คำสอนของประธานศาสนจักร
บทที่ 6: จงฟ้งสุรเสียงของพระเจ้า


บทที่ 6

จงฟ้งสุรเสียงของพระเจ้า

เราจะรับการเปีดเผยส่วนตัวจากพระเจ้าได้อย่างไร?

บทนำ

ประธานฮาโรลด๙ ปี. ลี เคยกล่าวไว้ว่า “ประจักษ์พยานอันเรียบง่ายที่เกิดขึ้นในวัย เด็กทำใหํใจของข้าพเจ้าเริ่มเชื่อ—ข้าพเจ้าคิดว่าอาจจะอายุราวๆ สิบหรือสิบเอ็ดขวบ ข้าพเจ้ากับคุณพ่อไปที่ฟาร์มห่างจากบ้านของเรา โดยพยายามทำให้ตัวเองมีงานยุ่ง ทั้งวันจนถึงเวลาที่คุณพ่อจะกลับบ้าน ฝืงตรงข้ามจากรั้วบ้านของเรามีเพิงจะล้มมิล้ม แหล่อยู่หลายหลังซึ่งดึงดูดความสนใจของเด็กที่อยากรู้อยากเห็น และข้าพเจ้าก็เป็น เด็กที่ชอบผจญภัย ข้าพเจ้าเริ่มปีนข้ามรั้ว และได้ยินเสียงหนึ่งซัดเจนเท่าๆ กับที่ท่าน กำลังไดยนข้าพเจ้า เสียงนั้นเรียกชื่อข้าพเจ้าและพูดว่า ‘อย่าข้ามไปที่นั้น!’ ข้าพเจ้าหัน กลับไปมองคุณพ่อเพื่อดูว่าท่านกำลังพูดกับข้าพเจ้าอยู่หรือไม่ แค่ท่านก็อยู่ทั้งไกลอีก ฟากหนึ่งของทุ่งนา ไม่เห็นมีใครเลย ในตอนนั้นข้าพเจ้าเกิดความเข้าใจตามประสา เด็กว่ามีบุคคลที่ข้าพเจ้ามองไม่เห็น เพราะข้าพเจ้าได้ยินเสียงซัดเจน นับแต่นั้นมา เมื่อ ข้าพเจ้าได้ยินหรืออ่านเรื่องราวของศาสดาโจเซฟ สมีธ ข้าพเจ้าจะทราบว่าการได้ยิน เสียงหมายถึงอะไร เพราะข้าพเจ้าเคยมีประสบการณ์มาก่อน”1

แม้ว่าพระเจ้าจะไม่ตรัสกับเราโดยตรง แต่เมื่อเราเรียนรู้ที่จะพูดกับพระองค์และ รูวธีที่พระองค์จะติดต่อกับเรา เราจะเริ่มรู้จักพระองค์ ประธานลีกล่าวว่า “การรู้จัก พระผู้เป็นเจ้าและพระเยซูคริสต์ผู้ที่พระองค์ทรงใช้มา (ดู ยอห้น 17:3) ตามที่พระ อาจารย์รับสั่งกับสานุคิษย์ คือ การเริ่มเดินบนเส้นทางอันแน่นอนที่น่าไปสู่ชีวิตนิ-รันดรในที่ประทับของพระองค์ผู้เริ่เยมด้วยรัศมีภาพ”2

ภาพ
Enos praying

คำสอนของฮาโรลด์ บี. ลี

พระบิดาบนสวรรค์ทรงติดต่อกับลูก ๆ ของพระองค์อย่างไร?

ข้าพเจ้าฟ้งคำเทศนาที่ได้รับการดลใจของประธาน [เจ. รูเบ็น] คลาร์กที่มหาวิทยาลัย บริคัมยัง…ท่านวิเคราะห์การเขดเผยแบบต่าง ๆ ที่มาถึง สิงแรกที่ท่านพูดถึงคือการ ปรากฏตัวของพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งท่านบรรยายว่าเป็นประสบการณ์ที่พระบิดาหรือพระ บุตร หรือทั้งสองพระองค์ทรงปรากฏองคํให้เห็น หรือตรัสกับมนุ’ษ!รโดยตรง โมเสส พูดกับพระเจ้าหน้าต่อหน้า [ดู โมเสส 1:1-4] ดาเนียลเห็นการปรากฏองค์ของพระ ผู้เป็นเจ้าด้วย [ดู ดาเนยล 10] เมื่อพระอาจารย์เสด็จมาหายอห์นผู้ถวายบัพติศมา ท่านคงจำได้ มีสุรเสียงตรัสจากฟ้าสวรรค์มีความว่า “ท่านผู้นี้เป็นบุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านมาก” [มัทธิว 3:17] ในการเปลี่ยนใจเลื่อมใสของเปาโล…มีการ ปรากฏองค์ อีกทั้งได้ยินสุรเสียงด้วย [ดู กิจการ 9:1-6] ในการแปลงสภาพ เมื่อ เปโดร ยากอบ และยอห์นไปบนภูเขาสูงกับพระอาจารย์ โมเสสและเอสียาห์ปรากฏ ต่อคนทั้งสาม และอีกครั้งที่ได้ยินสุรเสียงตรัสจากฟ้าสวรรค์มีความว่า “ท่านผู้นี้เป็น บุตรที่รักของเรา เราชอบใจท่านผู้นี้มาก” (มัทธิว 17:5)

