เซมินารี
บทที่ 138: หลักคำสอนและพันธสัญญา 131


บทที่ 138

หลักคำสอนและพันธสัญญา 131

คำนำ

หลักคำสอนและพันธสัญญา 131 เป็นการรวบรวมหลักธรรมที่โจเซฟ สมิธสอนขณะอยู่ในเมืองเรมัส รัฐอิลลินอยส์วันที่ 16–17 พฤษภาคม ค.ศ. 1843 ท่านสอนเกี่ยวกับพันธสัญญาใหม่และเป็นนิจของการแต่งงานและสัญญาเรื่องชีวิตนิรันดร์สำหรับคนซื่อสัตย์ ท่านสอนด้วยว่าวิญญาณทั้งปวงเป็นสสาร

ข้อเสนอแนะสำหรับการสอน

หลักคำสอนและพันธสัญญา 131:1–4

โจเซฟ สมิธสอนเกี่ยวกับความสำคัญของพันธสัญญาการแต่งงานนิรันดร์

ให้นักเรียนดู กุญแจที่ใช้รหัสปิดเปิด ท่านอาจจะใช้กุญแจดังกล่าวคล้องฝาหีบ ถ้าไม่มี ให้วาดรูปบนกระดาน เชิญนักเรียนชายคนหนึ่งและนักเรียนหญิงคนหนึ่งออกมาหน้าชั้น ให้กระดาษที่เขียนรหัสส่วนแรกแก่นักเรียนคนหนึ่ง ให้กระดาษที่เขียนรหัสที่เหลือแก่นักเรียนอีกคน หากท่านนำกุญแจที่ใช้รหัสปิดเปิดมาชั้นเรียน ขอให้นักเรียนคนหนึ่งเปิดโดยไม่ต้องให้นักเรียนอีกคนช่วย จากนั้นให้พวกเขาช่วยกันเปิด

ภาพ
กุญแจที่ใช้รหัสปิดเปิด

เขียนคำถามต่อไปนี้ไว้บนกระดาน (หรือเขียนใส่กระดาษไว้ในกล่องที่นักเรียนสองคนเพิ่งเปิด): หากกุญแจหมายถึงทางเข้าระดับสูงสุดของอาณาจักรซีเลสเชียล รหัสหมายถึงอะไร ขอให้นักเรียนมองหาคำตอบของคำถามนี้ขณะพวกเขาศึกษา หลักคำสอนและพันธสัญญา 131

อธิบายว่าวันที่ 16 พฤษภาคม ค.ศ. 1843 โจเซฟ สมิธเดินทางไปเมืองเรมัส รัฐอิลลินอยส์ ขณะอยู่ที่บ้านของเบ็นจามินกับเมลิสซา จอห์นสัน ท่านประกอบพิธีผนึกพวกเขาเป็นสามีภรรยากันชั่วนิรันดร์ ท่านสอนพวกเขาด้วยว่าการแต่งงานนิรันดร์เกี่ยวข้องอย่างไรกับอาณาจักรซีเลสเชียล ความจริงเหล่านี้บันทึกไว้ใน หลักคำสอนและพันธสัญญา 131:1–4 (ดู History of the Church, 5:391–392)

เชิญนักเรียนคนหนึ่งอ่านออกเสียง หลักคำสอนและพันธสัญญา 131:1 ขอให้ชั้นเรียนดูตามโดยมองหาความจริงที่ท่านศาสดาพยากรณ์เปิดเผยเกี่ยวกับอาณาจักรซีเลสเชียล

  • โจเซฟ สมิธเปิดเผยอะไรเกี่ยวกับอาณาจักรซีเลสเชียล

อธิบายว่าเรามักเรียกการได้รับรัศมีภาพระดับสูงสุดในอาณาจักรซีเลสเชียลว่าความสูงส่งหรือชีวิตนิรันดร์ เขียนคำว่า ความสูงส่ง บนกระดาน อธิบายว่าคนที่ได้รับรัศมีภาพซีเลสเชียลระดับนี้จะดำเนินชีวิตเหมือนพระบิดาบนสวรรค์ของเรา

