เซมินารี
บทที่ 87: หลักคำสอนและพันธสัญญา 84:43–61


บทที่ 87

หลักคำสอนและพันธสัญญา 84:43–61

คำนำ

วันที่ 22 และ 23 กันยายน ค.ศ. 1832 โจเซฟ สมิธได้รับการเปิดเผยซึ่งบันทึกไว้ใน หลักคำสอนและพันธสัญญา 84 ในการเปิดเผยนี้ พระเจ้าทรงเปิดเผยความจริงเกี่ยวกับฐานะปุโรหิตตามที่สนทนาในบทก่อน พระเจ้าทรงสอนวิสุทธิชนให้รู้ความสำคัญของการเอาใจใส่พระคำของพระผู้เป็นเจ้าด้วย พระองค์ทรงตีสอนพวกเขาที่ปฏิบัติเล่นๆ กับพระคัมภีร์มอรมอน พระบัญญัติและการเปิดเผยอื่น

ข้อเสนอแนะสำหรับการสอน

หลักคำสอนและพันธสัญญา 84:43–53

พระเจ้าทรงสอนความสำคัญของการเอาใจใส่พระคำของพระผู้เป็นเจ้า

เตือนความจำนักเรียนเรื่องเป้าหมายที่พวกเขาตั้งไว้เมื่อต้นปีว่าจะ ศึกษาพระคัมภีร์ทุกวัน เชื้อเชิญให้พวกเขาพิจารณาว่าพวกเขาทำดีเพียงใดกับเป้าหมายนี้ หลังจากนักเรียนพิจารณาแล้ว ให้ถามคำถามต่อไปนี้

  • ท่านประสบความท้าทายอะไรบ้างขณะพยายามศึกษาพระคัมภีร์ในแต่ละวัน (ขณะที่นักเรียนตอบ จงยอมรับว่าการศึกษาพระคัมภีร์ทุกวันจนเป็นนิสัยอาจทำได้ยาก)

  • เหตุใดท่านจึงเลือกศึกษาพระคัมภีร์ทุกวันทั้งที่บางครั้งทำได้ยาก

อธิบายว่าในบทเรียนวันนี้นักเรียนจะเรียนรู้ความจริงจากหลักคำสอนและพันธสัญญา 84 ที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้พวกเขาพยายามศึกษาพระคัมภีร์ต่อไป

เชื้อเชิญให้นักเรียนอ่าน หลักคำสอนและพันธสัญญา 84:43–44 ในใจ ระบุคำและวลีที่สอนความสำคัญของการศึกษาและประยุกต์ใช้พระคำของพระเจ้า

  • ท่านพบคำและวลีใดที่สอนความสำคัญของการศึกษาและประยุกต์ใช้พระคำของพระเจ้า (นักเรียนอาจกล่าวถึงคำและวลีเช่น “บัญญัติ” “ใส่ใจอย่างเข้มงวดกวดขัน” และ “ดำเนินชีวิตตามพระคำทุกคำ”)

เชิญนักเรียนคนหนึ่งอ่านออกเสียง หลักคำสอนและพันธสัญญา 84:45–46 ขอให้ชั้นเรียนดูตามและมองหาคำและวลีในข้อนี้ที่มีความหมายเหมือนกับ “พระคำของพระเจ้า”

  • ท่านพบคำและวลีอะไรบ้าง (คำตอบควรได้แก่ “ความจริง” “ความสว่าง” “พระวิญญาณ” “พระวิญญาณของพระเยซูคริสต์” และ “สุรเสียงของพระวิญญาณ”)

เขียนข้อความที่ไม่ครบถ้วนต่อไปนี้ไว้บนกระดาน: หากเราใส่ใจอย่างเข้มงวดกวดขันต่อพระคำของพระเจ้า เมื่อนั้น …

เชื้อเชิญให้นักเรียนอ่านทวน หลักคำสอนและพันธสัญญา 84:45–46 ในใจ

  • จากสิ่งที่ท่านพบใน ข้อ 45–46 ท่านจะเติมข้อความบนกระดานให้ครบถ้วนว่าอย่างไร (นักเรียนอาจเสนอคำตอบต่างกัน เติมหลักธรรมบนกระดานให้ครบถ้วนเพื่อถ่ายทอดหลักธรรมต่อไปนี้: หากเราใส่ใจอย่างเข้มงวดกวดขันต่อพระคำของพระเจ้า เมื่อนั้นพระวิญญาณของพระคริสต์จะทรงให้ความสว่างแก่เรา)