นี่อาจจะเป็นการปรากฏองค์ครั้งใหญ่ที่สุดในยุคสมัยของเรา นั่นคือ การปรากฏ ของพระบิดาและพระบุตรต่อศาสดาโจเซฟ สมีธในป่าละเมาะ [ดู โจเซฟ สมีธ-ประวัติ 1:14-17] หลังจากนั้นก็มีการปรากฏอีกหลายครั้ง ครั้งหนึ่งบันทึกไว้ในคำสอน และ พันธสัญญาภาคที่ 110 เมื่อพระผู้ช่วยให้รอดทรงปรากฏต่อโจเซฟและออสิเวอร…

ศาสดาอีนัสกล่าวถึงอีกวิธีหนึ่งที่เราจะได้รับการเปีดเผย ท่านเขียนข้อความที่สำคัญ ยิงไว้ในบันทึกซองท่านในพระคัมภีร์มอรมอนว่า “และขณะที่ข้าพเจ้ากำลังดิ้นรนอยู่ ด้งนั้นในวิญญาณ ดูเถึดสุรเสียงของพระเจ้ามาในจิตใจข้าพเจ้า…” [อีบัส 1:10]

อีกนัยหนึ่ง บางครั้งเราได้ยินสุรเสียงของพระเจ้าเข้ามาในความคิด และเมื่อสุรเสียง นั้นมาถึง ความรูสีกจะแรงกล้าราวกับพระองค์ทรงเป๋าแตรใส่หูเรา…

มีอยู่เรื่องหนึ่งในพระคัมภีร์มอรมอน นีไฟตำหนิพี่ ๆ โดยขอร้องให้เขากลับใจ และ ถ่ายทอดความคิดเดียวกันนี้เมื่อท่านกล่าวว่า “…และพระองค์รับสั่งกับพี่ด้วยสุร เสียงอันเรียบนิ่มนวล แต่พี่มีใจเกินที่จะรูสีก จนพี่รู้สีกในคำของพระองค์ไม่ได้…” (1 นิไฟ 17:45)

ดังนั้น โดยการเขตเผย พระเจ้าทรงน่าความคิดมาสู้ใจเราราวกับเสียงพูด ข้าพเจ้า ขอแสดงประจักษ์พยานด้วยความถ่อมใจถึงความจริงข้อนี้ ครั้งหนึ่ง ข้าพเจ้าตกอยู่ใน สถานการณ์ที่ด้องการความช่วยเหลือ พระเจ้าทรงทราบว่าข้าพเจ้าต้องการความช่วย เหลือ เนื่องด้วยข้าพเจ้ากำลังท่าภารกิจที่สำคัญอยู่ ข้าพเจ้าถูกปลุกให้ตื่นแต่เข้าเพี่อ แก็ไขบางสิงซึ่งตรงข้ามกับแผนที่วางไวิโดยสินเซิง และข้าพเจ้าทราบอย่างชัดเจนว่า ต้องทำอะไรในเข้านั้น ราวกับว่ามีใครบางคนมานั้งที่ขอบเตียงข้าพเจ้าและบอกข้าพ-เจ้าว่าต้องทำอะไร ใช่แล้ว สุรเสียงของพระเจ้าเข้ามาสู่ใจเราและเราไต้รับการชี้นำด้วย ประการฉะนี้

เราไต้รับการเปิดเผยโดยอำนาจของพระวิญญาณบริสุทชี้ด้วย พระเจ้าตรัสกับ ศาสดาโจเซฟ สมีธ ในยุคแรก ๆ ของศาสนาจักรว่า “แท้จริงแล้ว ดูเถิด เราจะบอกเจ้า ในความคิดของเจ้าและในใจของเจ้าโดยพระวิญญาณบริสุทชี้ซึ่งจะ…สถิตอยู่ในใจของ เจ้า บัดนี้ ดูเถิด นี่คือวิญญาณแห่งการเปิดเผย…” (ค.พ. 8:2–3) พระอาจารย์ทรง ปลอบใจสานุคิษย์ของพระองค์ก่อนการตรึงกางเขน ท่านคงจำไต้ พระองค์ตรัสว่า “…ล้าเราไม่ไป องค์พระผู้ช่วยก็จะไม่เสด็จมาหาท่าน…เมื่อพระวิญญาณแห่งความ จริง [หรือพระวิญญาณบริสุทชี้] จะเสด็จมาแล้ว พระองค์จะทรงนำทำนฑงหลายไปสู่ ความจริงทั้งมวล…พระองค์จะทรงแจ้งให้ท่านนั้งหลายรู้ถึงสิงเหล่านั้นที่จะเกิดขึ้น” (ยอท้น 16:7, 13) “และจะให้ท่านระลึกถึงทุกสิง…” (ยอท้น 14:26) เราจึงเห็น อำนาจของพระวิญญาณบริสุทชี้ ดังนั้น ศาสดาโจเซฟ สมีฮกล่าวถึงเรื่องนี้ว่า “ไม่มี มนุษย์คนใดไต้รับพระวิญญาณบริสุทชี้โดยไม่ไต้รับการเปิดเผย พระวิญญาณบริสุทชี้ ทรงเป็นผู้เปิดเผย” (Teachings of the Prophet Joseph Smith, p. 328)

