เซมินารี
บทที่ 136: หลักคำสอนและพันธสัญญา 129; 130:1–11, 22–23


บทที่ 136

หลักคำสอนและพันธสัญญา 129; 130:1–11, 22–23

คำนำ

วันที่ 9 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1843 ศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธให้คำแนะนำที่จะช่วยวิสุทธิชนรู้วิธีแยกแยะลักษณะที่ถูกต้องของเหล่าเทพและวิญญาณผู้ปฏิบัติ คำแนะนำเหล่านี้บันทึกไว้ใน หลักคำสอนและพันธสัญญา 129 หลักคำสอนและพันธสัญญา 130 ประกอบด้วยคำสอนของโจเซฟ สมิธเกี่ยวกับหลักคำสอนต่างๆ ขณะท่านประชุมกับวิสุทธิชนในเมืองเรมัส รัฐอิลลินอยส์เมื่อวันที่ 2 เมษายน ค.ศ. 1843

ข้อเสนอแนะสำหรับการสอน

หลักคำสอนและพันธสัญญา 129

ศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธให้คำแนะนำเกี่ยวกับลักษณะของเหล่าเทพและวิญญาณผู้ปฏิบัติ

ถามนักเรียนว่าพวกเขาจะบอกคนที่ต้องการรู้ว่าวิสุทธิชนยุคสุดท้ายเชื่อเรื่องเทพหรือไม่ว่าอย่างไร หลังจากนักเรียนตอบแล้ว ให้เชิญนักเรียนคนหนึ่งอ่านคำกล่าวต่อไปนี้ของเอ็ลเดอร์เจฟฟรีย์ อาร์. ฮอลแลนด์แห่งโควรัมอัครสาวกสิบสอง

ภาพ
เอ็ลเดอร์เจฟฟรีย์ อาร์. ฮอลแลนด์

“นับจากกาลเริ่มต้นจวบจนสมัยการประทานต่างๆ พระผู้เป็นเจ้าทรงส่งเหล่าเทพเป็นตัวแทนของพระองค์ในการถ่ายทอดความรักและความห่วงใยให้บุตรธิดาของพระองค์ …

“โดยปกติเรา ไม่ เห็นสัตภาวะเหล่านั้น บางครั้งเราเห็น แต่ไม่ว่าจะมองเห็นหรือไม่เห็น สัตภาวะเหล่านั้นอยู่ใกล้ เสมอ บางครั้งงานมอบหมายของพวกท่านยิ่งใหญ่มากและมีความสำคัญต่อคนทั้งโลก บางครั้งข่าวสารเป็นส่วนตัวมากกว่า บางโอกาสจุดมุ่งหมายของเทพคือเตือน” (“การปฏิบัติของเหล่าเทพ,” เลียโฮนา, พ.ย. 2008, 36)

อธิบายว่าต้นปี 1839 และต่อเนื่องจนถึงปี 1843 ศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธให้คำแนะนำหลายคนเพื่อช่วยให้พวกเขารู้วิธีแยกแยะลักษณะที่ถูกต้องของเหล่าเทพและวิญญาณผู้ปฏิบัติ คำแนะนำบางอย่างเหล่านี้บันทึกไว้ใน หลักคำสอนและพันธสัญญา 129

เชิญนักเรียนคนหนึ่งอ่านออกเสียง หลักคำสอนและพันธสัญญา 129:1–3 ขอให้ชั้นเรียนดูตามและมองหาความแตกต่างที่สำคัญระหว่างเทพกับวิญญาณ (ท่านอาจต้องการอธิบายว่า เที่ยงธรรม หมายถึงชอบธรรม)

  • เทพต่างจากวิญญาณอย่างไร (เทพมีร่างกายเป็นเนื้อหนังและกระดูกที่ฟื้นคืนชีวิตแล้ว วิญญาณไม่มี)