ดึงความสนใจของนักเรียนมาที่วลี “พระวิญญาณของพระเยซูคริสต์” ใน ข้อ 45 อธิบายว่าอีกวลีหนึ่งที่มีความหมายเหมือนกันคือ “ความสว่างของพระคริสต์” ความสว่างของพระคริสต์เป็น “อิทธิพลเพื่อความดีในชีวิตของคนทั้งปวง … [อย่างไรก็ดี ] ไม่ควรสับสนระหว่างความสว่างของพระคริสต์กับพระวิญญาณบริสุทธิ์ ความสว่างของพระคริสต์ไม่ใช่บุคคล พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเป็นบุคคล” (แน่วแน่ต่อศรัทธา [2004], 122) ความสว่างของพระคริสต์อยู่ภายในแต่ละบุคคลและให้ “ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี [หรือ] มโนธรรม” อีกทั้ง “นำเราให้ควบคุมการกระทำของตน—เว้นแต่เราจะข่มไว้หรือไม่นำพา” (บอยด์ เค. แพคเกอร์, “ความสว่างของพระคริสต์,” เลียโฮนา, เม.ย. 2005, 9)

เชิญนักเรียนคนหนึ่งอ่านออกเสียง หลักคำสอนและพันธสัญญา 84:47–48 ขอให้ชั้นเรียนดูตามและระบุว่าเราจะได้รับพรอย่างไรหากเราสดับฟังพระวิญญาณของพระเยซูคริสต์

  • ตามที่กล่าวไว้ใน ข้อ 47 เราจะได้รับพรอะไรหากเราสดับฟังพระวิญญาณของพระเยซูคริสต์ (นักเรียนอาจใช้คำพูดต่างกัน แต่พวกเขาควรรับรู้หลักธรรมต่อไปนี้: หากเราสดับฟังพระวิญญาณของพระเยซูคริสต์ เราจะมาหาพระบิดา เขียนหลักธรรมนี้ไว้บนกระดาน)

  • ตามที่กล่าวไว้ใน ข้อ 48 พระบิดาจะทรงทำอะไรเมื่อเรามาหาพระองค์ (พระองค์จะทรงสอนเรา)

  • ใน ข้อ 48 เราอ่านว่าพระบิดาจะทรงสอนเราไม่เพียงเพื่อเห็นแก่เราเท่านั้นแต่เพื่อเห็นแก่โลกทั้งโลกด้วย ข้อความนี้มีความหมายต่อท่านอย่างไร

ชี้ให้เห็นว่านอกจากจะมีความสว่างของพระคริสต์แล้ว แต่ละบุคคลจะได้รับความเป็นเพื่อนของพระวิญญาณบริสุทธิ์หลังจากพวกเขาเข้าสู่พันธสัญญาแห่งบัพติศมาด้วย โดยผ่านของประทานนี้พวกเขาจะได้รับความสว่างเพิ่มเติมและได้รับการนำทางให้กลับไปที่ประทับของพระบิดาเพื่อรับชีวิตนิรันดร์

เชิญนักเรียนคนหนึ่งปิดไฟในห้องเรียนและกลับไปนั่งที่ (พึงแน่ใจว่ามีแสงสว่างในห้องมากพอที่นักเรียนจะเดินกลับไปนั่งได้อย่างปลอดภัย) เชื้อเชิญให้นักเรียนนึกถึงเวลาที่พวกเขาต้องเดินในความมืดสนิท ขอให้นักเรียนสองสามคนบรรยายประสบการณ์นี้ว่าเป็นอย่างไร จากนั้นให้เปิดไฟ

อธิบายว่าพระคัมภีร์กล่าวถึงความมืดบ่อยครั้งเพื่ออธิบายเชิงสัญลักษณ์ถึงสภาพทางวิญญาณ เชิญนักเรียนคนหนึ่งอ่านออกเสียง หลักคำสอนและพันธสัญญา 84:49–53 ขอให้ชั้นเรียนดูตามและระบุว่าพระเจ้าตรัสว่าใครอยู่ในความมืดทางวิญญาณและเหตุใดพวกเขาจึงอยู่ในสภาพนั้น