ข้าพเจ้าขอเปลี่ยนข้อความนี้…และพูดว่า สิทธิซนยุคสุดท้ายคนใดก็ตามที่รับบัพ- ตีศมาแล้วและไต้รับการวางมือจากผู้ประกอบพิธี โดยบัญชาเขาให้รับพระวิญญาณ บริสุทชี้ และไม่ไต้รับการเปิดเผยจากวิญญาณของพระวิญญาณบริสุทชี้ ผู้นั้นไม่ไต้รับ ของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทชี้ซึ่งเขามีสิทชี้ไต้รับ นี่เป็นเรื่องที่สำคัญมาก ข้าพเจ้าขอหยิบยกสิงที่ศาสดาโจเซฟ สมีธ กล่าวไว้เกี่ยวกับการเปิดเผย ดังนี้

“ผู้คนจะไต้ประโยชน์จากการสังเกตการกระตุ้นเตือนครั้งแรกของวิญญาณแห่ง การเปิดเผย ตัวอย่างเช่น เมื่อท่านรู้ลึกถึงความรู้แจ้งอันบริสุทชี้ที่หลั่งไหลมาสู่ท่าน นํ่น อาจท่าให้ท่านเกิดความคิดขึ้นมาอย่างฉับพลัน ทั้งนี่โดยการสังเกตสิงดังกล่าว ท่าน อาจพบว่าการกระตุ้นเตือนกลายเป็นจริงในวันเดียวกันนั้นหรือในไม่ข้า สิงเหล่านั้น ที่เข้ามาสู่ความคิดของท่านโดยพระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้าจะเกิดขึ้นจริง ๆ และ ฉะนั้น โดยการเรียนรู้และเข้าใจพระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้า ท่านจะค่อย ๆ เติบโต ไปสู่หลักธรรมแห่งการเปิดเผยจนท่านกลับดีพร้อมในพระเยซูคริสต์” [History of the Church, 3:381]

ท่านจะไต้รับการเปิดเผยในเรื่องใดบ้าง? การไต้ยินว่าท่าน—สมาซิกทุกคนชอง ศาสนาจักรที่ไต้รับพระวิญญาณบริสุทชี้แล้ว-อาจจะไต้รับการเปิดเผยท่าให้ท่านตื่น ตระหนกตกใจหรือไม่? ท่านอาจจะไม่ไต้รับการเปิดเผยเพื่อประธานศาสนาจักร หรือ ในเรื่องของการดูแลงานต่างๆ ในวอร์ด สเตค หรือคณะเผยแผ่ที่ท่านอยู่ แต่ทุกคน มีสิทธ1ด้รับการเปิดเผยโดยพระวิญญาณบรืสุทธเนสภาวการณ์ของตนเอง…

ทุกคนมีสิทธิพิเศษในการใช้ของประทานเหล่านี้และอภิสิทชี้เหล่านี้เพื่อดำเนินเรื่อง ราวของตนเอง เพื่อเลี้ยงดูลูกในทางที่เขาควรเดิน เพื่อบริหารธุรกิจ หรือสิงใดก็ตาม ที่เขาทำ เขามีสิทธึได้รับวิญญาณแห่งการเปิดเผยและการดลใจเพื่อจะทำสิงถูกต้อง ฉลาดและสุขุมรอบคอบ เที่ยงธรรมและดี ในทุกสิงที่เขาทำ ข้าพเจ้าทราบว่านี่คือหลัก ธรรมที่แท้จริง และเป็นสิงที่ข้าพเจ้าอยาก’ให้สิ’ทธิซนยุคสุดท้ายรู้ เราทุกคนควรพาก เพียรและเอาใจใส่ความติดที่มาถึงเราอย่างฉับพลัน และหากเราจะเอาใจใส่สิงนั้น และ’ฝืกหูเพื่อ’ให่ไดํยนการกระตุ้นเตือนเหล่านี้ เรา —ทุกคน—จะเติบโตในวิญญาณ แห่งการเปิดเผย

มีอีกวิธีหนึ่งที่การเปิดเผยจะมาถึง นั่นคือ โดยความฝืน โอ ข้าพเจ้าไม่ได้บอกว่า ความฝืนทั้งหมดของท่านเป็นการเปิดเผยโดยตรงจากพระเจ้า…แค่ข้าพเจ้ากลัวว่าใน ยุคแห่งการอ้างเหตุผลอย่างผิด ๆ นี้ เรามีแนวโน้มที่จะปฏิเสธว่าความฝืนทั้งหมด ไม่มีจุดมุ่งหมายและไม่มีความสำคัญอะไร ทว่า ในพระคัมภีร์มีเหตุการณ์บันทึกไว้ ว่าพระเจ้าทรงชี้นำผู้คนโดยความฝืน…