เชื้อเชิญให้นักเรียนคนหนึ่ง อ่านออกเสียง หลักคำสอนและพันธสัญญา 131:2–4 ขอให้ชั้นเรียนมองหาสิ่งที่เราต้องทำเพื่อให้ได้อาณาจักรซีเลสเชียลระดับสูงสุด

  • เราต้องทำอะไรจึงจะได้อาณาจักรซีเลสเชียลระดับสูงสุด (นักเรียนควรระบุหลักคำสอนต่อไปนี้: เพื่อได้รับอาณาจักรซีเลสเชียลระดับสูงสุด เราต้องเข้าสู่พันธสัญญาใหม่และเป็นนิจของการแต่งงาน)

  • ท่านคิดว่าใน ข้อ 4 หมายความว่าอย่างไรถ้าเราไม่ได้รับการผนึกในพระวิหารโดยผู้มีสิทธิอำนาจที่ถูกต้อง เรา “จะมีการเพิ่มพูนไม่ได้” (เพื่อช่วยให้นักเรียนเข้าใจข้อนี้ ท่านอาจต้องอธิบายว่า การเพิ่มพูน หมายถึงโอกาสมีบุตรธิดาต่อไปในอาณาจักรซีเลสเชียล)

เพื่อช่วยให้นักเรียนเข้าใจวลี “พันธสัญญาใหม่และเป็นนิจของการแต่งงาน” ให้อธิบายว่า ใหม่ ในบริบทนี้หมายความว่าพันธสัญญานี้ได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาใหม่ในสมัยการประทานของเรา คำว่า เป็นนิจ หมายความว่าพันธสัญญาที่จำเป็นนี้จะคงอยู่ชั่วนิรันดร์ เตือนความจำนักเรียนว่าเราเข้าสู่พันธสัญญานี้ของการแต่งงานซีเลสเชียลในพระวิหาร)

  • ท่านคิดว่าการแต่งงานซีเลสเชียลระหว่างชายกับหญิงเตรียมพวกเขาให้พร้อมรับความสูงส่งในด้านใด

เชิญนักเรียนคนหนึ่งอ่านออกเสียงคำกล่าวต่อไปนี้ของเอ็ลเดอร์เดวิด เอ. เบดนาร์แห่งโควรัมอัครสาวกสิบสอง ขอให้ชั้นเรียนฟังว่าการแต่งงานช่วยเราเตรียมตัวให้พร้อมรับชีวิตนิรันดร์อย่างไร

ภาพ
เอ็ลเดอร์เดวิด เอ. เบดนาร์

“เหตุผลด้านหลักคำสอนที่ไม่อาจหักล้างได้สองข้อนี้ช่วยให้เราเข้าใจว่าเหตุใดการแต่งงานนิรันดร์จึงจำเป็นอย่างยิ่งต่อแผนของพระบิดา

“เหตุผลข้อ 1: ธรรมชาติทางวิญญาณของชายและหญิงทำให้แต่ละฝ่ายสมบูรณ์และดีพร้อม ดังนั้นจึงมีเจตจำนงให้ชายและหญิงเจริญก้าวหน้าไปสู่ความสูงส่งด้วยกัน …

“ตามแผนอันศักดิ์สิทธิ์ ชายและหญิงต้องเจริญก้าวหน้าไปสู่ความดีพร้อมและความสมบูรณ์แห่งรัศมีภาพด้วยกัน เนื่องจากนิสัยใจคอและความสามารถต่างกัน ชายและหญิงจึงต่างก็นำทัศนะและประสบการณ์เฉพาะตนมาสู่สัมพันธภาพของการแต่งงาน ชายกับหญิงให้สิ่งที่แตกต่างกันแต่เท่าเทียมกันเพื่อเอกภาพและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันที่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้ด้วยวิธีอื่น ชายทำให้หญิงสมบูรณ์และดีพร้อม หญิงทำให้ชายสมบูรณ์และดีพร้อมขณะพวกเขาเรียนรู้ เสริมสร้างความเข้มแข็ง และเป็นพรให้กัน …