เชิญนักเรียนคนหนึ่งอ่านออกเสียง หลักคำสอนและพันธสัญญา 129:4–7 ขอให้ชั้นเรียนดูตามโดยมองหาวิธีแยกแยกระหว่างเทพกับวิญญาณที่ชอบธรรม ขอให้นักเรียนรายงานสิ่งที่พบ

  • เราเรียนรู้อะไรจาก ข้อ 7 เกี่ยวกับลักษณะของผู้ส่งสารตัวจริงที่พระบิดาบนสวรรค์ทรงส่งมา (หลังจากนักเรียนตอบแล้ว ท่านอาจต้องการเสนอแนะให้พวกเขาเขียนหลักคำสอนต่อไปนี้ไว้ตรงช่องว่างริมหน้าพระคัมภีร์ของพวกเขา: ผู้ส่งสารตัวจริงที่พระบิดาบนสวรรค์ทรงส่งมาจะไม่หลอกเรา)

อธิบายว่าบางครั้งมารพยายามปรากฏตัวเหมือน “เทพแห่งความสว่าง” เพื่อหลอกผู้คน (ดู คพ. 129:8) นอกจากนี้ “พระคัมภีร์กล่าวถึงเหล่าเทพของมารด้วย เทพดังกล่าวคือวิญญาณเหล่านั้นซึ่งติดตามลูซิเฟอร์และถูกผลักออกไปจากที่ประทับของพระผู้เป็นเจ้าในชีวิตก่อนเกิดและถูกโยนลงไปแผ่นดินโลก (วิวรณ์ 12:1–9; 2 นีไฟ 9:9, 16; คพ. 29:36–37)” (คู่มือพระคัมภีร์, “ทูตสวรรค์, เทพ,” scriptures.lds.org) อย่าเล่าประสบการณ์เกี่ยวกับซาตานหรือวิญญาณชั่ว หรือปล่อยให้การสนทนากลายเป็นการเล่า เรื่องตื้นเต้นเร้าใจและเนื้อหาน่าสงสัย

เชิญนักเรียนคนหนึ่งอ่านออกเสียง หลักคำสอนและพันธสัญญา 129:8–9 ขอให้ชั้นเรียนดูตามและมองหาวิธีรับรู้วิญญาณชั่วที่พยายามหลอกโดยปรากฏตัวเหมือนเทพแห่งความสว่าง (อธิบายว่า การปฏิบัติ ใน ข้อ 9 หมายถึงการแสดงให้ประจักษ์หรือการเยือนจากเทพหรือวิญญาณ) เชื้อเชิญให้นักเรียนรายงานสิ่งที่เรียนรู้

  • นอกจากคำแนะนำในข้อเหล่านี้แล้ว พระบิดาบนสวรรค์ประทานอะไรไว้ช่วยท่านแยกแยะการหลอกลวงของซาตาน

หลักคำสอนและพันธสัญญา 130:1–11, 22–23

ศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธชี้แจงหลักคำสอนต่างๆ

อธิบายว่าวันที่ 2 เมษายน ค.ศ. 1843 โจเซฟ สมิธจัดการประชุมใหญ่สเตคกับวิสุทธิชนในเมืองเรมัส รัฐอิลลินอยส์ซึ่งอยู่ทางตะวันออกเฉียงใต้ของนอวูราว 20 ไมล์ ระหว่างการประชุมตอนเช้าเอ็ลเดอร์ออร์สัน ไฮด์ให้โอวาทและสอนการตีความพระคัมภีร์ที่เขาเรียนรู้เมื่อครั้งนับถืออีกศาสนาหนึ่ง

  • ท่านศาสดาพยากรณ์มีความรับผิดชอบอะไรในสถานการณ์นี้ (แก้ไขหลักคำสอนผิดที่สอนในการประชุม)