สิงที่เราทุกคนควรพยายามทำ คือ ดำเนินชีวิตด้วยการรักษาพระบัญญัติของพระ เจ้า จนพระองค์สามารถตอบคำสวดอ้อนวอนของเรา ของคนที่เรารัก และของเจ้า หน้าที่ซั้นผู่ใหญ่เพื่อเราได้ เราสวดอ้อนวอนเพื่อสมาชิกของศาสนาจักรเสมอ และเรา ขอบพระทัย พระผู้เป็นเจ้าเมื่อเราทราบว่าเขากำลังสวดอ้อนวอนเพื่อเรา หากเรา จะดำเนินชีวิตอย่างมีคำควร พระเจ้าจะทรงนำทางเราโดยการปรากฏองค์ หรือโดย สุรเสียงจริง ๆ หรือโดยสุรเสียงที่เข้ามาส่ความติดของเรา หรือโดยการกระตุ้นเตือน ในใจเราและในจิตวิญญาณของเรา และโอ้ เราควรซาบซึ้งเพียงใดหากพระเจ้าทรง ส่งความฝืนมาให้เราโดยทรงแสดงให้เห็นถึงความสวยงามของนิรันดรหรือการเตือน และการนำทางเพื่อปลอบโยนเราเป็นพิเศษ แน่นอนว่า หากเราดำเนินชีวิตเซ่นนั้น พระเจ้าจะทรงนำทางเราเพื่อความรอดและเพื่อประโยซนของเรา

ในฐานะผู้ตรด้อยที่สุดในบรรดาพวกท่าน และโดยอยู่ในการเรียกที่ทำอยู่ ข้าพเจ้า อยากจะแสดงประจักษ์พยานที่ถ่อมใจว่า ข้าพเจ้าได้รับความรู้และความเข้าใจจากสุร เสียงและพลังอำนาจแห่งการเปิดเผยว่าพระผู้เป็นเจ้าทรงดำรงอยู่…

ข้าพเจ้าแสดงประจักษ์พยานอันศักลี้สิทชี้ว่า ปืจจุบันศาสนาจักรได้รับการนำทาง โดยการเปิดเผย จิตวิญญาณทุกดวงในศาสนาจักร ผู่ซงได้รับพระวิญญาณบรืสุทธ แล้ว มีอำนาจที่จะได้รับการเปิดเผย พระผู้เป็นเจ้าจะทรงช่วยให้ท่านและข้าพเจ้า ดำเนินชีวิตจนพระเจ้าสามารถตอบคำสวดอ้อนวอนของผู่ซื่อสัตย์ผ่านทางเราได้3

เราจะสวดอ้อนวอนต่อพระบิดาบนสวรรค์อย่างไร เพื่อให้พระองค์ทรงสามารถนำทางเราได้?

มีความแตกต่างอย่างมากระหว่างการสวดอ้อนวอนกับการพูดกับพระผู้เป็นเจ้า มีเพียงไม่กี่คนที่ข้าพเจ้าไดํย้นเขาสวดอ้อนวอนประหนึ่งพูดกับพระผู้เป็นเจ้า หนึ่งใน จำนวนนั้นคือ [เอ็สเตอร์] ซาร์ลส์ เอ. คอลลิสผู้ล่วงลับไปแล้ว ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าไต่ยิน เขาสวดอ้อนวอนที่แท่นคักดี้สิทธในพระวิหาร ทุกครั้งที่ข้าพเจ้าไต่ยินเขาเมื่อเราคุก เข่าสวดอ้อนวอนด้วยกันก่อนออกไปท่าภารกิจที่ยาก ขณะที่เขาพูด ดูเหมือนเขากำลัง ตรงเข้าไปยังที่ประทับอันคักตื่สิทธของพระบิดา และพูดกับซาวสวรรค์ อย่าพูดคำสวด อัอนวอน อย่าอ่านคำสวดอ้อนวอน แค่จงเรียนรูที่จะพูดกับพระผู้เป็นเจ้า และการพูด กับพระผู้เป็นเจ้าเข่นนั้นเป็นการสวดอ้อนวอนในแบบที่ข้าพเจ้าคิดว่าโมโรไนหมาย ถึง เมื่อท่านเขียนไว็ในบทล่งท้ายของพระคัมภีร์มอรมอน…ด้งนี้

“ข้าพเจ้าจะแนะนำท่านให้ทูลถามพระผู้เป็นเจ้า พระบิดาผู้สถึตนิรันดร์ ในพระ นามของพระคริสต์ หากเรื่องเหล่านี่ไม่จริง และหากท่านจะทูลถามด้วยใจจริง ด้วย เจตนาแท้จริง โดยมีศรัทธาในพระคริสต์ พระองค์จะทรงแสดงความจริงของเรื่องให้ ประจักษ์แก่ท่านโดยอำนาจของพระวิญญาณบริสุทขึ้” [โมโรไน 10:4]

…นี่คือสิงที่ข้าพเจ้าเข้าใจว่าเป็นการสวดอ้อนวอนด้วยศรัทธา…ศรัทธาในพระผู้ เป็นเจ้าและในพระบุตรของพระองค์ พระเยซูคริสต์ หากปราศจากศรัทธา จะไม่มี บุคคลใดพูดกับพระผู้เป็นเจ้าได้4

