เซมินารี
บทที่ 3: การละทิ้งความเชื่อครั้งใหญ่


บทที่ 3

การละทิ้งความเชื่อครั้งใหญ่

คำนำ

พระเยซูคริสต์ทรงสถาปนาศาสนจักรของพระองค์ระหว่างการปฏิบัติศาสนกิจบนแผ่นดินโลก “หลังจากพระคริสต์เสด็จขึ้นสู่สวรรค์อัครสาวกยังคงใช้กุญแจที่พระองค์ทรงมอบไว้กับพวกท่าน แต่เนื่องจากการไม่เชื่อฟังและการสูญเสียศรัทธาของสมาชิก อัครสาวกทั้งหลายจึงสิ้นชีวิตโดยไม่ได้มอบกุญแจต่อไปยังผู้สืบทอด เราเรียกเหตุการณ์เศร้าสลดนั้นว่า ‘การละทิ้งความเชื่อ’” (เฮนรีย์ บี. อายริงก์, “ศาสนจักรที่แท้จริงและดำรงอยู่,” เลียโฮนา, พ.ค. 2008, 24) เพราะการละทิ้งความเชื่ออย่างกว้างขวางนี้ พระเจ้าจึงทรงนำสิทธิอำนาจฐานะปุโรหิตไปจากผู้คน การเข้าใจเรื่องการละทิ้งความเชื่อครั้งใหญ่ช่วยให้เราเข้าใจความจำเป็นของการฟื้นฟูพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ในยุคสุดท้ายดีขึ้น

ข้อเสนอแนะสำหรับการสอน

หมายเหตุ: เพราะบทนี้เสนอให้ใช้อุปกรณ์และรูปภาพเป็นสื่อการสอน ท่านจึงต้องเตรียมบางอย่างล่วงหน้า สิ่งที่ต้องเตรียมได้แก่ อะไหล่บางชนิดและรูปภาพต่อไปนี้ พระคริสต์ทรงแต่งตั้งอัครสาวก (หนังสือภาพพระกิตติคุณ [2009], หน้า 38; ดู LDS.org ด้วย) เยาวชนชายรับบัพติศมา (ภาพที่ 103), ของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ (ภาพที่ 105) การให้พรศีลระลึก (ภาพที่ 107) และ คู่หนุ่มสาวไปพระวิหาร (ภาพที่ 120)

ภาพ
พระคริสต์ทรงแต่งตั้งอัครสาวก
ภาพ
เยาวชนชายรับบัพติศมา
ภาพ
ของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์
ภาพ
การให้พรศีลระลึก
ภาพ
คู่หนุ่มสาวไปพระวิหาร

พระเยซูคริสต์ทรงสถาปนาศาสนจักรของพระองค์เมื่อทรงพระชนม์บนแผ่นดินโลก

นำอะไหล่ที่จำเป็นต้องใช้กับเครื่องยนต์มาชั้นเรียนหรือชิ้นส่วนอุปกรณ์ที่ช่วยให้เครื่องทำงาน (อาทิ สายไฟจากเครื่องใช้ไฟฟ้าหรือคอมพิวเตอร์ โซ่หรือล้อจักรยาน หรือหัวเทียนจากรถยนต์) ให้นักเรียนดูอะไหล่ชิ้นนั้นแล้วถามว่าเป็นอะไหล่ของอะไรและใช้ทำอะไร (ถ้าท่านไม่มีอะไหล่ของจริง ให้วาดบนกระดาน)

  • เกิดอะไรขึ้นเมื่ออะไหล่ชิ้นนี้หายไปจากเครื่องมือนั้น

  • ตัวอย่างนี้เปรียบกับศาสนจักรของพระเยซูคริสต์ได้อย่างไร (ศาสนจักรของพระเยซูคริสต์มีส่วนประกอบที่จำเป็น หากปราศจากส่วนประกอบเหล่านี้ศาสนจักรย่อมไม่สามารถทำหน้าที่หรือดำรงอยู่ได้)

