประจักษ์พยานแน่ ชัดว่าเรื่องเหล่านี้[พระกิตติคุณ ศาสนาจักร และอื่นๆ] เป็นความจริง ท่านจะไม่สามารถ ต้านทานพายุที่เวลานี้กำลังพัดกระหนาและพยายามกระซากท่านออกจากท่าเรือที่ ปลอดภัย แต่หากท่านรู้ด้วยสุดจิตวิญญาณของท่านว่าเรื่องเหล่านี้จริง … ท่านจะรู้ว่า พระเยซูพระผู้ช่วยให้รอดของท่านเป็นใครและพระผู้เป็นเจ้าพระบิดาเป็นใคร ท่านจะรู้ว่าอิทธิพลของพระวิญญาณเป็นอย่างไร หากท่านรู้เรื่องเหล่านี้ ท่านจะยืน หยัดอย่างนั้นคงดั่งสมอ ต้านพายุร้ายทุกลูกที่จะพัดกระหนาน้านของท่าน ตังคำอุปมา ที่พระอาจารย์ตรัสไว้ คนที่ไต่ยนพระคำของพระองค์และรักษาพระบัญญัติของพระ องค์จะเป็นดั่งบ้านที่สร้างไว้บนศิลา เมื่อพายุมาถึง นี้าโหมชัดบ้าน และลมพัดมา มัน จะไม่ล้ม เพราะมีรากฐานอยู่บนศิลา “แต่ผู้ที่ไต่ยนคำเหล่านี้ของเราและไม่ประพฤติ ตามเล่า เขาก็เปรียบเสมือนผู้ที่โง่เขลา สร้างเรือนของตนไว้บนทราย ฝนก็ตกและนั้า ก็ไหลเชี่ยว ลมก็พัดปะทะเรือนนั้น เรือนนั้นก็พังทลายลง และการซึ่งพังทลายนั้นก็ ใหญ่ยิ่ง” (มัทธิว 7:26–27)

พระอาจารย์ตรัสไว้ และข้าพเจ้าจะกล่าวกับท่านวันนี้ว่า ฝนแห่งภัยพิบัติ ฝนแห่ง ความยุ่งยาก นี้าและลมแห่งการทดลองสาหัสกำลังโหมซัดบ้านของท่านทุกคน จะมี การล่อลวงให้ทำบาป ท่านจะประสบกับความลำบาก ท่านจะประสบกับความยุ่งยาก ในชีวิต แต่ผู้ที่จะไม่พังทลายเมื่อการทดสอบเหล่านี้มาถึง คือ ผู้ที่สร้างบ้านของเขาไว้ บนคืลาแห่งประจักษ์พยาน ท่านจะรูว่าไม่ว่าอะไรจะเกิดฃึ้นก็ตาม ท่านจะไม่สามารถ ยืนหยัดอยู่ได้ด้วยความสว่างที่ยืมมา ท่านจะยืนหยัดอยู่ได้ด้วยความสว่างของท่านเอง โดยพยานของพระวิญญาณที่ท่านทุกคนมีสิทฮ1ด้รับ21

ในฐานะสิทธิซนยุคสุดท้าย การทำตามผู้นำและยอมรับคำแนะนำของพวกท่าน แต่นี้ยังไม่พอ เรามีภาระหน้าที่ใหญ่หลวงกว่านั้น นั้นคือ การทำให้ตัวเรามีประจักษ์ พยานอันไม่สั่นคลอนถึงการแต่งตั้งจากสวรรค์ของชายเหล่านี้และมีพยานว่าสิงที่ ท่านบอกเราเป็นพระประสงค์ของพระบิดาบนสวรรค์22

ข้าพเจ้ามาพบท่านวันนี้ในฐานะพยานพิเศษผู้มีหน้าที่รับผิดชอบในการเป็นพยาน ถึงสิงนี้มีสถานการณ์ส่วนตัวที่ท่าให้ข้าพเจ้าทราบอย่างไม่สงสัย คือ เมื่อคราวที่ข้าพเจ้า ทูลขอให้พระวิญญาณบอกสิงที่ข้าพเจ้าจะพูดในวันอีสเตอร์เรื่องการพื่นคืนพระชนม์ ของพระเจ้า ข้าพเจ้าซังตัวเองอยู่ในห้องเพื่ออ่านพระกิตติคุณสิเล่ม โดยเน้นเป็น พิเศษเรื่องการตรึงกางเขน และการพื่นคืนพระชนม์ มีบางสิงเกิดขึ้นกับข้าพเจ้า ขณะที่อ่าน ข้าพเจ้ารู่สิกราวกับว่ากำลังอยู่ในเหตุการณ์นั้นจริง ๆ ไม่ใช่แต่เรื่องเล่า และต่อจากนั้นข้าพเจ้าก็พูดข่าวสารที่เตรียมไว้และแสดงประจักษ์พยานว่าขณะนี้ ใน ฐานะผู้ติาด้อยที่สุดคนหนึ่งในบรรดาพีน้อง ข้าพเจ้ามีพยานส่วนตัวด้วยเช่นกันถึง การสินพระชนม์ และการพื่นคืนพระชนม์ของพระเจ้าและพระอาจารย์ของเรา ทำไม หรือ? เพราะมีบางสิงเผาไหมํในจิตวิญญาณข้าพเจ้าจนข้าพเจ้าสามารถพูดได้ด้วย ความนั้นใจโดยปราศจากความเคลือบแคลงสงสัยใด ๆ ท่านสามารถทำเช่นนั้นได้ด้วย และสิงที่นำพึงใจทีสุดในโลก ซึ่งเป็นสมอที่ใหญ่ยิ่งที่สุดต่อจิตวิญญาณของท่านใน ยามทุกข์ยาก ในยามถูกล่อลวง ในยามเจ็บไฃิได้ป๋วย ในยามที่ไม่ทราบว่าจะตัดสินใจ อย่างไรดี ในยามทีต้องต่อสู้ดิ้นรนและท่างาน [คือ] ท่านจะรู้อย่างแน่ซัดโดยไม่มี ความเคลือบแคลงสงสัยใด ๆ ว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงพระชนม์23