“เหตุผลข้อ 2: ตามแผนของพระเจ้า ทั้งชายและหญิงจำเป็นต้องนำลูกๆ มาสู่ความเป็นมรรตัยและจัดหาสภาพแวดล้อมที่ดีที่สุดเพื่ออบรมสั่งสอนและเลี้ยงดูลูกๆ” (“การแต่งงานเป็นสิ่งจำเป็นในแผนนิรันดร์ของพระองค์,” เลียโฮนา, มิ.ย. 2006, 51–52; ยกเลิกตัวหนาและตัวเอน)

  • ตามที่เอ็ลเดอร์เบดนาร์กล่าว เหตุใดการแต่งงานระหว่างชายหญิงจึงจำเป็นต่อความสูงส่งของเรา

  • การเข้าใจหลักคำสอนที่ว่าการแต่งงานซีเลสเชียลจำเป็นต่อความสูงส่งมีผลอย่างไรต่อสิ่งที่ท่านมองหาคู่ครองในอนาคตของท่าน

  • เหตุใดจึงสำคัญที่คนวัยท่านจะทำให้การเตรียมตัวแต่งงานชั่วนิรันดร์ในพระวิหารเป็นเรื่องสำคัญที่สุด

ท่านอาจต้องการอธิบายว่าพรของความสูงส่งจะมีให้คนที่ไม่มีโอกาสสำหรับการแต่งงานซีเลสเชียลในชีวิตนี้ เชิญนักเรียนคนหนึ่งอ่านออกเสียงคำกล่าวต่อไปนี้จากหนังสือ แน่วแน่ต่อศรัทธา

“สมาชิกบางคนของศาสนจักรครองความเป็นโสดทั้งที่ไม่ใช่ความผิดของเขาแม้เขาต้องการแต่งงานก็ตาม ถ้าท่านพบตนเองอยู่ในสถานการณ์เช่นนั้น จงมั่นใจว่า ‘ทุกอย่างร่วมกันก่อผลดีแก่คนที่รักพระเจ้า’ (โรม 8:28) ตราบที่ท่านมีค่าควร สักวันหนึ่งท่านจะได้รับพรแห่งความสัมพันธ์นิรันดร์ฉันครอบครัว” (ดู แน่วแน่ต่อศรัทธา: ศัพทานุกรมพระกิตติคุณ [2004], 28)

  • การรักษาพันธสัญญาบัพติศมาของท่านเวลานี้จะช่วยท่านเตรียมรับพรของพระวิหารได้อย่างไร เยาวชนชายและเยาวชนหญิงจะทำอะไรได้บ้างเวลานี้เพื่อทำให้การแต่งงานซีเลสเชียลในพระวิหารเป็นเรื่องสำคัญที่สุด (ท่านอาจต้องการเขียนคำตอบของนักเรียนไว้บนกระดาน)

กระตุ้นให้นักเรียนถือว่าการแต่งงานเพื่อนิรันดรในพระวิหารเป็นเรื่องสำคัญที่สุด เป็นพยานถึงพรที่เกิดขึ้นเนื่องด้วยการแต่งงานซีเลสเชียล

หลักคำสอนและพันธสัญญา 131:5–6

ท่านศาสดาพยากรณ์อธิบาย “คำแห่งการพยากรณ์ที่แน่นอนยิ่งกว่า”

ให้นักเรียนดูใบรับรองหรือใบรับประกัน

  • อะไรคือประโยชน์ของการมีใบรับประกัน

  • เหตุใดการรับประกันจากพระบิดาบนสวรรค์จึงมีค่าเป็นพิเศษ

อธิบายว่าในเมืองเรมัส รัฐอิลลินอยส์ เช้าวันที่ 17 พฤษภาคม ค.ศ. 1843 โจเซฟ สมิธกล่าวโอวาทเกี่ยวกับวลีที่พบใน 2 เปโตร 1:19 ว่าเป็นการรับประกันจากพระผู้เป็นเจ้า (ดู History of the Church, 5:392) เชื้อเชิญให้นักเรียนอ่าน 2 เปโตร 1:19 ในใจและมองหาวลีนั้น (“คำเผยพระวจนะที่แน่นอนยิ่งกว่า”)

เชื้อเชิญให้นักเรียนอ่าน หลักคำสอนและพันธสัญญา 131:5 และดูว่าวลี “คำแห่งการพยากรณ์ที่แน่นอนยิ่งกว่า” หมายถึงอะไร ขอให้พวกเขารายงานสิ่งที่พบ