ข้าพเจ้าเห็นประสบการณ์ที่ริซาร์ด อีแวนล่ [แห่งโควรัมอัครสาวกสิบสอง] ที่รักของ เราได้รับในการเดินทางครั้งหนึ่งของเขา…ริซาร์ดนั้งติดกับชายคนหนึ่งที่โต๊ะอาหาร เย็นเมื่อหลายปีก่อน เขาเป็นนักอุตสาหกรรมที่มีซื่อเสืยง นักอุตสาหกรรมผู้นี้เล่า’ให้ ฟังอย่างง่าย ๆ เพียงไม่กี่ประโยคว่าตนเองเผชิญกับปัญหาหนักหนาสาหัสของชีวิต อย่างไร และตัดสินใจอย่างไรในแต่ละวัน เขาเล่าว่า “เมื่อผมตื่นนอนตอนเข้า ผมรู้!?กอยู่บ่อยๆ ว่าตนเองเผชิญกับปัญหาไม่ได้ แต่ถ้าผมคุกเข่าและกล่าวด้วย ความบริสุทธี้ใจว่า ‘พระผู้เป็นเจ้า โปรดทรงช่วยข้าพระองค์ท่าสิงที่ข้าพระองค์ต้อง ทำในวันนี้ด้วยเถิค่ พลังก็จะเกิดขึ้น ผมรูสิกว่าตนเองรับมือกับปัญหานั้นได้ ผมคิด ว่าพระองค์ทรงเป็นคุณพ่อของผม และผมพูดกับพระองค์อย่างเรียบง่ายและตรงไป ตรงมาเหมือนที่ผมเคยพูดกับคุณพ่อเมื่อท่านอยู่บนโลกนี้”…

[เอ็ลเดอร์อีแวนล่เล่า’ว่า] “เพื่อนที่เรียบง่ายและตรงไปตรงมาซึ่งผมนั่งอยู่ด้วยใน คาวันนั้นทำให้ผมอ่อนโยนและถ่อมลง เขาไม่ได้นับถือศาสนาเดียวกับผม แต่ผมเชื่อ จริงๆ ว่าเขาคงพูดกับพระผู้เป็นเจ้าด้วยความพึงพอใจและความเชื่อมั่นอย่างมากไม่ได้ หากเขาคิดว่าพระองค์เป็นเพียงพลังอำนาจ หรือเป็นแก่นสารที่ไฝอาจพรรณนาได้ เขาไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับธรรมชาติและจุดประสงค์ของพลังอำนาจและแก่นสารนั้นหรือ อย่างน้อยก็ไม่มีอะไรทำให้เขามั่นใจว่าจริงๆแล้วเขากำลังพูดอยู่กับคุณพ่อของเขา”…

ดังที่เจคอบกล่าวกับครอบครัวของท่านว่า…“โอ้ความศักดี้สิทธี้ของพระผู้เป็นเจ้า ของเรายิ่งใหญ่เพียงใด! เพราะพระองค์ทรงรู้ทุกเรื่อง และไม่มีเรื่องใดที่พระองค์ใม่ ทรงรู้” (2 นีไฟ 9:20) บัดนี้ หากท่านเพียงแต่จดจำข้อความนี้เว้ ท่านก็จะมีจุดเริ่ม ด้น ท่านจะมีลัมพันธภาพกับพระผู้เป็นเจ้า เราเป็นบุตรและธิดาของพระองค์ พระ องค์ทรงรู้จักเรา พระองค์ทรงรู้ทุกสิงและเวลาที่พระองค์ทรงกำหนดไว้ล่วงหน้า ตลอดจนสถานที่ที่เราจะอยู่ และเวลาที่เราจะมีชีวิตอยู่ ด้วยเหตุนี้นพระองค์เท่านั้น ที่เราจะสามารถวางใจได้อย่างสมบูรณ์5

สิงลํ้าค่าที่สุดที่เราสามารถมีได้หรือความรู้อันลํ้าค่าที่เราสามารถครอบครองได้ คือ พระเจ้าทรงได็ย้นและทรงตอบคำสวดอ้อนวอน—หรือพูดอีกอย่างหนึ่งก็คือ การที่เรา รูวิธีพูดกับพระผู้เป็นเจ้า การสวดอ้อนวอนไม่เพียงเป็นเรื่องของการกล่าวถ้อยคำดัง ที่บางนิกายสอน แค่เป็นเรื่องของการยอมรับว่าพระผู้เป็นเจ้าพระบิดาบนสวรรค์ของ เรา และพระบุตรของพระองค์พระเยซูคริสต์ทรงพระชนม์อยู่และมีดัวตน และว่าโดย ทางการปฏิบัติศาสนกิจของสมาชิกอีกองค์หนึ่งในพระผู้เป็นเจ้าสามพระองค์ ซึ่งคือ พระวิญญาณบรืสุฑธี้หรือพระวิญญาณอ้นศักดี้สิทธี้ เราสามารถติดต่อกับพระบิดาบน สวรรค์ได้ สามารถรับคำตอบสำหรับข้อสงสัยของเราและพลังสำหรับยุคสมัยของเรา ได้ด้วย6

จงพร้อมที่จะทูลร่วมกับเปาโลทูลด้วยความถ่อมใจว่า “พระองค์เจ้าข้า พระองค์ ทรงประสงค์ให้ข้าพระองค์ทำอะไร” (ดู กิจการ 9:6) และร่วมกับเด็กชายซามูเอลซึ่ง ทูลด้วยความกล้าหาญยิ่งว่า “พระเจ้าเจ้าข้า ขอพระองค์ตรัสเถิด เพราะผู้รับไข้ของ พระองค์คอยฟ้งอยู่” (1 ซามูเอล 3:9) จงถ่อม จงสวดอ้อนวอน และพระเจ่าจะนำ ท่านไปโดยมือ และให้คำตอบคำสวดอ้อนวอนแก่ท่าน [ดู ค.พ. 112:10]7