ขอให้นักเรียนเริ่มคิดว่าส่วนใดของศาสนจักรจำเป็นต่อการทำหน้าที่มอบความรอดให้แก่ชาวโลก เขียนหัวข้อ องค์ประกอบที่จำเป็นของศาสนจักรของพระเยซูคริสต์ ไว้บนกระดาน

เชิญนักเรียนคนหนึ่งอ่านออกเสียง เอเฟซัส 2:19–22 ขอให้ชั้นเรียนดูตามและระบุรากฐานที่พระเยซูคริสต์ทรงสร้างศาสนจักรบนนั้นในช่วงการปฏิบัติศาสนกิจขณะทรงเป็นมรรตัย (ท่านอาจต้องการบอกเลขหน้าเพื่อช่วยให้นักเรียนพบข้อพระคัมภีร์พันธสัญญาใหม่ที่พวกเขาจะอ่านในช่วงบทนี้) ขณะนักเรียนรายงานสิ่งที่พบ ให้เขียนความจริงต่อไปนี้ใต้หัวข้อบนกระดาน: อัครสาวกและศาสดาพยากรณ์วางราฐานศาสนจักรของพระเยซูคริสต์ ท่านอาจต้องการเสนอแนะให้นักเรียนทำเครื่องหมายวลีใน เอเฟซัส 2:20 ที่สอนความจริงนี้

  • ท่านคิดว่าเหตุใดเราจึงถือว่าอัครสาวกและศาสดาพยากรณ์เป็น “รากฐาน” ของศาสนจักร

เพื่อช่วยนักเรียนระบุองค์ประกอบที่จำเป็นอีกอย่างหนึ่งของศาสนจักรของพระเยซูคริสต์ ให้ดูภาพ พระคริสต์ทรงแต่งตั้งอัครสาวก (หนังสือภาพพระกิตติคุณ, ภาพที่ 38) ขอให้นักเรียนคนหนึ่งอธิบายว่าเกิดอะไรขึ้นในภาพ จากนั้นให้เชิญนักเรียนคนหนึ่งอ่านออกเสียง มาระโก 3:13–14 ขอให้ชั้นเรียนดูตามและระบุองค์ประกอบอีกอย่างหนึ่งของศาสนจักรที่จำเป็นต่อความรอดของบุตรธิดาพระผู้เป็นเจ้า หลังจากนักเรียนรายงานสิ่งที่พบแล้ว ให้เขียนความจริงต่อไปนี้ไว้บนกระดาน: สิทธิอำนาจฐานะปุโรหิตจำเป็นต่อการได้รับศาสนพิธีและพันธสัญญาแห่งความรอด

อธิบายว่าก่อนพระผู้ช่วยให้รอดเสด็จจากแผ่นดินโลก พระองค์ประทานสิทธิอำนาจให้เหล่าอัครสาวกกำกับดูแลศาสนจักรและกระทำในพระนามของพระผู้เป็นเจ้าเพื่อความรอดของบุตรธิดาพระองค์

เชิญนักเรียนคนหนึ่งอ่านออกเสียงคำกล่าวต่อไปนี้ของเอ็ลเดอร์ดี. ทอดด์ คริสทอฟเฟอร์สันแห่งโควรัมอัครสาวกสิบสอง ขอให้ชั้นเรียนระบุองค์ประกอบที่จำเป็นอีกอย่างหนึ่งของศาสนจักรที่แท้จริง