  • ตามที่กล่าวไว้ใน ข้อ 5พระบิดาบนสวรรค์ทรงรับประกันอะไรกับบุคคลผ่านคำแห่งการพยากรณ์ที่แน่นอนยิ่งกว่า (ชีวิตนิรันดร์)

  • ท่านคิดว่าท่านจะรู้สึกอย่างไรถ้าได้รับการรับประกันเช่นนั้น เพราะเหตุใด

หมายเหตุ: อย่าคาดเดาเกี่ยวกับคนเป็นผู้อาจได้รับ “คำแห่งการพยากรณ์ที่แน่นอนยิ่งกว่า” อย่างไรก็ดี พระคัมภีร์บอกเราว่าบางคนได้รับการรับประกันว่าจะมีชีวิตนิรันดร์ขณะยังอยู่ในความเป็นมรรตัย ตัวอย่างเช่น พระเจ้ารับประกันเช่นนี้กับโจเซฟ สมิธ (ดู หลักคำสอนและพันธสัญญา 132:49) และกับแอลมา (ดู โมไซยาห์ 26:20)

เชิญนักเรียนคนหนึ่งอ่านออกเสียง หลักคำสอนและพันธสัญญา 131:6 ขอให้ชั้นเรียนมองหาบางสิ่งที่จะขัดขวางบางคนไม่ให้ได้รับชีวิตนิรันดร์

  • โจเซฟ สมิธกล่าวว่าอะไรจะทำให้เราไม่รอดหรือไม่ได้รับชีวิตนิรันดร์ (นักเรียนอาจใช้คำพูดต่างกัน แต่พวกเขาพึงเข้าใจว่า เราจะรอดไม่ได้ในความเขลา ท่านอาจต้องการเขียนความจริงนี้ไว้บนกระดาน)

เชิญนักเรียนคนหนึ่งอ่านคำอธิบายเกี่ยวกับความจริงนี้ที่ประธานมาเรียน จี. รอมนีย์แห่งฝ่ายประธานสูงสุดให้ไว้ ขอให้นักเรียนฟังประเภทความรู้ที่เราต้องมีจึงจะได้รับชีวิตนิรันดร์

ภาพ
ประธานมาเรียน จี. รอมนีย์

“ความรู้เรื่อง ‘พระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียว [และ] พระเยซูคริสต์’ (ยอห์น 17:3) เป็นความรู้สำคัญที่สุดในจักรวาล ซึ่งหากปราศจากความรู้นี้ศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธกล่าวว่าไม่มีมนุษย์คนใดจะรอดได้ การขาดความรู้นี้คือความเขลาดังที่กล่าวไว้ในการเปิดเผยซึ่งเขียนไว้ว่า ‘เป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์จะรอดในความเขลา’ (คพ. 131:6)” (“Except a Man Be Born Again,” Ensign, Nov. 1981, 14)

  • เราต้องมีความรู้ประเภทใดจึงจะมีชีวิตนิรันดร์ ท่านคิดว่าเหตุใดความรู้ประเภทนี้จึงจำเป็นต่อความสูงส่ง

  • เราจะทำอะไรได้บ้างเพื่อเพิ่มพูนความรู้ของเราเรื่องพระบิดาบนสวรรค์และพระเยซูคริสต์

หลักคำสอนและพันธสัญญา 131:7–8

โจเซฟ สมิธสอนว่าวิญญาณทั้งปวงเป็นสสาร

เชิญนักเรียนคนหนึ่งอ่านออกเสียง หลักคำสอนและพันธสัญญา 131:7–8 ขอให้ชั้นเรียนดูตามโดยมองหาว่าวิญญาณประกอบด้วยอะไรบ้าง

  • ท่านเรียนรู้อะไรจากข้อเหล่านี้ (งานสร้างทั้งหมดประกอบด้วยสสาร แต่สสารวิญญาณ “ละเอียดหรือบริสุทธิ์กว่า”)