อธิบายว่าผู้นำที่เป็นประธานในศาสนจักร เช่น ศาสดาพยากรณ์ ประธานสเตค และอธิการมีความรับผิดชอบต่อการทำให้แน่ใจว่ามีการสอนหลักคำสอนที่ถูกต้องในศาสนจักร หลังจบการประชุมตอนเช้า โจเซฟ สมิธ, ออร์สัน ไฮด์ และคนอื่นๆ อีกไม่กี่คนรับประทานอาหารกลางวันที่บ้านของโซโฟรเนียพี่สาวของโจเซฟ ช่วงอาหารกลางวัน ท่านศาสดาพยากรณ์กล่าวว่า ท่าน “จะแก้ไขโอวาทบางส่วน [ของบราเดอร์ไฮด์]” บราเดอร์ไฮด์ตอบว่า “น้อมรับด้วยความขอบคุณครับ” (ใน History of the Church, 5:323)

  • เราสามารถเรียนรู้อะไรได้บ้างจากวิธีที่โจเซฟ สมิธจัดการกับสถานการณ์นี้

  • เราเรียนรู้อะไรได้บ้างจากการที่ออร์สัน ไฮด์ตอบท่านศาสดาพยากรณ์

อธิบายว่าในคำพูดตอนเช้าของออร์สัน ไฮด์ เขาตีความ ยอห์น 14:23 ผิด เชิญนักเรียนคนหนึ่งอ่านออกเสียงข้อนี้

บอกชั้นเรียนว่าหลังจากออร์สัน ไฮด์อ้างอิงข้อนี้ เขาบอกผู้คนว่า “เอกสิทธิ์ของเราคือมีพระบิดาและพระบุตรสถิตในใจเรา” (ใน History of the Church, 5:323) หลักคำสอนและพันธสัญญา 130 ประกอบด้วยการแก้ไขแนวคิดนี้ของศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธ อีกทั้งมีคำสอนเพิ่มเติมบางอย่างด้วย

เชิญนักเรียนคนหนึ่งอ่านออกเสียง หลักคำสอนและพันธสัญญา 130:1–3 ขอให้นักเรียนดูตามโดยมองหาว่าเหตุใดคำกล่าวของออร์สัน ไฮด์เกี่ยวกับความหมายของ ยอห์น 14:23 จึงไม่ถูกต้อง ขอให้พวกเขารายงานสิ่งที่พบ

อธิบายว่าคนมากมายทุกวันนี้ไม่รู้จักแนวคิดเรื่องพระผู้เป็นเจ้าหรืออาจจะเหมือนออร์สัน ไฮด์ผู้เคยเป็นนักเทศก์นิกายแคมพ์เบลล์คือมีความเข้าใจไม่ถูกต้องเกี่ยวกับพระลักษณะของพระผู้เป็นเจ้าเนื่องด้วยประเพณีผิดๆ เราสามารถช่วยให้ผู้อื่นเข้าใจพระลักษณะที่แท้จริงของพระบิดาบนสวรรค์และความสัมพันธ์ของพวกเขากับพระองค์

  • เราจะตอบด้วยความอ่อนโยนและความเข้าใจได้อย่างไรเมื่อสนทนาพระกิตติคุณกับคนที่มีแนวคิดผิดเพี้ยนเนื่องด้วยประเพณีผิดๆ

เชิญนักเรียนคนหนึ่ง อ่านออกเสียง หลักคำสอนและพันธสัญญา 130:22–23 ขอให้ชั้นเรียนดูตามโดยมองหาหลักคำสอนที่พวกเขาอธิบายได้เมื่อสอนผู้อื่นเกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้าสามพระองค์

  • ข้อเหล่านี้สอนหลักคำสอนอะไรบ้าง (นักเรียนควรระบุหลักคำสอนต่อไปนี้: พระบิดาบนสวรรค์และพระเยซูคริสต์ทรงเป็นคนละองค์แยกจากกันโดยมีพระวรกายเป็นเนื้อหนังและกระดูก พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นรูปกายที่เป็นวิญญาณ)