ภาพ
เอ็ลเดอร์ดี. ทอดด์ คริสทอฟเฟอร์สัน

“ความจริงและหลักคำสอนที่เราได้รับมาถึงเราโดยการเปิดเผยจากสวรรค์และจะมีมาอย่างต่อเนื่อง ในบางประเพณีความเชื่อ … ประเด็นหลักคำสอนอาจกลายเป็นข้อถกเถียงทางความคิด … แต่ในศาสนจักรทุกวันนี้เช่นเดียวกับสมัยโบราณ การสถาปนาหลักคำสอนของพระคริสต์หรือการแก้ไขความคลาดเคลื่อนของหลักคำสอนเป็นเรื่องของการเปิดเผยศักดิ์สิทธิ์ต่อผู้ที่พระเจ้าทรงประสาทสิทธิอำนาจการเป็นอัครสาวกให้” (“หลักคำสอนของพระคริสต์,” เลียโฮนา, พ.ค. 2012, 86)

  • ตามคำกล่าวของเอ็ลเดอร์คริสทอฟเฟอร์สัน อะไรคือบทบาทจำเป็นประการหนึ่งของศาสดาพยากรณ์และอัครสาวก (นักเรียนอาจใช้คำพูดต่างกัน แต่พวกเขาพึงระบุความจริงต่อไปนี้ อัครสาวกและศาสดาพยากรณ์สถาปนาหลักคำสอนที่ถูกต้องผ่านการเปิดเผยจากสวรรค์ ท่านอาจต้องเตือนนักเรียนว่า หลักคำสอน หมายถึงความจริงนิรันดร์ขั้นพื้นฐานของพระกิตติคุณของพระเยซูคริสต์ เพิ่มความจริงนี้เข้ากับรายการบนกระดาน)

ให้นักเรียนดูหลักคำสอนพื้นฐานที่พบในภาคผนวกของคู่มือเล่มนี้หรือในสมุดบันทึกการศึกษาพระคัมภีร์ของนักเรียน อธิบายว่านักเรียนเซมินารีจะต้องเข้าใจหลักคำสอนพื้นฐานลึกซึ้งขึ้นตลอดช่วงที่อยู่ในเซมินารี การทำเช่นนั้นจะช่วยพวกเขาเสริมสร้างประจักษ์พยานและเตรียมตนเองให้พร้อมสอนพระกิตติคุณแก่ผู้อื่น เชื้อเชิญให้นักเรียนมองหาหลักคำสอนเหล่านี้ระหว่างศึกษาพระคัมภีร์หลักคำสอนและพันธสัญญาปีนี้

เชื้อเชิญให้นักเรียนเลือกหลักคำสอนพื้นฐานหนึ่งอย่างที่มีความหมายต่อพวกเขา และขอให้นักเรียนสองสามคนอธิบายพอสังเขปว่าเหตุใดจึงเลือกหลักคำสอนนั้น

  • เหตุใดจึงจำเป็นต้องสอนหลักคำสอนที่แท้จริงในศาสนจักรของพระเจ้าและเข้าใจอย่างถูกต้อง (ขณะนักเรียนตอบ ท่านอาจต้องการแบ่งปันคำกล่าวต่อไปนี้ของประธานบอยด์ เค. แพคเกอร์แห่งโควรัมอัครสาวกสิบสอง “หลักคำสอนที่แท้จริงจะเปลี่ยนเจตคติและพฤติกรรม ถ้าเข้าใจ” [“Little Children,” Ensign, Nov. 1986, 17])

เพื่อช่วยให้นักเรียนนึกถึงองค์ประกอบที่จำเป็นอีกอย่างหนึ่งของศาสนจักรของพระเจ้า ให้ดูภาพ เยาวชนชายรับบัพติศมา (หนังสือภาพพระกิตติคุณ, ภาพที่ 103) ของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ (ภาพที่ 105) การให้พรศีลระลึก (ภาพที่ 107) และ คู่หนุ่มสาวไปพระวิหาร (ภาพที่ 120) ถามนักเรียนว่าบัพติศมา การยืนยัน ศีลระลึก และการผนึกมีอะไรเหมือนกัน (ทั้งหมดเป็นศาสนพิธี)

  • ศาสนพิธีคืออะไร (พิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ซึ่งกระทำโดยผู้มีสิทธิอำนาจฐานะปุโรหิต)