เป็นพยานถึงหลักธรรมที่สนทนาใน หลักคำสอนและพันธสัญญา 131กระตุ้นให้นักเรียนตักตวงความรู้เรื่องพระบิดาบนสวรรค์และพระเยซูคริสต์ต่อไปทั้งนี้เพื่อพวกเขาจะเป็นเหมือนพระองค์มากขึ้น

บทวิจารณ์และข้อมูลภูมิหลัง

หลักคำสอนและพันธสัญญา 131:1–4 “พันธสัญญาใหม่และเป็นนิจของการแต่งงาน”

เอ็ลเดอร์บรูซ อาร์. แมคคองกีแห่งโควรัมอัครสาวกสิบสองอธิบายความเชื่อมโยงระหว่างการแต่งงานซีเลสเชียลกับการยืนยันการทรงเรียกและการทรงเลือกคนๆ หนึ่ง

ภาพ
เอ็ลเดอร์บรูซ อาร์. แมคคองกี

“บัพติศมามีความหมายเดียวกันกับการแต่งงานซีเลสเชียลคือเปิดประตูให้คนกลับใจเริ่มเดินบนเส้นทางสู่ชีวิตนิรันดร์ ระเบียบอันศักดิ์สิทธิ์นี้ของการสมรสเปิดประตูสู่ความสูงส่งซีเลสเชียลเช่นกัน …

“ตามที่คนแต่งงานในพระวิหารทุกคนทราบ คนที่เป็นหนึ่งเดียวกัน—โดยพลังและสิทธิอำนาจของฐานะปุโรหิตศักดิ์สิทธิ์และเนื่องจากอำนาจการผนึกที่เอลียาห์ฟื้นฟู—ได้รับสัญญาเรื่องมรดกแห่งรัศมีภาพ เกียรติ พลัง และอำนาจการปกครองในอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า แต่เช่นเดียวกับบัพติศมา สัญญาทั้งหมดมีเงื่อนไข ระบุไว้ชัดเจนและเฉพาะจงจงแล้วแต่ความซื่อสัตย์หลังจากนั้นของผู้รับการผนึก หากพวกเขารักษาพระบัญญัติหลังการแต่งงานซีเลสเชียล เอกภาพของพวกเขาจะดำเนินต่อไปในชีวิตที่จะมาถึง หากพวกเขาไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานของความชอบธรรมส่วนตัวที่เกี่ยวข้อง การแต่งงานของพวกเขาจะไม่มีผลเมื่อพวกเขาตายและพวกเขากลับสู่สถานะโสดและแยกจากกัน …

“… เพราะการยืนยันการเรียกและการเลือกคนๆ หนึ่งหมายถึงเขาได้รับหลักประกันเรื่องชีวิตนิรันดร์—จึงเป็นเรื่องธรรมดาที่สุดในโลกที่พระเจ้าทรงเปิดเผยทั้งหลักคำสอนเรื่องการแต่งงานนิรันดร์กับหลักคำสอนเรื่องการผนึกสู่ชีวิตนิรันดร์ (หมายถึงการยืนยันการทรงเรียกและการทรงเลือกคนๆ หนึ่ง) ในการเปิดเผยเดียวกัน อย่างหนึ่งเป็นผลโดยตรงของอีกอย่างหนึ่ง อย่างหนึ่งคือสัญญาที่มีเงื่อนไขของชีวิตนิรันดร์ อีกอย่างหนึ่งคือสัญญาที่ไม่มีเงื่อนไข …

“… เราต้องดำเนินชีวิตจนได้รับหลักประกันซึ่งเรียกเรามาให้รับ และการรับรองที่เกี่ยวข้องกับการทรงเลือกเรา และซึ่งได้รับตามเงื่อนไขในการแต่งงานซีเลสเชียลเท่านั้น บัพติศมาเป็นฉันใด การแต่งงานซีเลสเชียลเป็นฉันนั้น ตามสัญญาอันทรงเกียรติของชีวิตนิรันดร์ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของพันธสัญญาแต่ละอย่างนี้ เราต้องมุ่งหน้าในความชอบธรรมจนกว่าจะยืนยันการเรียกและการเลือกของเรา ความสำเร็จขั้นสูงนี้เป็นผลโดยตรงและเป็นรางวัลสูงสุดของการแต่งงานซีเลสเชียล” (Doctrinal New Testament Commentary, 3 vols. [1965–1973], 3:331, 332, 333)