ข้อ แนะนำ สำหรับการสืกษา และการสนทนา

  • ทำไมการเป็ดเผยจากพระวิญญาณอันศักดิ้สิทธจึง “เป็นพยานอันทรงพลังที่สุด ที่ท่านจะมีได้” ว่าพระผู้ช่วยให้รอดทรงพระชนม์?

  • ประธานลีให้คำแนะนำอะไรเกี่ยวกับวิธีที่จะได้รับประจักษ์พยานในพระกิตติคุณ? อะไรช่วยให้ท่านได้รับประจักษ์พยานของตนเอง?

  • เราจะรู้จักพระบิดาบนสวรรค์และพระเยซูคริสตํได้อย่างไร?

  • ท่านติดว่าประธานลีหมายถึงอะไรเมื่อกล่าวว่า “ประจักษ์พยานลบเลือนได้ง่าย เช่นเดียวกับแสงจันทร์…ท่านต้องเอากลับคืนมาทุก ๆ เข้าในชีวิตของท่าน”?

  • อะไรอาจเป็นเหตุให้ประจักษ์พยานของเราลดน้อยลงหรือสลายไป? เราต้องท่า อะไรเพื่อว่าความสว่างแห่งประจักษ์พยานของเราจะ “พัฒนาไปเป็นความเจิดจ้า ของความแน่นอน”?

  • ทันทีที่เรามีประจักษ์พยาน เราจะช่วยให้ผู่อื่นเสริมสร้างประจักษ์พยานของตนเอง ได้อย่างไร?

  • ความรู้ที่ว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงพระชนม์เป็นสมอของจิตวิญญาณของเราในยาม ทุกข์ยากอย่างไร? ประจักษ์พยานของท่านในพระผู้ช่วยให้รอดเป็นแหล่งพล้ง สำหรับท่านเมื่อใด?

อ้างอิง

  1. คำปราศรัยเรื่อง “But Arise and Stand upon Thy Feet’—and I Will Speak with Thee,” ที่มหาวิทยาลัยบริคัม ยัง วันที่ 7 กุมภาพันธ์ 1956 เอกสารสำคัญของแผนก ประวัติศาสตร์ ศาสนาจักรของพระเยซู คริสต์แห่งสิทธิชนยุคสุดท้าย หน้า 2

  2. Stand Ye in Holy Places (1974), 92-93.

  3. Stand Ye in Holy Places, 193, 196.

  4. The Teachings of Harold B. Lee, ed. Clyde J. Williams (1996), 140-41.

  5. คำปราศรัยที่การประชุมใหญ่สอชาน สวิส- เซอร์แลนต์ วันที่ 26 กันยายน 1972 เอก สารสำคัญของแผนกประวัติศาสตร์ ศาสนา จักรของพระเยซูคริสต์แห่งสิทธิซนยุด สุดท้าย หน้า 8

  6. คำปราศรัยที่โพคาเทลโล ไอดาโฮ วันที่ 9 มีนาคม 1973 เอกสารสำคัญของแผนก ประวัติศาสตร์ ศาสนาจักรของพระเยซู คริสต์แห่งสิทธิขนยุคสุดท้าย

  7. The Teachings of Harold B. Lee, 93.

  8. “Church and Divine Revelation,” 1954, Historical Department Archives, The Church of Jesus Christ of Latter- day Saints, 17, 23.

  9. In Conference Report, Oct. 1953, 26-27.

  10. The Teachings of Harold B. Lee, 133.

  11. The Teachings of Harold B. Lee, 137.

  12. In Conference Report, Apr. 1971, 92; or Ensign, June 1971, 8.

  13. The Teachings of Harold B. Lee, 135-36.

  14. Decisions for Successful Living (1973), 39-40; paragraphing added.

  15. The Teachings of Harold B. Lee, 331.

  16. The The Teachings of Harold B. Lee, 138.

  17. The Teachings of Harold B. Lee, 139.

  18. The Teachings of Harold B. Lee, 135.

  19. The Teachings of Harold B. Lee, 139.

  20. Stand Ye in Holy Places, 40.

  21. The Teachings of Harold B. Lee, 140.

  22. The Teachings of Harold B. Lee, 133.

  23. Education for Eternity, “The Last Message” lecture given at the Salt Lake Institute of Religion, 15 Jan. 1971, 11.