  • ใครอยู่ในความมืด เหตุใดพวกเขาจึงอยู่ในความมืด

ชี้ให้เห็นว่าในข้อเหล่านี้ คนที่พระเจ้าตรัสว่าอยู่ในความมืดคือคนที่อยู่ใต้พันธนาการแห่งบาป นี่หมายความว่าพวกเขาติดอยู่ในผลของบาปเพราะพวกเขาไม่กลับใจ

  • การดำเนินชีวิตภายใต้พันธนาการแห่งบาปเหมือนกับการอยู่ในความมืดอย่างไร

หลักคำสอนและพันธสัญญา 84:54–61

พระเจ้าทรงตีสอนวิสุทธิชนเพราะปฏิบัติเล่นๆ กับพระคัมภีร์มอรมอน

อธิบายว่านอกจากจะพูดว่าโลกอยู่ในความมืดแล้ว พระเจ้าตรัสว่าความคิดของสมาชิกศาสนจักรถูกทำให้มืดด้วย

เชิญนักเรียนคนหนึ่งอ่านออกเสียง หลักคำสอนและพันธสัญญา 84:54–56 ขอให้ชั้นเรียนดูตามและมองหาเหตุผลสองประการว่าเหตุใดความคิดของสมาชิกศาสนจักรจึงถูกทำให้มืด

  • ตามที่กล่าวไว้ใน ข้อ 54เหตุใดความคิดของสมาชิกศาสนจักรจึงถูกทำให้มืด

  • การปฏิบัติเล่นๆ กับบางสิ่งหมายความว่าอย่างไร (เมินเฉยหรือปฏิบัติต่อสิ่งนั้นอย่างไม่เคารพหรือไม่ระมัดระวัง) ความไม่เชื่อหรือการปฏิบัติเล่นๆ กับสิ่งศักดิ์สิทธิ์สามารถทำให้ความคิดของบุคคลหนึ่งมืดได้อย่างไร

เชิญนักเรียนคนหนึ่งอ่านออกเสียง หลักคำสอนและพันธสัญญา 84:57 ขอให้ชั้นเรียนดูตามและมองหาสิ่งที่วิสุทธิชนปฏิบัติเล่นๆ

  • วิสุทธิชนปฏิบัติเล่นๆ กับอะไร (พระคัมภีร์มอรมอนและ “พระบัญญัติก่อนๆ” หรือการเปิดเผยก่อนหน้านี้ รวมทั้งที่อยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิล)

  • ตามที่ท่านเรียนรู้จาก ข้อ 54–58เราจะประสบผลอะไรบ้างหากเราปฏิบัติเล่นๆ กับพระคำของพระผู้เป็นเจ้า (นักเรียนควรกล่าวว่า หากเราปฏิบัติเล่นๆ กับพระคำของพระผู้เป็นเจ้า ความคิดเราจะถูกทำให้มืดและเราจะถูกนำมาอยู่ภายใต้การกล่าวโทษ ท่านอาจต้องการเขียนหลักธรรมนี้ไว้บนกระดาน)

เชิญนักเรียนคนหนึ่งอ่านออกเสียงคำกล่าวต่อไปนี้ของประธานเอสรา แทฟท์ เบ็นสันเกี่ยวกับพระคัมภีร์มอรมอน

ภาพ
ประธานเอสรา แทฟท์ เบ็นสัน

“ผลนิรันดร์ขึ้นอยู่กับการตอบสนองของเราต่อหนังสือเล่มนี้หรือไม่ ใช่ เป็นพรของเราหรือไม่ก็เป็นการกล่าวโทษเรา

“วิสุทธิชนยุคสุดท้ายทุกคนควรทำให้การศึกษาพระคัมภีร์เล่มนี้เป็นการแสวงหาชั่วชีวิต มิฉะนั้นแล้ว เขากำลังทำให้จิตวิญญาณตนตกอยู่ในอันตรายและเพิกเฉยสิ่งซึ่งจะให้ความเป็นหนึ่งเดียวทางวิญญาณและสติปัญญาแก่เขาทั้งชีวิต มีความแตกต่างระหว่างผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสที่สร้างบนศิลาของพระคริสต์ผ่านพระคัมภีร์มอรมอนและจับราวเหล็ก กับผู้เปลี่ยนใจเลื่อมใสที่ไม่ได้เป็นเช่นนั้น” (“The Book of Mormon Is the Word of God,” Ensign, Jan. 1988, 5)