หลักคำสอนและพันธสัญญา 131:5 “คำแห่งการพยากรณ์ที่แน่นอนยิ่งกว่า”

“คำแห่งการพยากรณ์ที่แน่นอนยิ่งกว่าหมายถึงการที่มนุษย์ทราบว่าเขาได้รับการผนึกสู่ชีวิตนิรันดร์, โดยการเปิดเผยและวิญญาณแห่งการพยากรณ์, โดยผ่านอำนาจของฐานะปุโรหิตศักดิ์สิทธิ์” (คพ. 131:5) พรนี้เรียกว่าเป็นการ “ยืนยันการทรงเรียกและการทรงเลือก” ของคนนั้นด้วย (2 เปโตร 1:10)

“ผู้ติดตามที่ชอบธรรมของพระคริสต์จะถูกนับอยู่ในบรรดาผู้ที่ทรงเลือกไว้ซึ่งได้รับความสูงส่งแน่นอน การทรงเรียกและการทรงเลือกนี้เริ่มด้วยการกลับใจและบัพติศมา และจะสมบูรณ์เมื่อพวกเขา ‘มุ่งหน้า, ดื่มด่ำพระวจนะของพระคริสต์, และอดทนจนกว่าชีวิตจะหาไม่’ (2 นีไฟ 31:19–20) พระคัมภีร์เรียกกระบวนการนี้ว่าการยืนยันการทรงเรียกและการทรงเลือกของเรา (2 เปโตร 1:4–11; คพ. 131:5–6)” (คู่มือพระคัมภีร์, “การเรียกและการเลือก,” scriptures.lds.org)

เอ็ลเดอร์บรูซ อาร์. แมคคองกีแห่งโควรัมอัครสาวกสิบสองอธิบายดังนี้

ภาพ
เอ็ลเดอร์บรูซ อาร์. แมคคองกี

“สมาชิกเหล่านั้นของศาสนจักรผู้อุทิศตนทั้งหมดให้กับความชอบธรรม โดยดำเนินชีวิตตามคำทุกคำที่ออกจากพระโอษฐ์ของพระผู้เป็นเจ้าย่อมยืนยัน การทรงเรียกและการทรงเลือกพวกเขา กล่าวคือ พวกเขาได้รับคำแห่งการพยากรณ์ที่แน่นอนยิ่งกว่า ซึ่งหมายความว่าพระเจ้าทรงผนึกความสูงส่งไว้กับพวกเขาขณะพวกเขายังอยู่ในชีวิตนี้ เปโตรสรุปเส้นทางแห่งความชอบธรรมซึ่งวิสุทธิชนต้องไขว่คว้าเพื่อรับการยืนยันการทรงเรียกและการทรงเลือกของพวกเขา จากนั้น (หมายถึงประสบการณ์ของเขาบนภูเขาแห่งการเปลี่ยนสภาพกับยากอบและยอห์น) จึงบอกว่าทั้งสามคนได้รับคำเผยพระวจนะที่แน่นอนยิ่งกว่านั้นอีก (2 เปโตร 1)

“โจเซฟ สมิธสอนว่า ‘หลังจากบุคคลหนึ่งมีศรัทธาในพระคริสต์ กลับใจจากบาปของเขา รับบัพติศมาเพื่อการปลดบาปของเขาและรับพระวิญญาณบริสุทธิ์ (โดยการวางมือ) ซึ่งเป็นพระผู้ปลอบโยนองค์แรก จากนั้นให้เขาอ่อนน้อมถ่อมตนต่อพระผู้เป็นเจ้าต่อไป หิวและกระหายความชอบธรรม ดำเนินชีวิตด้วยพระวจนะทุกคำของพระผู้เป็นเจ้า และพระเจ้าจะตรัสกับเขาในไม่ช้าว่า ลูกเอ๋ย เจ้าจะได้รับความสูงส่ง เมื่อพระเจ้าพิสูจน์เขาครบถ้วนแล้ว และพบว่าเขาตั้งใจรับใช้พระองค์ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น เขาผู้นั้นจะพบกับว่าพระองค์ทรงยืนยันการทรงเรียกและการทรงเลือกเขา จากนั้นเขาจะมีสิทธิ์รับพระผู้ปลอบโยนอีกองค์หนึ่ง’ การได้รับพระผู้ปลอบโยนอีกองค์หนึ่งคือการให้พระคริสต์ปรากฏต่อเขาและเห็นนิมิตของนิรันดร [Teachings of the Prophet Joseph Smith, sel. Joseph Fielding Smith [1976], 149–51; เน้นตัวเอน]