  • ท่านคิดว่าเหตุใดศาสนพิธีจึงเป็นส่วนจำเป็นของศาสนจักรของพระเยซูคริสต์ (เพื่อช่วยนักเรียนตอบคำถามนี้ ท่านอาจต้องการเชื้อเชิญให้พวกเขาอ่าน ยอห์น 3:5 ถามพวกเขาว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าไม่มีหนทางให้พวกเขารับบัพติศมา เน้นว่าศาสนพิธีแห่งความรอดทั้งหมดของฐานะปุโรหิตมีพันธสัญญาควบคู่มาด้วย ซึ่งคือข้อตกลงอันศักดิ์สิทธิ์กับพระผู้เป็นเจ้า)

เป็นพยานว่า ในศาสนจักรของพระเยซูคริสต์เราสามารถรับศาสนพิธีที่จำเป็นต่อความรอดของเรา เพิ่มความจริงนี้เข้ากับรายการบนกระดาน

อธิบายว่าหลังจากพระเยซูคริสต์สิ้นพระชนม์ พระองค์ฟื้นคืนพระชนม์ และพระองค์เสด็จขึ้นสู่สวรรค์ พระองค์ไม่ทรงอยู่นำศาสนจักรบนแผ่นดินโลกอีก ถึงแม้พระองค์ไม่ประทับบนแผ่นดินโลกแต่ พระเยซูคริสต์ทรงนำและนำทางเหล่าอัครสาวกผ่านการเปิดเผย ภายใต้การนำของเหล่าอัครสาวก ศาสนจักรสมัยโบราณแพร่ออกไปอย่างรวดเร็วและมีผู้รับบัพติศมาหลายพันคน ที่ประชุมของวิสุทธิชนตั้งอยู่ทั่วจักรวรรดิโรมันส่วนใหญ่ เอ็ลเดอร์ อธิการ มัคนายก ปุโรหิต ผู้สอน และผู้ประกาศข่าวประเสริฐ (ผู้ประสาทพร) ได้รับเรียกและได้รับสิทธิอำนาจฐานะปุโรหิตจากอัครสาวก

การละทิ้งความเชื่อครั้งใหญ่เกิดขึ้นในช่วงหลายศตวรรษหลังจากการปฏิบัติศาสนกิจขณะทรงเป็นมรรตัยของพระเจ้า

เขียนความจริงต่อไปนี้ไว้บนกระดาน: การละทิ้งความเชื่อเกิดขึ้นเมื่อผู้คนหันไปจากหลักคำสอนที่แท้จริงของพระกิตติคุณและปฏิเสธผู้รับใช้ที่ได้รับมอบอำนาจจากพระเจ้า

อธิบายว่าการละทิ้งความเชื่อทั่วไปเกิดขึ้นหลายช่วงตลอดประวัติศาสตร์ของโลก ตัวอย่างหนึ่งคือการละทิ้งความเชื่อครั้งใหญ่ ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากพระผู้ช่วยให้รอดทรงสถาปนาศาสนจักรของพระองค์ (ดู 2 เธสะโลนิกา 2:1–3 หลังจากเหล่าอัครสาวกของพระผู้ช่วยให้รอดสิ้นชีวิต หลักธรรมของพระกิตติคุณแผลงไป มีคนเปลี่ยนแปลงการจัดวางระเบียบศาสนจักรและศาสนพิธีฐานะปุโรหิตโดยไม่ได้รับมอบอำนาจ (ดู แน่วแน่ต่อศรัทธา: ศัพทานุกรมพระกิตติคุณ (2004), 66–67)

เขียนพระคัมภีร์อ้างอิงต่อไปนี้ไว้บนกระดาน: กิจการของอัครทูต 12:1–3; 2 ทิโมธี 4:3–4; 2 เปโตร 2:1–2.