  • ท่านคิดว่าเหตุใดจึงสำคัญที่ต้องเข้าใจว่าพระบิดาบนสวรรค์และพระเยซูคริสต์ทรงเป็นคนละองค์แยกจากกันโดยมีพระวรกายเป็นเนื้อหนังและกระดูก

เพื่อช่วยให้นักเรียนเข้าใจหลักคำสอนเรื่องพระผู้เป็นเจ้าสามพระองค์มากขึ้น ให้พวกเขาทำงานเป็นคู่ แจกสำเนา ข้อความต่อไปนี้ให้แต่ละคู่ เชื้อเชิญให้นักเรียนศึกษาข้อความนั้นกับคู่และขีดเส้นใต้ความจริงเกี่ยวกับพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่พวกเขาประทับใจ

พระผู้เป็นเจ้าพระบิดา: โดยทั่วไปพระบิดา หรือเอโลฮิม คือผู้ที่เราขานพระนามด้วยชื่อพระผู้เป็นเจ้า เราเรียกพระองค์ว่าพระบิดาเพราะพระองค์ทรงเป็นพระบิดาแห่งวิญญาณของเรา … พระผู้เป็นเจ้าพระบิดาทรงเป็นพระผู้ปกครองสูงสุดของจักรวาล พระองค์ทรงมีเดชานุภาพทั้งปวง … ทรงรู้แจ้งสิ่งทั้งปวง … ทรงมีพระสิริอยู่ทุกแห่งหนโดยผ่านพระวิญญาณของพระองค์ … มนุษยชาติมีความสัมพันธ์พิเศษกับพระผู้เป็นเจ้าซึ่งวางมนุษย์ไว้แยกจากสิ่งอื่นๆ ทั้งหมดที่ทรงสร้าง ชายและหญิงเป็นบุตรธิดาทางวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้า

พระผู้เป็นเจ้าพระบุตร:พระผู้เป็นเจ้าที่รู้จักกันในนามพระเยโฮวาห์ทรงเป็นพระบุตร พระเยซูคริสต์ … พระเยซูทรงทำงานภายใต้การกำกับดูแลของพระบิดาและทรงมีความประสานกลมกลืนกับพระองค์ มนุษยชาติทั้งปวงเป็นพี่น้องกับพระองค์ เพราะพระองค์ทรงเป็นบุตรองค์โตทางวิญญาณของเอโลฮิม [พระองค์ทรงเป็นพระผู้ไถ่ผู้ทรงทนรับบาปและความเจ็บปวดของมนุษยชาติทั้งปวงและทรงเอาชนะความตายทางวิญญาณเพื่อทุกคน] …

“พระผู้เป็นเจ้าพระวิญญาณบริสุทธิ์: พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้าองค์หนึ่งและเรียกว่าพระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์ พระวิญญาณ และพระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้า ในบรรดาชื่อและคำนำหน้าอื่นๆ ที่คล้ายกัน [อาทิ พระผู้ปลอบโยน] โดยอาศัยความช่วยเหลือจากพระวิญญาณบริสุทธิ์ มนุษย์สามารถรู้ถึงพระประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าพระบิดาและรู้ว่าพระเยซูคือพระคริสต์” (คู่มือพระคัมภีร์, “พระผู้เป็นเจ้า, พระผู้เป็นเจ้าสามพระองค์,” scriptures.lds.org) บทบาทเบื้องต้นของพระวิญญาณบริสุทธิ์คือเป็นพยานถึงพระผู้เป็นเจ้าพระบิดาและพระเยซูคริสต์ พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงสอนและยืนยันความจริง

หลังจากนักเรียนทำงานมอบหมายเสร็จแล้ว ขอให้หลายๆ คนรายงานสิ่งที่ทำเครื่องหมายไว้และอธิบายว่าเหตุใดความจริงเหล่านั้นจึงประทับใจพวกเขา ท่านอาจจะสรุปกิจกรรมนี้โดยเชิญนักเรียนหนึ่งหรือสองคนแบ่งปันประจักษ์พยานของพวกเขาเกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้าสามพระองค์