วันหนึ่ง ประธาน [เดวิด โอ.] แมคเคย์สอนเราในพระวิหารถึงเรื่องนี้ว่า…“ข้าพ-เจ้าอยากจะบอกท่านเรื่องหนึ่ง นั่นคือ เมื่อพระเจ้าทรงบอกให้ท่านท่าอะไร ท่านต้อง มีความกล้าหาญที่จะท่า หรือไม่เซ่นนั่น ท่านก็ไม่ควรถามพระองค์อีก” ข้าพเจ้าเรียน รู้บทเรียนนี้ด้วย บางครั้งข้าพเจ้าจะตื่นขึ้นมากลางดึกและไม่สามารถหลับต่อได้จน ต้องลุกจากเตียงและบันทึกสิงที่ข้าพเจ้าครุ่นคิดตลอดมาลงในกระดาษ แค่ต้องใช้ ความกล้าหาญอย่างมากที่จะท่าตามคำตอบของการสวดอ้อนวอน8

จงอดอาหารสองมื้อในวันอาทิตย์แรกของเดือนและจ่ายคำอาหารสองมื้อที่ท่านอด …พระเจ้าตรัสกับอีสยาห้ว่า ผู้ที่อดอาหารและแบ่งอาหารให้แก่คนหิวโหย จะเรียกหา พระเจ้าและพระองค์จะทรงตอบ จะร้องทูลและพระเจ้าจะตรัสว่า “เราอยู่นี่” [ดู อีส- ยาห้ 58:6-9] นั่นเป็นวิธีเดียวที่จะมืความสัมพันธ์อันดึกับพระเจ้า จงพยายามท่าใน ปีนี้ จงดำเนินชีวิตโดยครบถ้วนตามกฎแห่งการอดอาหาร9

เมื่อเราต้องตัดสินใจระหว่างสองสิง ขอให้เราจดจำว่าเราควรท่างสที่พระเจ้าตรัส ศึกษาสาระทั้งหมดที่เข้ามาในความคิดของเราจนได้ข้อสรุป ก่อนคำเนินการใด ๆ ให้ ทูลถามพระเจ้าว่าสิงนั้นถูกต้องหรือไม่ และท่าตัวเราให้สอดคล้องกับการตอบสนอง ทางวิญญาณ—ทรวงอกของเราเผาไหม้อยู่ภายในเราเพื่อจะรู้ว่าข้อสรุปของเราลูกต้อง หรือไม่ก็มืความนึกคิดงงจนลืมสิงนั้นหากมันไม่ลูกต้อง [ดู ค.พ. 9:7-9] จากนั้น ตัง ที่พระเจ้าทรงสัญญาไร้ “…จะประทานพระวิญญาณแก่ [เรา] โดยคำสวดอ้อนวอน แห่งศรัทธา” (ค.พ. 42:14)…

หากเราแสวงหาอย่างตั้งใจ เราจะเข้าไปในมิติทางวิญญาณจนได้รับคำตอบซึ่งเป็น หลักประกันว่าสิงที่เราจะได้รับไม่ใช่แค่พรที่ยิ่งใหญ่เท่านั้น แต่ได้รับพยานที่เลิศลํ้า ในใจเราด้วยว่าการกระทำ ชีวิต และงานของเรามีตราประทับที่แสดงถึงการยอมรับ ของพระเจ่าและพระผู้สร้ไงของเราทุกคน10

ภาพ
Samuel hearing the Lord's voice

เราฑำอะไรได้บ้างเพื่อจะรับการเปีดเผยส่วนตัวจากพระเจ้า?

สิงสำคัญที่สุดที่ท่านทำได้คือ จงเรียนรู้ที่จะพูดกับพระผู้เป็นเจ้า พูดกับพระองค์ อย่างที่ท่านจะพูดกับคุณพ่อของท่าน เพราะพระองค์ทรงเป็นพระบิดาของท่าน และ ทรงประสงค์ให้ท่านพูดกับพระองค์ พระองค์ทรงประสงค์ให้ท่านแกหูที่จะฟ้ง เมื่อประ ทานการกระตุ้นเตือนของพระวิญญาณเพื่อบอกท่านว่าจะทำอะไร หากท่านเรียนรู้ที่ จะเอาใจใส่ความคิดฉับพลันที่มาสู่ใจท่าน ท่านจะพบว่าสิงนั้นผ่านเข้ามาในยามที่ ท่านต้องการ หากท่านจะแกหูเพื่อให้ใดํย้นการกระตุ้นเตือนเหล่านี้ ท่านก็ได้เรียนรู้ ที่จะดำเนินชีวิตโดยวิญญาณแห่งการเป็ดเผย11

เราจะพัฒนาคุณลักษณะทางวิญญาณในนิสัยของเราเพื่อจะท่าภารกิจทางโลกได้สม บูรณ์มากขึ้น และประสานสอดคล้องกับอำนาจอันไรีชีดจำกัด [ของพระผู้เป็นเจ้า] ได้ อย่างไร…?