“ฉะนั้น ดังที่ท่านศาสดาพยากรณ์กล่าว ‘คำแห่งการพยากรณ์ที่แน่นอนยิ่งกว่าหมายถึงการที่มนุษย์ทราบว่าเขาได้รับการผนึกสู่ชีวิตนิรันดร์, โดยการเปิดเผยและวิญญาณแห่งการพยากรณ์, โดยผ่านอำนาจของฐานะปุโรหิตศักดิ์สิทธิ์.’ (คพ. 131:5) คนที่พระเจ้าทรงโปรดปรานได้รับการผนึกไว้กันบาปและการลบหลู่นานัปการยกเว้นการลบหลู่พระวิญญาณบริสุทธิ์และการทำให้เลือดบริสุทธิ์ต้องหลั่ง กล่าวคือ ความสูงส่งของพวกเขาแน่นอน การทรงเรียกและการทรงเลือกของพวกเขาแน่นอน เพราะพวกเขาเชื่อฟังกฎของพระผู้เป็นเจ้าครบถ้วนสมบูรณ์และเอาชนะโลก …

“… ท่านศาสดาพยากรณ์เป็นคนหนึ่งที่ได้รับการผนึกดังกล่าว กล่าวคือ ท่านรู้ ‘โดยการเปิดเผยและวิญญาณแห่งการพยากรณ์, โดยผ่านอำนาจของฐานะปุโรหิตศักดิ์สิทธิ์’ ว่าท่านจะบรรลุความเป็นพระผู้เป็นเจ้าในโลกที่จะมาถึง พระผู้เป็นเจ้าตรัสกับท่านว่า ‘เราคือพระเจ้า พระผู้เป็นเจ้าของเจ้า, และจะอยู่กับเจ้าแม้จนถึงการสิ้นสุดของโลก, และตราบชั่วนิรันดร; เพราะตามจริงแล้ว เราผนึกความสูงส่งของเจ้าไว้กับเจ้า, และเตรียมบัลลังก์ไว้ให้เจ้าในอาณาจักรของพระบิดาของเรา, พร้อมกับอับราฮัม บิดาของเจ้า.’ (คพ. 132:49; เน้นตัวเอน)

“เราควรเข้าใจให้ชัดเจนว่าพรอันสูงส่งเหล่านี้ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการแต่งงานซีเลสเชียล ‘พรที่ประกาศต่อคู่สามีภรรยาเกี่ยวกับการแต่งงานซีเลสเชียลขึ้นอยู่กับความซื่อสัตย์หลังจากนั้นของพวกเขา’ (Doctrines of Salvation, vol. 2, pp. 46–47.)” (Mormon Doctrine, 2nd ed. [1966], 109–110)

หลักคำสอนและพันธสัญญา 131:6 “เป็นไปไม่ได้ที่มนุษย์จะรอดในความเขลา.”

วันที่ 7 เมษายน ค.ศ. 1844 ศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธเทศนาที่งานศพของคิงก์ ฟอลเลตต์เพื่อนของท่าน ในคำเทศนานั้น ท่านสอนเรื่องคุณค่าของความรู้ดังนี้

ภาพ
ศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธ

“ความรู้ช่วยให้มนุษย์รอด และในโลกแห่งวิญญาณไม่มีใครจะได้รับความสูงส่งนอกจากโดยความรู้ ตราบใดที่มนุษย์จะไม่เอาใจใส่พระบัญญัติ เขาต้องทนอยู่โดยไม่มีความรอด หากมนุษย์มีความรู้ เขาจะรอดได้” (“The King Follett Sermon,” Ensign, May 1971, 15)