เพื่อช่วยให้นักเรียนค้นพบหลักคำสอนอีกประการหนึ่งที่โจเซฟ สมิธสอนวิสุทธิชนในเมืองเรมัส ให้พวกเขาทบทวน หลักคำสอนและพันธสัญญา 130:2 โดยมองหาสิ่งที่ท่านกล่าวเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของเรา

  • ความเป็นสังคม หมายถึงอะไร (ความเป็นสังคมเกี่ยวเนื่องกับธรรมชาติของปฏิสัมพันธ์และความสัมพันธ์ส่วนตัวของเรา)

  • โจเซฟ สมิธสอนอะไรเกี่ยวกับธรรมชาติความสัมพันธ์ของเราในสวรรค์ (นักเรียนอาจใช้คำพูดต่างกัน แต่พวกเขาควรระบุความจริงต่อไปนี้: ความสัมพันธ์ที่เราจะมีได้ในสวรรค์เป็นความสัมพันธ์เดียวกันกับที่เรามีบนแผ่นดินโลก แต่จะรวมถึงรัศมีภาพนิรันดร์ด้วย)

  • ความจริงนี้อาจจะมีผลต่อปฏิสัมพันธ์ของท่านกับผู้อื่นอย่างไร

ขอให้นักเรียนคนหนึ่งอ่านออกเสียงประจักษ์พยานต่อไปนี้เกี่ยวกับความสัมพันธ์นิรันดร์โดยประธานเฮนรีย์ บี. อายริงก์แห่งฝ่ายประธานสูงสุด

ภาพ
ประธานเฮนรีย์ บี. อายริงก์

“เนื่องจากการฟื้นฟูความรู้เกี่ยวกับครอบครัวนิรันดร์ เราจึงมีความหวังมากขึ้นและโอบอ้อมอารีมากขึ้นในความสัมพันธ์ฉันครอบครัวทั้งหมดของเรา ปีติใหญ่หลวงที่สุดในชีวิตนี้มีศูนย์รวมอยู่ในครอบครัว ดังที่จะเป็นเช่นนี้ในโลกที่จะมาถึง ข้าพเจ้าสำนึกคุณอย่างยิ่งต่อความมั่นใจที่ข้าพเจ้ารู้สึกว่าหากเราซื่อสัตย์ ความเป็นสังคมอย่างเดียวกันกับที่เรามีที่นี่ในชีวิตนี้จะอยู่กับเราตลอดกาลในโลกที่จะมาถึง ในรัศมีภาพนิรันดร์” [ดู คพ. 130:2] (“ศาสนจักรที่แท้จริงและดำรงอยู่,” เลียโฮนา, พ.ค. 2008, 26)

เชื้อเชิญให้นักเรียนไตร่ตรองความสัมพันธ์ของพวกเขากับผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับสมาชิกครอบครัวของพวกเขา เชื้อเชิญให้พวกเขาเขียนเป้าหมายเพื่อกระชับความสัมพันธ์เหล่านั้น

เพื่อช่วยให้นักเรียนค้นพบหลักคำสอนอื่นที่ท่านศาสดาพยากรณ์สอนที่การประชุมนี้ในเมืองเรมัส ให้เชิญนักเรียนสองสามคนผลัดกันอ่านออกเสียงจาก หลักคำสอนและพันธสัญญา 130:4–11

  • เราเรียนรู้อะไรเกี่ยวกับเหล่าเทพจาก ข้อ 4–7

  • เราเรียนรู้อะไรจาก ข้อ 9 เกี่ยวกับอนาคตของแผ่นดินโลก

ท่านอาจต้องการอธิบายว่าตามที่กล่าวไว้ใน ข้อ 10–11ทุกคนที่สืบทอดอาณาจักรซีเลสเชียลเป็นมรดกจะได้รับอูริมและทูมมิมไว้ช่วยพวกเขาเรียนรู้และเข้าใจเรื่องของสวรรค์ ท่านศาสดาพยากรณ์ไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับคำสอนนี้