แอมันตอบคำถามนี้ส่วนหนึ่งว่า “แท้จริงแล้ว ผู้ที่กลับใจและแสดงศรัทธา และน่า งานดีออกมา และสวดอ้อนวอนสมื่าเสมอโดยไม่หยุด-จะประทานให้แก่คนเซ่นนั้น เพื่อรู้ความลับลึกของพระผู้เป็นเจ้า…” (แอลมา 26:22)

เดวิด ผู้เขียนสดุดี เรียนรู้ตั้งแต่วัยหนุ่มถึงที่มาของพลังทางวิญญาณ พระวิญญาณ กระซิบว่า “จงนึ่งเลึย และรู้เถอะว่าเราคือพระเจ้า…พระเจ้าของยาโคบทรงเป็นที่ลี้ภัย ของพวกเรา” (สดุดี 46:10-11)

ศาสดาแต่โบราณกาลเรียนรู้วิธีติดต่อกับพระเจ้าโดยการสวดอ้อนวอน ดังที่ทุก คนต้องรู้ เพื่อพูดกับพระเจ้าแล้วได้รับคำตอบหลังจากนั้นในวิธีของพระองค์…

พระเจ้ารับสั่งกับศาสดาเอลึยาห้ว่า “จงออกไปเถิด ไปยืนอยู่บนภูเขาต่อพระพักตร์ พระเจ้า และดูเถิด พระเจ้าทรงผ่านไป และลมใหญ่อันแรงกล้าได้พัดพังภูเขา และ ท่าให้หินแตกเป็นก้อนๆ ต่อพระพักตร์พระเจ้า แต่พระเจ้ามิได้สถิตในลมนั้น ภาย หลังลมก็แผ่นดีนไหว แต่พระเจ้าหาทรงสถิตในแผ่นคืนไหวนั้นไม่

“ภายหลังแผ่นดินไหวก็เกิดไฟ แต่พระเจ้าหาทรงสถิตในไฟนั้นไม่ ภายหลังไฟก็ มีเสียงเบา ๆ

“และเมื่อเอลึยาหํได้ยืน ท่านก็เอาผ้าคลุมหน้าไว้ ออกไปยืนอยู่ที่ปากถา…” (1 พงค์กษัตริย์ 19:11-13)

เกือบจะทุกครั้งที่พระผู้เป็นเจ้าตรัสด้วยสุรเสิยงเบา ๆ ดังที่พระองค์ตรัสกับเอลือาห้ในถ1า เราอาจไม่ได้ยืนกับหูเพราะคลี่นของเราอาจไม่ตรงกับพระผู้เป็นเจ้า เหมือนวิทยุที่เกิดขัดข้อง

…ปัจจุบันนี้ก็เซ่นกัน ชายหญิงมักจะดำเนินชีวิตออกห่างจากเรื่องทางวิญญาณจน เมื่อพระเจ้าตรัสกับโสตประสาททางกายภาพของเขากับใจเขา ด้วยเสียงที่ไม่สามารถ ได้ยิน หรือโดยผ่านทางผู้รับใซ้ที่ได้รับมอบอำนาจของพระองค์เมื่อได้รับการนำทาง จากพระวิญญาณ ซึ่งเป็นดังสุรเสียงของพระองค์เอง เขาจะได้ยินแต่เสียงอึกทึกเซ่น เดียวกับคนที่เจรูซาเล็ม เขาไม่ได้ปัญญาที่เป็นการดลใจ ทั้งไม่ได้รับการรับรองภาย ในใจว่า พระดำริพระเจ้าได้ตรัสผ่านผู้นำที่เป็นศาสดาของพระองค์

…อึบัส หลานของลีไฮ ช่วยให้เราเข้าใจว่าทำไมบางคนจึงได้รับความรู้เรื่องพระผู้ เป็นเจ้าขณะที่คนอื่นไม่ได้รับ อึนัสพูดถึงการดิ้นรนของท่านเพื่อได้รับการอภัยบาป ซึ่งจะทำให้ท่านมีค่าควรต่อการเรียกอันสูงส่งของท่าน

ท่านสรุปต่อจากนั้นว่า “และขณะที่ข้าพเจ้ากำลังดิ้นรนอยู่ดังนั้นในวิญญาณ ดูเถิด สุรเสียงของพระเจ้ามาในจิตใจข้าพเจ้าอึก โดยตรัสว่า: เราจะเยือนพี่น้องของเจ้าตาม ความพากเพียรของเขาในการรักษาบัญญัติของเรา…” [อึบัส 1:10]

ด้วยภาษาที่เรียบง่ายในข้อนี้ ท่านมีหลักธรรมอันยิ่งใหญ่ คือ พระเจ้ามีได้ทรงปีด กั้นพระองค์จากเรา แต่เราเองต่างหากที่ปีดกั้นตัวเราจากพระองค์เนื่องด้วยความล้ม เหลวของเราในการรักษาพระบัญญัติของพระองค์12

เมื่อเราทูลขอพรจากพระเจ้า เราต้องแน่ใจว่าเราท่าตัวให้มีค่าควรที่จะได้รับสิงที่ เราทูลขอ13

ท่านไม่อยากจะดำเนินชีวิตจนเมื่อพระผู้เป็นเจ้าตรัส ท่านจะสามารถได้ยิน หรือมี ค่าควรที่จะได้รับการเยือนจากเทพ หรือพร้อมที่จะ เข้าไปในที่ประทับของพระเจ้า หรอกหรือ? พระเจ้าทรงบอกเราว่าเราจะพร้อมได้อย่างไร ต่อไปนี้เป็นพระดำรัสที่ พระองค์ตรัสไร้ในการเป็ดเผยที่ยิ่งใหญ่ “ตามจริงแล้ว พระเจ้าตรัสดังนี้: เหตุการณ์ จะบังเกิดขึ้น คือ ทุกคนที่ทิ้งบาปของเขาและมาหาเรา และเรียกหานามของเรา และ เชื่อฟังเสียงของเรา และรักษาบัญญัติของเรา จะเห็นหน้าของเราและรู้ว่าเราเป็นอยู่” (ค.พ. 93:1)