“ขอเราอย่าคงอยู่ภายใต้การกล่าวโทษพร้อมด้วยแส้และการพิพากษาโดยปฏิบัติเล่นๆ กับของประทานมหัศจรรย์อันยิ่งใหญ่นี้ที่พระเจ้าประทานแก่เรา แต่ขอให้เราได้รับคำสัญญาที่มากับการสั่งสมของประทานนั้นในใจเรา” (“The Book of Mormon—Keystone of Our Religion,” Ensign, Nov. 1986, 7)

เชื้อเชิญให้นักเรียนไตร่ตรองว่าพวกเขากำลังปฏิบัติอย่างไรกับพระคัมภีร์มอรมอนและพวกเขาจะทำอะไรได้บ้างเพื่อทำให้การศึกษาพระคัมภีร์มอรมอนเป็นการแสวงหาชั่วชีวิต

ขอให้นักเรียนอ่าน หลักคำสอนและพันธสัญญา 84:57ในใจ

  • พระเจ้าตรัสว่าวิสุทธิชนต้องทำอะไรนอกเหนือการกลับใจจากการปฏิบัติเล่นๆ กับพระคำของพระองค์ (ช่วยให้นักเรียนเห็นว่านอกจากระลึกถึงพระคัมภีร์มอรมอนและ “พระบัญญัติก่อนๆ” ที่พระเจ้าประทานแล้ว วิสุทธิชนต้องทำสิ่งที่เขียนไว้ในนั้นด้วย)

  • ท่านจะสรุปสิ่งที่พระเจ้าทรงต้องการให้เราทำกับพระคัมภีร์มอรมอนว่าอย่างไร (นักเรียนอาจระบุหลักธรรมหลากหลาย แต่พึงเน้นดังนี้: เราต้องศึกษาพระคัมภีร์มอรมอนอย่างซื่อสัตย์และดำเนินชีวิตตามคำสอนในนั้น เขียนความจริงนี้ไว้บนกระดาน)

แบ่งนักเรียนออกเป็นคู่ๆ ขอให้แต่ละคู่แบ่งปันคำตอบของคำถามต่อไปนี้

  • ใครเป็นแบบอย่างที่ดีต่อท่านในเรื่องการศึกษาพระคัมภีร์มอรมอนและการดำเนินชีวิตตามคำสอนในนั้น

เพื่อสรุปบทเรียนนี้ ให้เชิญนักเรียนคนหนึ่งอ่านออกเสียง หลักคำสอนและพันธสัญญา 84:60–61 ขอให้ชั้นเรียนดูตามและมองหาคำแนะนำเพิ่มเติมที่พระเจ้าประทานแก่ผู้รับพระคำของพระองค์ผ่านพระคัมภีร์มอรมอน หลังจากอ่านสองข้อนี้ ชี้ให้เห็นว่าตามที่กล่าวไว้ใน ข้อ 61คนที่รับพระคำของพระเจ้าในพระคัมภีร์มอรมอนต้องเป็นพยานต่อผู้อื่นด้วย

เชิญนักเรียนสองสามคนเป็นพยานว่าพวกเขาได้รับพรอย่างไรเมื่อพวกเขาศึกษาพระคัมภีร์มอรมอนและพยายามดำเนินชีวิตตามความจริงที่สอนในนั้น (ท่านอาจจะให้เวลานักเรียนนึกถึงประสบการณ์ของพวกเขาสักครู่ก่อนขอให้พวกเขาตอบ)

เตือนความจำนักเรียนเรื่องเป้าหมายศึกษาพระคัมภีร์ทุกวันของพวกเขา เขียนคำถามต่อไปนี้ไว้บนกระดาน และเชื้อเชิญให้นักเรียนเขียนคำตอบลงในสมุดจดหรือสมุดบันทึกการศึกษาพระคัมภีร์ของพวกเขา

วันนี้ท่านเรียนรู้อะไรที่ดลใจให้ท่านยังคงศึกษาพระคัมภีร์มอรมอนต่อไป

ท่านจะทำอะไรเพื่อศึกษาพระคัมภีร์มอรมอนและดำเนินชีวิตตามความจริงที่ท่านเรียนรู้ในนั้นอย่างขยันหมั่นเพียรมากขึ้น

ท่านจะใช้พระคัมภีร์มอรมอนแบ่งปันพระกิตติคุณกับผู้อื่นอย่างไร

เป็นพยานว่านักเรียนจะใกล้ชิดพระบิดาบนสวรรค์มากขึ้นเมื่อพวกเขาดำเนินชีวิตตามความจริงที่สนทนาในชั้นเรียนวันนี้