บทวิจารณ์และข้อมูลภูมิหลัง

หลักคำสอนและพันธสัญญา 129:8–9 “มารมาดังเทพแห่งความสว่าง”

“ซาตานพยายามหลอกโดยเลียนแบบความสว่างที่ติดตามวิญญาณของคนเที่ยงธรรมที่ทรงทำให้ดีพร้อม คนเที่ยงธรรมที่ทรงทำให้ดีพร้อมผู้มาในฐานะผู้ส่งสารจะปรากฏในรัศมีภาพของเขา ‘เพราะนั่นเป็นทางเดียวที่เขาจะปรากฏได้’ (คพ. 129:6) ศาสดาพยากรณ์โจเซฟ สมิธกล่าวไว้ครั้งหนึ่งว่า ‘วิญญาณชั่วมีขอบเขต ขีดจำกัด และกฎปกครองพวกเขา … และชัดเจนมากว่าพวกเขาครอบครองอำนาจที่ไม่มีใครควบคุมได้นอกจากคนที่มีฐานะปุโรหิตl’ (ใน History of the Church, 4:576)

“ท่านศาสดาพยากรณ์สอนว่าเมื่อขอมารจับมือ ‘เขาจะยื่นมือเขาให้ท่าน’ (คพ. 129:8) มนุษย์จะไม่สัมผัสอะไรเลยเพราะมารเป็นวิญญาณที่ไม่มีร่างกาย นี่จึงเป็นวิธีแยกแยะเขาจากวิญญาณที่ชอบธรรมหรือเหล่าเทพที่พระผู้เป็นเจ้าทรงส่งมา คนเที่ยงธรรมจะไม่พยายามหลอก (ดู คพ. 129:7) เทพของซาตานจะพยายามหลอกไม่เลิก” (คำสอนและพันธสัญญา คู่มือนักเรียน, ฉบับพิมพ์ครั้งที่ 2 [คู่มือระบบการศึกษาของศาสนจักร, 2001], 419)

หลักคำสอนและพันธสัญญา 130:9 อะไรคือจุดหมายของโลกนี้และคนที่จะพำนักบนนั้น

ประธานบริคัม ยังก์สอนว่า

ภาพ
ประธานบริคัม ยังก์

“เมื่อ [แผ่นดินโลก] กลายเป็นซีเลสเชียล โลกจะเหมือนดวงอาทิตย์ และพร้อมให้วิสุทธิชนอยู่อาศัยและถูกนำกลับไปที่ประทับของพระบิดาและพระบุตร จากนั้นแผ่นดินโลกจะไม่เป็นดาวอับแสงเช่นปัจจุบัน แต่จะเป็นเหมือนดวงดาวในเวหา เต็มไปด้วยแสงสว่างและรัศมีภาพ โลกจะเป็นดวงแห่งความสว่าง—ยอห์นเปรียบเทียบโลกในสภาพซีเลสเชียลกับทะแลแก้ว” (“Sermon,” Deseret News, Jun. 15, 1859, 114)

ประมาณสองปีต่อมาท่านกล่าวว่า

ภาพ
ประธานบริคัม ยังก์

“เมื่อโลกนี้ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์และสะอาด หรือกลายเป็นซีเลสเชียล โลกจะกลายเป็นทะเลแก้ว และเมื่อบุคคลใดมองเข้าไปในนั้นพวกเขาจะรู้สิ่งที่เป็นอดีต ปัจจุบัน และที่จะมาถึง แต่ไม่มีใครได้รับสิทธิพิเศษนี้นอกจากสัตภาวะในซีเลสเชียล พวกเขาจะมองเข้าไปในแผ่นดินโลก และสิ่งที่พวกเขาปรารถนาจะรู้จะแสดงให้ประจักษ์ต่อพวกเขา เหมือนเห็นหน้าเมื่อส่องกระจก” (“Remarks,” Deseret News, Jul. 3, 1861, 137)