อธิบายว่าแม้อัครสาวกจะพยายามเพียงใด ศาสนจักรยุคแรกก็ยังถูกคุกคาม แบ่งชั้นเรียนออกเป็นสามกลุ่ม เชื้อเชิญให้แต่ละกลุ่มศึกษาพระคัมภีร์หนึ่งข้อบนกระดาน โดยมองหาสิ่งที่คุกคามศาสนจักร (สำหรับคนที่อ่าน กิจการของอัครทูต 12:1–3ท่านอาจต้องชี้แจงว่ายากอบและเปโตรเป็นอัครสาวก) หลังจากให้เวลาพอสมควรแล้ว ให้เชิญนักเรียนกลุ่มละคนรายงานสิ่งที่กลุ่มของตนพบ

  • ท่านคิดว่าเหตุใดการคุกคามเหล่านี้จึงเป็นอันตรายต่อศาสนจักร

เชิญนักเรียนคนหนึ่งอ่านคำกล่าวต่อไปนี้ของประธานบอยด์ เค. แพคเกอร์แห่งโควรัมอัครสาวกสิบสองผู้พูดเรื่องการสูญเสียครั้งใหญ่ที่ศาสนจักรสมัยพันธสัญญาใหม่ประสบในช่วงนี้

ภาพ
ประธานบอยด์ เค. แพคเกอร์

“ยากอบถูกเฮโรดสังหารในเยรูซาเล็ม เปโตรกับเปาโลสิ้นชีวิตในโรม ตามที่เชื่อสืบกันมา ฟีลิปไปตะวันออก นอกเหนือจากนี้เราไม่ทราบ

“พวกท่านกระจายกันไป พวกท่านสอน เป็นพยาน และสถาปนาศาสนจักร พวกท่านสิ้นชีวิตเพราะความเชื่อของพวกท่าน หลังจากมรณกรรมของพวกท่านจึงเกิดศตวรรษมืดของการละทิ้งความเชื่อ” (“อัครสาวกสิบสอง,” เลียโฮนา, พ.ค. 2008, 101)

เชิญนักเรียนอีกคนหนึ่งอ่านคำอธิบายของประธานแพคเกอร์เกี่ยวกับการสูญเสียครั้งสำคัญที่สุดอันเนื่องจากการละทิ้งความเชื่อครั้งใหญ่

ภาพ
ประธานบอยด์ เค. แพคเกอร์

“สิ่งล้ำค่าที่สุดที่สูญเสียไปในการละทิ้งความเชื่อคือสิทธิอำนาจที่อัครสาวกดำรงอยู่—กุญแจทั้งหลายของฐานะปุโรหิต เพื่อให้ศาสนจักรเป็นศาสนจักร ของพระองค์ จึงต้องมีโควรัมอัครสาวกสิบสองผู้ถือกุญแจทั้งหลายและประสาทกุญแจเหล่านั้นให้ผู้อื่น” (“อัครสาวกสิบสอง,” 102)

  • การสูญเสียสิทธิอำนาจฐานะปุโรหิตจะมีผลต่อองค์ประกอบที่จำเป็นอื่นๆ ของศาสนจักรอย่างไร

  • มีวิธีให้ผู้คนบูรณะศาสนจักรหรือไม่หากปราศจากอัครสาวกและศาสดาพยากรณ์ สิทธิอำนาจฐานะปุโรหิต หรือความรู้ที่ถูกต้องเกี่ยวกับหลักคำสอนของพระเยซูคริสต์ เหตุใดจึงมีผลหรือเหตุใดจึงไม่มี

เชิญนักเรียนคนหนึ่งอ่านใจความสรุปประวัติศาสตร์ของประธานแพคเกอร์ดังนี้

ภาพ
ประธานบอยด์ เค. แพคเกอร์

“เมื่อหลายศตวรรษผ่านไป เปลวไฟริบหรี่มืดมัว ศาสนพิธีเปลี่ยนไปหรือไม่ก็ถูกยกเลิก สายอำนาจถูกตัดขาด และสิทธิอำนาจที่จะมอบของประทานแห่งพระวิญญาณบริสุทธิ์หมดสิ้น ยุคมืดของการละทิ้งความเชื่อมีอยู่ทั่วโลก” (“เปลวไฟสัณฐานเหมือนลิ้น,” เลียโฮนา, ก.ค. 2000, 8)