บทวิจารณ์และข้อมูลภูมิหลัง

หลักคำสอนและพันธสัญญา 84:46 “พระวิญญาณทรงให้ความสว่างแก่มนุษย์ทุกคน”

ประธานบอยด์ เค. แพคเกอร์แห่งโควรัมอัครสาวกสิบสองสอนเกี่ยวกับความสว่างของพระคริสต์และพระวิญญาณบริสุทธิ์ดังนี้

ภาพ
ประธานบอยด์ เค. แพคเกอร์

“พระวิญญาณบริสุทธิ์และความสว่างของพระคริสต์แตกต่างกัน แม้บางครั้งในพระคัมภีร์จะใช้คำเดียวกัน แต่ทั้งสองแตกต่างกันและไม่เหมือนกันโดยสิ้นเชิง สำคัญทีเดียวที่ท่านจะต้องรู้ทั้งสองอย่าง …

“พระคัมภีร์นิยามความสว่างของพระคริสต์ว่า ‘พระวิญญาณ [ซึ่ง] ให้ความสว่างแก่มนุษย์ ทุกคน ที่มาในโลก’ (คพ. 84:46; เน้นตัวเอน); ‘แสงสว่างซึ่งอยู่ในสิ่งทั้งปวง, ซึ่งให้ชีวิตแก่สิ่งทั้งปวง, ซึ่งเป็นกฎที่โดยกฎนั้นสิ่งทั้งปวงถูกปกครอง’ (คพ. 88:13; ดู ยอห์น 1:4–9; คพ. 84:45–47; 88:6; 93:9ด้วย)

“และพระคัมภีร์เรียกความสว่างของพระคริสต์ว่าเป็น ‘พระวิญญาณของพระเยซูคริสต์’ (คพ. 84:45) ‘พระวิญญาณของพระเจ้า’ (2 โครินธ์ 3:18; ดู โมไซยาห์ 25:24ด้วย) ‘พระวิญญาณแห่งความจริง’ (คพ. 93:26) ‘แสงสว่างแห่งความจริง’ (คพ. 88:6) ‘พระวิญญาณของพระผู้เป็นเจ้า’ (คพ. 46:17) และ ‘พระวิญญาณศักดิ์สิทธิ์’ (คพ. 45:57) คำศัพท์เหล่านี้บางคำใช้กล่าวถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์เช่นกัน

“ฝ่ายประธานสูงสุดเขียนว่า ‘มีพลังอำนาจกระจายไปทั่วโลกซึ่งคือความสว่างและชีวิตของโลก “ซึ่งให้ความสว่างแก่มนุษย์ทุกคนที่เข้ามาในโลก” ซึ่งออกมาจากที่ประทับของพระผู้เป็นเจ้าทั่วห้วงอวกาศอันมโหฬาร ความสว่างและพลังอำนาจซึ่งพระผู้เป็นเจ้าทรงมอบให้ “คนที่ทูลขอพระองค์” ในระดับต่างกันตามศรัทธาและการเชื่อฟังของพวกเขา’ [“‘Receiving’ the Holy Ghost,” Improvement Era, Mar. 1916, 460.]

“ไม่ว่าจะเรียกความสว่างในจิตใจหรือความรู้จักถูกรู้จักผิดว่าความสว่างของพระคริสต์ ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี หรือมโนธรรม แต่ทั้งหมดล้วนชี้นำเราให้ควบคุมการกระทำของเรา—เว้นแต่เราจะข่มไว้หรือไม่นำพา” (“ความสว่างของพระคริสต์,” เลียโฮนา, เม.ย. 2005, 8–9)

หลักคำสอนและพันธสัญญา 84:54–57 “กลับใจและระลึกถึง … พระคัมภีร์มอรมอน”

พระผู้ช่วยให้รอดและศาสดาพยากรณ์ของพระองค์ดูแลเรื่องการรวบรวมและการเก็บรักษาพระคัมภีร์มอรมอนเป็นอย่างดีผ่านทุกยุคทุกสมัย ข่าวสารของพระคัมภีร์มอรมอนมีความสำคัญที่สุดต่อคนทั้งปวง ประธานเอสรา แทฟท์ เบ็นสันกระตุ้นวิสุทธิชนยุคสุดท้ายไม่ให้ปฏิบัติเล่นๆ กับข่าวสารนั้นดังนี้