หลักคำสอนและพันธสัญญา 130:22–23 พระผู้เป็นเจ้าสามพระองค์

เอ็ลเดอร์เจฟฟรีย์ อาร์. ฮอลแลนด์แห่งโควรัมอัครสาวกสิบสองประกาศหนักแน่นถึงความเป็นจริงของพระผู้เป็นเจ้าสามพระองค์ดังนี้

ภาพ
เอ็ลเดอร์เจฟฟรีย์ อาร์. ฮอลแลนด์

“หลักแห่งความเชื่อข้อแรกและสำคัญที่สุดในศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายคือ ‘เราเชื่อในพระผู้เป็นเจ้า, พระบิดานิรันดร์, และในพระบุตรของพระองค์, พระเยซูคริสต์, และในพระวิญญาณบริสุทธิ์’ [หลักแห่งความเชื่อ 1:1] เราเชื่อว่าทั้งสามพระองค์นี้ประกอบเป็นพระผู้เป็นเจ้าสามพระองค์รวมกันและเป็นหนึ่งเดียวกันในจุดประสงค์ พระลักษณะ ประจักษ์พยาน และพันธกิจ เราเชื่อว่าทั้งสามพระองค์ทรงเปี่ยมด้วยความรู้สึกเดียวกันของพระผู้เป็นเจ้าในความเมตตาและความรัก ความเที่ยงธรรมและความกรุณา ความอดทน การให้อภัย และการไถ่ ข้าพเจ้าคิดว่าถูกต้องที่จะกล่าวว่าเราเชื่อว่าทั้งสามพระองค์ทรงเป็นหนึ่งเดียวกันในแง่มุมสำคัญและเป็นนิรันดร์ทุกแง่ที่พอจะนึกออก แต่เราไม่ เชื่อว่าทั้งสามพระองค์รวมกันเป็นองค์เดียว แนวความคิดเรื่องตรีเอกานุภาพไม่เคยอธิบายไว้ในพระคัมภีร์เพราะไม่เป็นความจริง

“แต่ไม่มีแหล่งใดน่าเชื่อถือเท่า Harper’s Bible Dictionary ที่บันทึกว่า “หลักคำสอนอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับตรีเอกานุภาพตามที่สภาคริสตจักรนิยามไว้เมื่อศตวรรษที่สี่และห้า ไม่ พบใน [พันธสัญญาใหม่]’ [Paul F. Achtemeier, ed. (1985), 1099;เน้นตัวเอน]

“ดังนั้นการวิจารณ์ว่าศาสนจักรของพระเยซูคริสต์แห่งวิสุทธิชนยุคสุดท้ายไม่เชื่อในทัศนะคริสต์ศาสนาร่วมสมัยเกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้า พระเยซู และพระวิญญาณบริสุทธิ์จึง ไม่ใช่ ความเห็นเกี่ยวกับความเลื่อมใสพระคริสต์ของเราแต่เป็นการรับรู้ (ข้าพเจ้าขอเสริมว่าเป็นการรับรู้ที่ถูกต้อง) ว่าทัศนะของเราเกี่ยวกับพระผู้เป็นเจ้าสามพระองค์ต่างจากประวัติคริสต์ศาสนาหลังพันธสัญญาใหม่และกลับคืนสู่หลักคำสอนที่พระเยซูทรงสอนด้วยพระองค์เอง …

“เราประกาศว่าพระคัมภีร์เป็นหลักฐานในตัวเองว่าพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นคนละองค์แยกจากกัน เป็นสามพระองค์” (“พระเจ้าเที่ยงแท้องค์เดียวและพระเยซูคริสต์ที่พระองค์ทรงใช้มา,” เลียโฮนา, พ.ย. 2007, 49)