  • ท่านคิดว่าเหตุใดจึงสำคัญที่ต้องเข้าใจการละทิ้งความเชื่อครั้งใหญ่และผลของมัน (ถึงแม้นักเรียนจะระบุเหตุผลต่างกัน แต่ให้เน้นว่าการเข้าใจการละทิ้งครั้งใหญ่นี้ช่วยให้เราตระหนักว่า การฟื้นฟูหลักคำสอนและสิทธิอำนาจของพระเยซูคริสต์จำเป็นต่อการเอาชนะผลของการละทิ้งความเชื่อครั้งใหญ่)

อธิบายว่าถึงแม้จะไม่มีการละทิ้งความเชื่อโดยทั่วไปจากความจริงอีก แต่เราต้องระวังการละทิ้งความเชื่อส่วนตัวโดยรักษาพันธสัญญา เชื่อฟังพระบัญญัติ ทำตามผู้นำศาสนจักร รับส่วนศีลระลึก และเสริมสร้างประจักษ์พยานของเราอยู่เสมอผ่านการศึกษาพระคัมภีร์ทุกวัน สวดอ้อนวอน และรับใช้ (ดู แน่วแน่ต่อศรัทธา 66–67) สรุปโดยเป็นพยานถึงความรักที่พระบิดาบนสวรรค์ทรงมีต่อบุตรธิดาของพระองค์ ความเป็นจริงของการละทิ้งความเชื่อครั้งใหญ่ และของประทานอันสำคัญยิ่งของการฟื้นฟูพระกิตติคุณ

บทวิจารณ์และข้อมูลภูมิหลัง

การละทิ้งความเชื่อเกิดขึ้นเพราะการไม่เชื่อฟังและการสูญเสียศรัทธา

ประธานเฮนรีย์ บี. อายริงก์ แห่งฝ่ายประธานสูงสุดอธิบายว่าเหตุผลหนึ่งที่การละทิ้งความเชื่อเกิดขึ้นคือการขาดศรัทธาในหมู่สมาชิกศาสนจักร

ภาพ
ประธานเฮนรีย์ บี. อายริงก์

“ผู้คนของพระผู้เป็นเจ้าไม่ได้มีค่าควรเสมอไปกับประสบการณ์อันน่าอัศจรรย์ที่เราได้แบ่งปันวันนี้ หลังจากพระคริสต์เสด็จขึ้นสู่สวรรค์ อัครสาวกยังคงใช้กุญแจที่พระองค์ทรงมอบให้พวกท่าน แต่เพราะการไม่เชื่อฟังและการสูญเสียศรัทธาของสมาชิก อัครสาวกทั้งหลายจึงสิ้นชีวิตโดยไม่ได้ส่งมอบกุญแจให้ผู้สืบตำแหน่ง เราเรียกเหตุการณ์เศร้าสลดนั้นว่า ‘การละทิ้งความเชื่อ’ หากสมาชิกของศาสนจักรในสมัยนั้นมีโอกาสและมีความประสงค์จะใช้ศรัทธาเหมือนที่ท่านมีในวันนี้ พระเจ้าจะไม่ทรงนำกุญแจของฐานะปุโรหิตไปจากแผ่นดินโลก ดังนั้นนี่จึงเป็นวันที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และมีความสำคัญนิรันดร์ในประวัติศาสตร์ของโลกและต่อบุตรธิดาของพระบิดาบนสวรรค์ของเรา