ภาพ
ประธานเอสรา แทฟท์ เบ็นสัน

“ระหว่างกลับบ้านพระเจ้าทรงตำหนิผู้สอนศาสนายุคแรกบางคนในหลักคำสอนและพันธสัญญาภาค 84 เพราะพวกเขาปฏิบัติเล่นๆ กับพระคัมภีร์มอรมอน ด้วยเหตุนี้ ความคิดของพวกเขาจึงถูกทำให้มืด พระเจ้าตรัสว่าการปฏิบัติเล่นๆ กับพระคัมภีร์มอรมอนทำให้ทั้งศาสนจักรถูกกล่าวโทษ แม้ลูกหลานทั้งหมดของไซอัน และพระเจ้าตรัสต่อจากนั้นว่า ‘และพวกเขาจะคงอยู่ภายใต้การกล่าวโทษนี้จนกว่าพวกเขาจะกลับใจและระลึกถึงพันธสัญญาใหม่, แม้พระคัมภีร์มอรมอน’ (ดู คพ. 84:54–57) เรายังอยู่ภายใต้การกล่าวโทษนั้นหรือไม่

“… ผลอันน่ากลัวขึ้นอยู่กับการตอบสนองของเราต่อพระคัมภีร์มอรมอน

“‘คนเหล่านั้นที่รับไว้ด้วยศรัทธา’ พระเจ้าตรัส ‘และทำงานชอบธรรม, จะได้รับมงกุฎแห่งชีวิตนิรันดร์;

“‘แต่คนเหล่านั้นที่ทำใจตนแข็งกระด้างอยู่ในความไม่เชื่อ, และปฏิเสธ, สิ่งนี้ก็จะกลับกลายเป็นการกล่าวโทษของพวกเขาเอง—

“‘เพราะพระเจ้าพระผู้เป็นเจ้ารับสั่งไว้’ (คพ. 20:14–16)

“พระคัมภีร์มอรมอนจริงหรือไม่ จริง

“มีไว้เพื่อใคร เพื่อเรา

“จุดประสงค์ของพระคัมภีร์มอรมอนคืออะไร เพื่อนำมนุษย์มาหาพระคริสต์

“นำมาได้อย่างไร โดยเป็นพยานถึงพระคริสต์และเปิดโปงศัตรูของพระองค์

“เราต้องใช้พระคัมภีร์มอรมอนอย่างไร เราต้องมีประจักษ์พยานในพระคัมภีร์มอรมอน สอนจากพระคัมภีร์มอรมอน และถือเป็นมาตรฐานและ ‘ส่งเสียงออกไป’ [ดู 2 นีไฟ 29:2]

“เราทำเช่นนี้หรือไม่ ไม่ทำเท่าที่ควร ไม่ทำดังที่เราควรทำ

“ผลนิรันดร์ขึ้นอยู่กับการตอบสนองของเราต่อหนังสือเล่มนี้หรือไม่ ใช่ เป็นพรของเราหรือไม่ก็เป็นการกล่าวโทษเรา

“วิสุทธิชนยุคสุดท้ายทุกคนควรทำให้การศึกษาพระคัมภีร์เล่มนี้เป็นการแสวงหาชั่วชีวิต มิฉะนั้นแล้ว เขากำลังทำให้จิตวิญญาณตนตกอยู่ในอันตรายและเพิกเฉยสิ่งซึ่งจะให้ความเป็นหนึ่งเดียวทางวิญญาณและสติปัญญาแก่เขาทั้งชีวิต” (“The Book of Mormon Is the Word of God,” Ensign, Jan. 1988, 5)

หลักคำสอนและพันธสัญญา 84:57–61 การใช้พระคัมภีร์มอรมอนในการศึกษาและการสอนของเรา

ประธานเอสรา แทฟท์ เบ็นสันกล่าวว่า

ภาพ
ประธานเอสรา แทฟท์ เบ็นสัน

“พระคัมภีร์มอรมอนไม่ได้เป็นหรือยังไม่เป็นศูนย์กลางของการศึกษาส่วนตัว การสอนครอบครัว การสั่งสอน และงานเผยแผ่ศาสนาของเรา เราต้องกลับใจเรื่องนี้” (“Cleansing the Inner Vessel,” Ensign, May 1986, 5–6)