เมื่อสุรเสียงจากสวรรค์มาถึงผู้คนในแผ่นดินอุดมมั่งคั่ง พวกเขาหาได้ยินไม่ แต่ เป็นเพียงเสียงอึกทึกวุ่นวายสำหรับพวกเขา และเมื่อเขาปรับใจแล้ว เขาได้ยินแต่หา เข้าใจไม่ เมื่อเขาจดจ่ออยู่กับเสียงนั้นด้วยสุดจิตสุดใจของเขา เขาก็สามารถเข้าใจได้ (ดู 3 นิไฟ 11:3-5)14

พระผู้เป็นเจ้าทรงขอให้เราทุกคนดำเนินชีวิตจนเราสามารถติดต่อกับพระผู้เป็น เจ้าได้ โดยผ่านพระวิญญาณบรืสุทขึ้ และรู้อย่างไม่สงสัยว่าพระองค์ทรงพระชนม์ และพร้อมเข้าส่ที่ประทับของพระองค์ลักวันหนึ่ง15

ข้อแนะน่าสำหรับการสืกษาและการสนทนา

  • เราอาจจะได้รับการเปีดเผยเรื่องใด? เราจะท่าให้ตนเองสามารถได้ยินสุรเสียงของ พระเจ้าและ “เติบโตในหลักธรรมแห่งการเขตเผย” มากขึ้นได้อย่างไร?

  • มีวิธีใดบ้างที่เราจะได้รับการเขตเผยผ่านสุรเสียงเบาๆ ของพระวิญญาณ?

  • อะไรคือความแตกต่างระหว่างการกล่าวคำสวดอ้อนวอน กับการพูดกับพระผู้เป็น เจ้า? การสวดอ้อนวอน “ด้วยเจตนาแท้จริง” หมายความว่าอะไร? (โมโรไน 10:4)

  • การรู้ว่าท่านเป็นบุตรหรือธิดาของพระผู้เป็นเจ้าส่งผลต่อวิธีที่ท่านสวดอ้อนวอนถึง พระองค์อย่างไร? ความรู้ด้งกล่าวท่าให้ท่านสามารถวางใจในพระองค์ได้อย่างไร?

  • เมื่อท่านต้องเผชิญกับการตัดสินใจที่สำคัญ ๆ ท่านควรท่าอะไรเพื่อไห่ได้รับการน่า ทางจากพระเจ้า? ทำไมการทำตามการกระตุ้นเตือนของพระวิญญาณจึงต้องใช้ ความกล้าหาญ?

  • บางครั้ง เรา “ขดกั้นตนเอง” จากพระบิดาบนสวรรค์อย่างไร? เราจะใกล้ชิดพระ องค์ตลอดเวลาในชีวิตและในครอบครัวของเราได้อย่างไร

อ้างอิง

  1. Stand Ye in Holy Places (1974), 139.

  2. In Conference Report, Oct. 1966, 115; or Improvement Era, Dec. 1966, 1142.

  3. Stand Ye in Holy Places, 138-42, 144-45.

  4. คำปราศรัยเรื่อง “How Primary Teachers Can Strengthen Their Testimonies,” ในการประชุมใหญ่ปฐมวัยประจำปีครั้งที่ 47 วันที่ 3 เมษายน 1953 เอกสารสำคัญ ของแผนกประวัติศาสตร์ ศาสนาจักรของ พระเยซูคริสต์แห่งสิทธิชนยุคสุดท้าย หน้า 6-7

  5. “To Be on Speaking Terms with God,” Salt Lake Institute of Religion devotional, 12 Oct. 1973, Historical Library files, The Church of Jesus Christ of Latter-day Saints, 4-5, 7.

  6. คำปราศรัยในการประชุมใหญ่สอซาน สวิสเซอร์แลนต์ วันที่ 26 กันยายน 1972 เอกสารสำคัญของแผนกประวัติศาสตร์ ศาสนาจักรของพระเยซูคริสต์แห่งสิทธิซน ยุคสุดท้าย หน้า 2

  7. The Teachings of Harold B. Lee, ed. Clyde J. Williams (1996), 126.

  8. Qualities of Leadership, address to the Latter-day Saint Student Association convention, Aug. 1970, 5.

  9. คำปราศรัยเรื่อง “Cram for Life’s Final Examination,” ที่มหาวิทยาลัยบริคัม ยัง วันที่ 5 มกราคม 1954 เอกสารสำคัญของ แผนกประวัติศาสตร์ ศาสนาจักรของพระเยซูคริสต์แห่งสิทธิซนยุคสุดท้ายหน้า 9

  10. Ye Are the Light of the World (1974), 115, 120.

  11. The Teachings of Harold B. Lee, 130.

  12. In Conference Report, Oct. 1966, 115-17; or Improvement Era, Dec. 1966, 1142-43.

  13. The Teachings of Harold B. Lee, 129.

  14. The Teachings of Harold B. Lee, 429.

  15. In Conference Report, Oct. 1966, 119; or Improvement Era, Dec. 1966, 1144.