“บัดนี้หน้าที่ของเราคือมีค่าควรต่อศรัทธาที่จำเป็นต่อการทำตามสัญญาของเราว่าจะสนับสนุนผู้ที่ได้รับเรียก พระเจ้าพอพระทัยมากกับศาสนจักรเมื่อเริ่มการฟื้นฟู เช่นเดียวกับที่พระองค์พอพระทัยในวันนี้ แต่พระองค์ทรงเตือนสมาชิกในสมัยนั้น เช่นเดียวกับที่ทรงเตือนในสมัยนี้ว่า พระองค์ไม่สามารถมองดูบาปด้วยระดับความยินยอมแม้เล็กน้อยที่สุด เพื่อจะสนับสนุนผู้ได้รับเรียกในวันนี้ เราต้องสำรวจชีวิตเรา กลับใจหากจำเป็น สัญญาว่าจะรักษาพระบัญญัติของพระเจ้า และทำตามผู้รับใช้ของพระองค์ พระเจ้าทรงเตือนเราว่าหากไม่ทำสิ่งเหล่านั้น พระวิญญาณบริสุทธิ์จะทรงถอนพระองค์ เราจะสูญเสียความสว่างที่เราได้รับมา และเราจะไม่สามารถรักษาสัญญาที่เราทำไว้วันนี้ว่าจะสนับสนุนผู้รับใช้ของพระเจ้าในศาสนจักรที่แท้จริงของพระองค์” (“ศาสนจักรที่แท้จริงและดำรงอยู่,” เลียโฮนา, พ.ค. 2008, 24)

พระผู้เป็นเจ้าไม่ทรงหันพระปฤษฎางค์ให้บุตรธิดาของพระองค์ระหว่างการละทิ้งความเชื่อ

เอ็ลเดอร์เอ็ม. รัสเซลล์ บัลลาร์ดแห่งโควรัมอัครสาวกสิบสองสอนว่าแม้ในช่วงเวลาของความมืดและการละทิ้งความเชื่อ พระบิดาบนสวรรค์ไม่ทรงหันพระปฤษฎางค์ให้บุตรธิดาของพระองค์

ภาพ
เอ็ลเดอร์เอ็ม. รัสเซลล์ บัลลาร์ด

“ในช่วงเวลาสั้นๆ ของวันเวลาที่ครอบคลุมพันธสัญญาใหม่ … ผู้คนหันมาต่อต้านพระคริสต์และอัครสาวก ความเสื่อมถอยใหญ่หลวงถึงขนาดที่เรารู้ว่าเป็นการละทิ้งความเชื่อครั้งใหญ่ซึ่งนำไปสู่ความชะงักงันและความเขลาทางวิญญาณนานหลายศตวรรษที่เรียกว่ายุคมืด

“ข้าพเจ้าจำเป็นต้องอธิบายช่วงประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเหล่านี้ของการละทิ้งความเชื่อและความมืดทางวิญญาณ พระบิดาบนสวรรค์ทรงรักบุตรธิดาทุกคนของพระองค์ และทรงต้องการให้ทุกคนมีพรของพระกิตติคุณในชีวิต แสงสว่างทางวิญญาณไม่ได้หายไปเพราะพระผู้เป็นเจ้าทรงหันพระปฤษฎางค์ให้บุตรธิดาของพระองค์ แต่ความมืดทางวิญญาณเกิดจากการที่บุตรธิดาของพระองค์หันหลังให้พระองค์ นี่เป็นผลพวงจากการเลือกผิดของบุคคล ชุมชน ประเทศชาติ และอารยธรรมทั้งปวง ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นครั้งแล้วครั้งเล่าตลอดเวลาที่ผ่านมา บทเรียนสำคัญบทหนึ่งของรูปแบบทางประวัติศาสตร์ดังกล่าวคือ การเลือกของเราทั้งโดยส่วนตัวและโดยรวมส่งผลทางวิญญาณต่อตัวเราเองและลูกหลานของเรา” (“เรียนบทเรียนจากอดีต,” เลียโฮนา, พ.ค. 2009, 38)